เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 18 สูญเสียความมั่งคั่ง
ตอนที่ 18 สูญเสียความมั่งคั่ง
หลี่เจียหาวเป็นเพื่อนม.ปลายของถังหย่าฉี และเป็นคนที่รุกตามจีบเธอ เพียงแต่ว่าตามจีบมาตั้งแต่ม.ปลายจนเรียนจบก็ไม่ได้ผล หลักๆ เป็นเพราะถังหย่าฉีไม่ชอบที่เขาเป็นคุณชายทายาทเศรษฐี
“หลี่เจียหาว?
“ฮ่าๆ ฉันก็มาเดินชอปปิ้งที่นี่เหมือนกัน เธอจะซื้ออะไรเหรอหย่าฉี ไปด้วยกันเถอะ ฉันจะจ่ายให้” หลี่เจียหาวพูดอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
ถังหย่าฉียิ้มอย่างเกรงใจ “ไม่ต้องหรอก ขอบคุณนะ ฉันแค่เดินไปเรื่อยๆ เท่านั้น”
“จริงสิ เธอรู้ไหมว่าฉันบังเอิญเจอใคร” หลี่เจียหาวยังคงไม่อยากแยกตัวออกไป พูดต่อว่า “ยังจำผู้ชายคนนั้นที่เราเจอที่ตลาดโบราณได้ไหม ที่พูดว่าฉันซื้อของปลอมคนนั้นน่ะ!”
“อ้อ จำได้ ทำไมล่ะ”
“ฮ่าๆ ฉันบังเอิญเจอผู้ชายคนนั้นน่ะสิ เธอลองเดาดูสิว่าเป็นยังไง ความจริงแล้วเขาพาเด็กขอทานมาเดินชอปปิ้งที่นี่ ไม่ต้องพูดเลยว่าฉากนั้นมันตลกแค่ไหน เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นเด็กขอทานมาเดินห้าง ให้ฉันเดานะ สมองคนคนนั้นมากน้อยจะต้องมีปัญหาแน่ คราวก่อนก็พูดจาเพ้อเจ้อ”
ได้ยินดังนั้น ถังหย่าฉีก็เหลือบตามองเขาแวบหนึ่ง “จริงเหรอ ไม่ใช่ว่านายปาเครื่องลายครามทิ้งไปแล้วหรือไง”
“ฉัน…” พูดถึงตรงนี้ หลี่เจียหาวก็กระอักกระอ่วนอยู่พักหนึ่ง “เป็นฉันที่ไม่ระวังเอง ถึงยังไงนั่นก็ไม่ได้หมายความฉันดูไม่ออกนะ เขาพูดจาส่งเดชแท้ๆ เลย”
“เอาเถอะ นายจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ หลังจากนั้นล่ะ” ถังหย่าฉีถาม
“หลังจากนั้นเหรอ หลังจากนั้นผู้ชายคนนั้นก็ถูกรปภ.ลากตัวออกไปน่ะสิ ห้างจ้งอันเป็นห้างที่มีแต่แบรนด์ชั้นแนวหน้า จะให้ขอทานเข้ามาได้ยังไง ฉันพูดถูกไหม ผู้จัดการจ้าว” พูดจบ หลี่เจียหาวก็ไม่ลืมพูดกับจ้าวจิ้งอวิ๋น ขณะเดียวกันก็ขยิบตาส่งสัญญาณ
“หา? อ้อ…ใช่ ใช่ครับ” จ้าวจิ้งอวิ๋นกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ในใจก็คิดว่าถังหย่าฉีเจอซ่งจื่อเซวียนที่ห้องลูกค้าวีไอพีแล้ว นายจะพูดเรื่องไร้สาระนี่อีกเหรอ ถึงกระนั้นเขาก็ยังไว้หน้าหลี่เจียหาว
“เหอะๆ ตามสะดวกเถอะ ฉันนัดเพื่อนไว้ ไปก่อนนะ”
พูดจบ ถังหย่าฉีก็เดินไปด้านหน้าต่อ และจ้าวจิ้งอวิ๋นก็เดินตามอยู่ด้านหลัง
เขาหน้าดำคล้ำพูดว่า “โหวจื่อ มีข่าวคราวหรือยัง”
ชายร่างผอมสูงข้างๆ ถือโทรศัพท์อยู่ พูดว่า “คุณชายหลี่ มีแล้วครับ ผมมีพี่น้องที่รู้จักไอ้เด็กนี่ บอกว่าเดิมเขาก็ไม่ได้มีความสามารถอะไร ทำงานอยู่ในร้านอาหารเล็กๆ ที่หลี่จวงฝั่งตะวันตกของเมืองครับ”
“หลี่จวง? นั่นมันเขตสลัมของเมืองตู้เหมินใช่ไหม เหอะๆ ไม่เลวเลยจริงๆ เป็นคนจนอวดรวยนี่ หึ ดูท่า…การ์ดอะไรนั่นใบนั้นก็ไม่จริงน่ะสิ” หลี่เจียหาวกำหมัด
“แต่…คุณชายหลี่ ผู้จัดการจ้าวรู้จักการ์ดใบนั้น น่าจะเป็นของจริงหรือเปล่าครับ” ชายอ้วนหัวโล้นพูด
“แล้วยังไงล่ะ เขาอาจจะเก็บได้ก็ได้ หึ คนแบบนั้นฉันเจอมาเยอะแล้ว มีโอกาสฉันจัดการเขาแน่!” หลี่เจียหาวกัดฟัน
เดินเข้าไปในลิฟต์ ถังหย่าฉีก็คิดเรื่องเมื่อครู่ พูดว่า “ผู้จัดการจ้าวคะ เมื่อกี้หลี่เจียหาวก็อยู่ด้วยเหรอ”
“เอ่อ…แหะๆ คุณถังครับ คุณไปดูมอนิเตอร์เองดีกว่า” จ้าวจิ้งอวิ๋นยิ้มกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย ถึงอย่าไรเรื่องราวระหว่างคุณหนูคุณชายพวกนี้ เขาไม่อยากจะพูดอะไร ยิ่งไม่อยากแสดงความคิดเห็นด้วย
ถึงห้องมอนิเตอร์ จ้าวจิ้งอวิ๋นสั่งให้เจ้าหน้าที่เปิดวิดีโอช่วงเวลานั้น ฉากด้านหน้าร้านเวอร์ซาเชก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
กล้องวงจรปิดของห้างจ้งอันหลักๆ เป็นอุปกรณ์ชั้นยอด เป็นตัวช่วยการสืบสวนสอบสวนของตำรวจได้ดีอย่างยิ่ง ด้วยภาพคมชัดและเสียงที่บันทึกภาพรวมทำให้ถังหย่าฉีเห็นสถานการณ์ตอนนั้นได้
การดูครั้งนี้ ไม่เพียงเห็นหน้าตาขี้ประจบของจางกังก่อนหน้านี้เท่านั้น ยังได้เห็นฉากที่หลี่เจียหาวรังแกผู้อื่นด้วย ถังหย่าฉีที่เห็นคิ้วใบหลิวของเธอก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย ปากเล็กๆ ก็คว่ำลง
โดยเฉพาะประกอบกับคำพูดก่อนหน้าของหลี่เจียหาว ที่เขาคิดไม่ถึงสักนิดว่าเดิมถังหย่าฉีจะไปดูกล้องวงจรปิด ตอนนี้ ภาพจำของเขาในสายตาของถังหย่าฉีก็ต่ำลงสู่ก้นเหว
ด้านจ้าวจิ้งอวิ๋นสังเกตท่าทางของถังหย่าฉีอยู่ตลอด แต่เขาไม่ได้พูดอะไรสักประโยค เพียงแค่ดูเท่านั้น พิจารณาความสัมพันธ์ของถังหย่าฉี หลี่เจียหาวและซ่งจื่อเซวียนด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ บริหารจัดการมาหลายปี ดูทุกอย่างออกแต่ไม่พูดอะไรเป็นความเคยชินของเขาตั้งนานแล้ว
ดูจนเห็นตอนที่จ้าวจิ้งอวิ๋นเชิญซ่งจื่อเซวียนไปที่ห้องลูกค้าวีไอพี บวกกับใบหน้ากรุ่นโกรธและตกใจของจางกังและหลี่เจียหาวนั้น ถังหย่าฉีก็ดูต่อจนจบไม่ไหวแล้ว เธอพูดอย่างโกรธเคือง “นี่…นี่มันคนต่ำทรามชัดๆ เลยนี่…”
จ้าวจิ้งอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “คุณถังครับ ความจริงแล้วคุณซ่ง…”
“ที่เขาทำก็ถูกแล้ว คนแบบนี้ก็สมควรตกงาน แค่…หึ!” ถ้าไม่ใช่เพราะเด็กสาวไม่สามารถสบถด่าออกมาได้ เกรงว่าคำหยาบคายของถังหย่าฉีคงจะออกมาแล้ว…
เห็นอารมณ์รุนแรงของถังหย่าฉี จ้าวจิ้งอวิ๋นก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าสำหรับเรื่องนี้ เขาก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน การกระทำของซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ผิด
แต่จ้าวจิ้งอวิ๋นก็แอบนับถืออยู่ในใจ อย่างไรซ่งจื่อเซวียนก็เป็นผู้เยาว์อายุแค่สิบกว่าปี จัดการเรื่องราวเด็ดขาดเหมาะสมเช่นนี้ไม่ง่ายเลย หากเป็นเด็กทั่วไปคนอื่นที่อายุรุ่นราวคราวนี้คงทำไม่ได้
เห็นถึงตรงนี้ ถังหย่าฉีก็คิดว่าท่าทางของตัวเองเมื่อครู่มีปัญหาอยู่บ้าง เดิมเธอไม่ได้รู้เหตุการณ์แน่ชัดก็ตำหนิซ่งจื่อเซวียนไปเสียก่อน ดูท่าแล้วเรื่องนี้ต้องขอโทษจริงๆ
“ผู้จัดการจ้าว ตอนนี้พวกเราไปเจอท่านประธานหลินกันดีกว่าค่ะ”
“ได้ครับ”
ทั้งสองคนมาถึงห้องทำงานของท่านประธาน ถังหย่าฉีเดินเข้าไป ด้านจ้าวจิ้งอวิ๋นก็ยังคงแยกออกไปอย่างรู้ความ
“คุณอาหลิน” ถังหย่าฉียืนตะโกนเรียกอยู่นอกประตู
“ฮ่าๆ หย่าฉีหลานคนโต หลานมาแล้ว” หลินเทียนหนานพูดกลั้วหัวเราะ เดินออกมาทันที “มาสิ มานั่งคุยกัน”
ครั้งนี้ หลินเทียนหนานไม่ได้เรียกให้ถังหย่าฉีเข้าไปในห้องทำงาน แต่เลือกที่จะพูดคุยที่โถงรับแขกแทน
แต่ถังหย่าฉีก็ยังคงเงยหน้ามองไปทางห้องทำงานอยู่หลายรอบ สีหน้าเผยความสงสัยออกมา
“หืม หย่าฉี หลานหาอะไรอยู่เหรอ” หลินเทียนหนานถามอย่างอดไม่ได้
“เอ่อ…หลาน…จริงสิคะคุณอาหลิน ซ่งจื่อเซวียนคนเมื่อกี้…”
“ทำไมล่ะ พวกหลานรู้จักกันเหรอ เขาไปได้สักพักแล้วล่ะ” หลินเทียนหนานพูด
ได้ยินดังนั้น ท่าทางของถังหย่าฉีผิดหวังเล็กน้อย อย่างไรเรื่องวันนี้ก็เป็นเธอที่ผิด อยากจะขอโทษเขาก็กลับไปเสียแล้ว รู้สึกติดค้างอยู่ไม่น้อย
“อารู้ไหมคะ ว่าจะเจอเขาได้ยังไง” ถังหย่าฉีถามอย่างอดไม่ได้
“เอ่อ…อาก็ไม่แน่ใจจริงๆ แหะๆ หลานมีเรื่องอะไรกับเขาเหรอ”
แน่นอนว่าหลินเทียนหนานรู้ว่าซ่งจื่อเซวียนอยู่ที่ร้านอาหารชุนเซียง แต่เขาพูดไม่ได้ เหตุผลง่ายมาก ครั้งนี้ที่เขาต้องทำก็คือดังเปรี้ยงปร้างในวงการอาหาร ซ่งจื่อเซวียนเป็นไพ่ตายของเขา และธุรกิจของตระกูลถังก็เป็นอาหารเช่นกัน เขาไม่มีทางพูดออกไปง่ายๆ แน่นอน
“ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอกค่ะ ช่างเถอะ คุณอาหลินคะ ที่มาหาอาครั้งนี้เป็นเพราะโครงการครั้งก่อน ช่วงนี้พ่อหลานอยู่ยุโรป ไม่สะดวกมา เลยให้หลานมาคุยกับอาสักหน่อยค่ะ”
หลินเทียนหนานนพยักหน้ายิ้มน้อยๆ “สมแล้วที่เป็นลูกสาวตระกูลถัง ใช้ได้ ใช้ได้จริงๆ เอาอย่างนี้ ถ้าพวกหลานตระกูลถังทำสัญญาร้านอาหารห้าร้อยตารางเมตรขึ้นไปที่ห้างจ้งอันเมืองจิ้งหยวน อาสามารถลดราคาได้นิดหน่อย”
ถังหย่าฉีหยิบเอกสารออกมาจากกระเป๋าตัวเองทันที พูดว่า “คุณอาหลินคะ อาลองดูแผนของพวกเราก่อน”
ขณะที่ทั้งสองพูดคุยกัน ถังหย่าฉีรู้สึกว่าตนเองไม่ค่อยมีสมาธิเท่าไร ถึงแม้ว่าจะอายุแค่สิบแปดปี แต่เธอก็เป็นตัวแทนตระกูลถังเจรจาต่อรองอยู่หลายครั้ง แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีท่าทางไม่มีสมาธิอย่างนี้มาก่อน เหตุการณ์ที่พูดกับซ่งจื่อเซวียนเมื่อครู่วนเวียนอยู่เต็มหัวไปหมด เหมือนในใจมีปมค้างคา แต่กลับไม่มีวิธีคลี่คลาย…
ออกมาจากห้างจ้งอัน ซ่งจื่อเซวียนก็เดินกลับไปที่ร้านอาหารชุนเซียงกับกู่เสี่ยวเป่า ตอนใกล้จะถึงกู่เสี่ยวเป่าก็หยิบป้ายชิ้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า พูดว่า “พี่รอง พี่เก็บนี่ไว้”
“หืม” ให้ไอ้นี่กับฉันทำไม ซ่งจื่อเซวียนดูป้ายชิ้นนั้น เป็นหยกเหอเถียน[1] แต่เทียบไม่ได้กับสินค้าชั้นนำ แต่ฝีมือแกะสลักแปลกมาก เป็นลายถ้วยเก่าๆ แต่กลับเข้ากับกู่เสี่ยวเป่ามาก
“เหอะๆ อย่าสนใจเลย พี่ก็เก็บไว้แหละ จะให้ดีก็ผูกไว้กับเอว” กู่เสี่ยวเป่าชี้ที่เชือกของป้ายหยกพลางพูด
พูดจบ กู่เสี่ยวเป่าก็ยัดป้ายหยกใส่ในมือซ่งจื่อเซวียนแล้ววิ่งหนีไป ซ่งจื่อเซวียนคิดจะพูดอะไรสักอย่างก็ไม่มีโอกาสแล้ว
ในร้านอาหาร หยางต้าฉุยกับลูกสาวกำลังพูดคุยกันอยู่หน้าเคาน์เตอร์ คนอื่นๆ ต่างก็ยุ่งตามระเบียบ
“ลูกสาวพ่อ แกก็เชื่อพ่อสิ สายตาของพ่อไม่ได้ผิดไปจริงๆ เจ้ารองคนนี้จงใจปิดบังแน่ๆ” หยางต้าฉุยพูด
หยางเสวี่ยก้มหน้า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “วันนั้นลูกอาจจะรีบร้อนไปหน่อย เพียงแต่ลูกไม่คิดเลยว่าเจ้ารองจะทำแบบนั้นได้ ลูกคิดว่าเขา…”
“เหอะๆ ด้วยฝีมือของเขาจะได้เงินเดือนตั้งแปดหมื่นหยวน แกลองคิดดู ถ้าหัวของเขาไม่ดีจริงๆ จะมีฝีมืออย่างนี้ได้เหรอ ลูกสาวเอ๊ย แกโง่เขลาไปชั่วขณะแล้ว”
“ก็ได้ๆ ไม่ต้องว่าลูกแล้ว ตอนค่ำลูกจะคุยดีๆ กับเขา โอเคไหม”
“นี่สิถึงจะเป็นลูกสาวคนดีของพ่อ”
ขณะพูดคุยกัน เห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้ามา หยางต้าฉุยรีบเดินมาหา “ฮ่าๆ เจ้ารองกลับมาแล้ว”
“เถ้าแก่ ผมกลับมาสายไปหน่อย ขอโทษครับ” ซ่งจื่อเซวียนพูด อย่างไรเขาก็เดินเท้าทั้งไปทั้งกลับกับกู่เสี่ยวเป่า จึงใช้เวลาไม่น้อย
“ไม่เป็นไรหรอก คืนนี้ปกติดี ฉันเพิ่งพูดกับจางขุยไป คืนนี้ให้ผัดกับข้าวสองสามอย่าง พวกเราก็กินไปคุยไปเถอะ” หยางต้าฉุยพูดยิ้มๆ
ฟังคำหยางต้าฉุย ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย แต่ลองคิดดูแล้วเรื่องบางเรื่องไม่พูดท้ายที่สุดก็ลำบากใจอยู่ดี เขาจึงพูดว่า “เถ้าแก่ ผม…มีเรื่องอยากคุยกับเถ้าแก่ครับ”
สิ้นเสียง หน้าหยางต้าฉุยก็เปลี่ยนสี รู้สึกเพียงหวั่นใจมาก แต่ไม่รอให้เขาพูด หยางต้าฉุยก็เข้ามาใกล้ “แหะๆ จื่อเซวียน มีเรื่องอะไรถึงได้รีบร้อนขนาดนั้น อาจางกำลังทำกับข้าวอยู่ พวกเรากินพลางคุยพลางก็ได้”
ไม่นานนัก กับข้าวสองสามอย่างก็ตั้งบนโต๊ะ เดิมคิดจะกินไปคุยไปกับทุกคน แต่เพราะคำพูดเมื่อครู่ของซ่งจื่อเซวียน หยางต้าฉุยตัดสินใจแยกโต๊ะในเวลาสั้นๆ ทันที จางขุยกับพนักงานอีกสองสามคนโต๊ะหนึ่ง และพ่อลูกบ้านหยางกับซ่งจื่อเซวียนโต๊ะหนึ่ง
หยางเสวี่ยคีบกับข้าวให้ซ่งจื่อเซวียน ขณะเดียวกันก็ขยับไปทางซ่งจื่อเซวียน ถึงขนาดว่าร่างกายของทั้งสองแนบชิดกันเล็กน้อย
“เสี่ยวเสวี่ย พอแล้ว เธอ…เธออย่าคีบให้ฉันเลย”
ถ้าเป็นสองวันก่อน บางทีซ่งจื่อเซวียนอาจจะไม่มีท่าทางแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ตนเองก็ตัดสินใจจะไปอยู่แล้ว ไม่ควรจะคิดอะไรกับหยางเสวี่ยอีก
“นาย…จื่อเซวียน นายไม่ชอบให้ฉันคีบกับข้าวให้ใช่ไหม” หยางเสวี่ยแสร้งพูดอย่างเศร้าสร้อย ขณะที่มุ่ยปาก รอบดวงตาก็แดงก่ำ
ต้องพูดเลยว่า การแสดงของเด็กสาวคนนี้ยอดเยี่ยมมาก เปลี่ยนเป็นคนอื่นอาจจะไม่สมจริงขนาดนี้
“เจ้ารอง โกรธเสี่ยวเสวี่ยแล้วเหรอ ถ้าเธอทำอะไรผิด แกก็บอกฉัน ฉันจะดุเธอให้!” หยางต้าฉุยก็แสร้งพูดอย่างโกรธเคือง
ความจริงซ่งจื่อเซวียนดูออกตั้งนานแล้ว ประกอบกับท่าทางของหยางเสวี่ยตอนแรก ตั้งแต่ตอนนั้นเขาก็รู้ว่าจุดประสงค์ของพ่อลูกบ้านหยางคือรั้งเขาไว้ กระทั่งตัวเขาตัดสินใจอยู่ต่อแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่…ผ่านพ้นคืนนั้นไป เขาก็เปลี่ยนใจ
เขาไม่ยอมรับเจตนาดีของบิดาบังเกิดเกล้า และไม่ยอมให้แม่ยากจนอีก ดังนั้นการไปทำงานที่ร้านอาหารของหลินเทียนหนาน คือทางเลือกเดียวของเขา
“เถ้าแก่ ผม…ตัดสินใจไปทำงานกับทางประธานหลินครับ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ บรรยากาศรอบๆ ก็เงียบไป รวมถึงโต๊ะพวกจางขุยด้วย ล้วนหยุดตะเกียบ ดวงตาแต่ละคู่ต่างมองมาที่ซ่งจื่อเซวียน
เห็นทุกคนไม่พูด ซ่งจื่อเซวียนก็วางตะเกียบ ลุกขึ้นพูด “ขอโทษครับ เถ้าแก่ สามวันหลังจากนี้ผมจะออกจากร้านอาหารชุนเซียง และหวังว่าเถ้าแก่จะหาพนักงานใหม่ได้นะครับ”
พูดจบ เขาก็ค้อมตัวให้หยางต้าฉุยจนสุด หันหลังเดินออกจากร้านอาหาร ส่วนอาหารมื้อนี้ แน่นอนว่าเขากินต่อไม่ลงแล้ว
เห็นแผ่นหลังซ่งจื่อเซวียนเดินออกจากประตูไป หยางต้าฉุยหรี่ตาลงสองข้าง ถอนหายใจ
“พ่อ ลูก…”
ไม่รอให้หยางเสวี่ยพูดจบ หยางต้าฉุยก็ยกมือขึ้น “ไม่ต้องพูดแล้ว นี่ก็เป็นโชคชะตา พ่อคิดว่า…เจ้ารองเป็นความมั่งคั่งที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ที่เสียไปแล้ว”
…………………………………………
[1] หยกเหอเถียน (和田玉) หรืออีกชื่อคือหยกเนไฟร์ต มีหลากสีสันตามแร่ธาตุ นิยมที่สุดคือสีขาว เป็นเครื่องประดับที่แพร่หลายในชนชั้นสูงตั้งแต่ก่อนยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตก