เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 19 บทเรียนสุดท้าย
ตอนที่ 19 บทเรียนสุดท้าย
สองวันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนก็ยังคงไปที่ร้านอาหารชุนเซียงเช่นเดิม เหมือนอย่างที่แม่พูด ในเมื่อจะไปก็ต้องทำหน้าที่สุดท้ายให้ดีที่สุด
แต่ที่ผิดคาดก็คือไม่มีใครมองเขาด้วยสายตาเย็นเยียบ กลับกันหยางต้าฉุยยังคงเกรงอกเกรงใจอยู่ แต่มีจุดหนึ่งที่ทำให้เขาแปลกใจอยู่บ้างนั่นก็คือกู่เสี่ยวเป่าไม่ได้โผล่หน้ามาอีก
ทำงานวันสุดท้ายเสร็จ ซ่งจื่อเซวียนก็ถอนใจยาวออกมา กลับไม่ใช่ความเหนื่อย เพียงแต่ในใจยังมีความรู้สึกทอดถอนใจเล็กน้อย
หลังลูกค้าจากไป เขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ ย้อนนึกถึงตอนที่ตัวเองเพิ่งมาทำงานที่นี่ ยังงุ่มง่ามอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าโดนจางขุยด่าไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคล่องแคล่วว่องไวขึ้น ตอนนี้คิดดูแล้ว ก็ยิ้มออกมาอย่างเข้าใจแล้ว
“จางขุย พวกแกเลิกงานก่อนเถอะ มื้อค่ำวันนี้กลับไปกินข้าวที่บ้าน ให้ค่าอาหารคนละยี่สิบหยวน” หยางต้าฉุยพูดพลางหยิบเงินสดออกมาแบ่งให้กับทุกคน
หยางต้าฉุยพูดจบ พวกจางขุยแปลกใจ ปกติหยางต้าฉุยให้ทุกคนกินอาหารที่ร้าน อีกทั้งหลักๆ ต้องเป็นผัก เถ้าแก่ที่ขี้เหนียวขนาดนี้ให้ค่าอาหารพวกเขาคนละยี่สิบหยวนจริงเหรอ
ประหลาดใจที่เถ้าแก่ให้อยู่ก็จริง แต่พนักงานก็ยังคงเดินไปรับเงินมา ซ่งจื่อเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินใจไม่รับไว้ ถึงอย่างไรวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายที่ตนมาทำงานที่นี่ อาหารมื้อนี้…เดิมก็ไม่ควรกิน
แต่ตอนที่เขากำลังจะเดินตรงออกไป หยางต้าฉุยก็พูดว่า “เจ้ารอง แกรอแป๊บหนึ่ง”
“ครับ?” ซ่งจื่อเซวียนชะงัก ไม่คิดว่าหยางต้าฉุยจะเรียกตนเองไว้ หรือว่าเขาคิดจะรั้งตนเองไว้อยู่อีกเหรอ
พวกจางขุยมองซ่งจื่อเซวียนแวบหนึ่ง แล้วต่างแยกย้ายกันไปทันที ไปกันจนเงียบหมดแล้ว หยางต้าฉุยเดินไปที่ประตูร้านแล้วปิดประตู ล็อกกลอนอย่างแน่นหนา
ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างคาดไม่ถึงอยู่บ้าง “เถ้าแก่…”
“เหอะๆ เจ้ารองเอ๊ย นี่ก็ไปกันหมดแล้ว ฉันอยาก…พวกเราสองคนพูดคุยกันหน่อยได้ไหม”
“ฮะ พูดคุย… อ้อ อ้อ ได้ครับ ไม่มีปัญหา” ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ทำงานมาหนึ่งปีไม่เคยพูดคุยอะไรกับหยางต้าฉุยมาก่อน ครั้งเดียวก็คือตอนที่ทำข้าวผัดหยกทอง
หยางต้าฉุยยิ้ม นั่งลง “เจ้ารอง ในเมื่อแกตัดสินใจแล้ว ฉันก็จะไม่รั้งแกไว้อีก ฉันรู้ว่าที่นั่นมีประโยชน์กับการพัฒนาของแกมากกว่า”
“เหอะๆ ไม่ได้ลำบากใจอะไรหรอก” หยางต้าฉุยยิ้มพลางโบกมือ “กลับเป็นแกที่คล่องแคล่วว่องไวขึ้น ช่วยงานที่นี่ได้ไม่น้อย แต่แกจะไปอย่างนี้ ฉันก็ค่อนข้างเป็นห่วง”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไร ความจริงไม่ว่าจะหยางต้าฉุยจะเป็นห่วงจริงหรือไม่ เขาเองก็กังวลกับตัวเอง ถึงอย่างไรการไปครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะทำได้ดีไหม
เห็นซ่งจื่อเซวียนไม่พูดอะไร หยางต้าฉุยก็พูดต่อ “เจ้ารอง แกต้องรู้ไว้ด้วยว่า เป็นพ่อครัว…ไม่ได้ง่ายเหมือนข้าวผัดหนึ่งที่ ต่อให้จะเป็นข้าวผัดจักรพรรดิที่แกทำก็ตาม”
ซ่งจื่อเซวียนเงยหน้ามองหยางต้าฉุย ไม่คิดเลยว่าคำพูดของอีกฝ่ายจะเข้าใจตนเองเช่นนี้ นี่เป็นเรื่องที่ตนเองก็กังวลอยู่เช่นกัน
“เถ้าแก่ ผมรู้ครับ ดังนั้นพูดตามตรงผมก็ไม่ได้มั่นใจเหมือนกัน แต่…”
“แต่แกต้องการเงิน ที่แกทำไม่ได้ผิดหรอก พ่อครัวอย่างเราๆ จะว่าไปก็เป็นคนล่องเจียงหู[1] แน่นอนว่าคนเจียงหูต้องสู้เพื่อผลประโยชน์อยู่แล้ว” หยางต้าฉุยพูด
“เจียงหู?” ซ่งจื่อเซวียนชะงัก คำคำนี้กลับเกี่ยวข้องกับสังคมในชีวิตจริงน้อยมาก ก่อนหน้านี้เขานึกว่าเจียงหูอยู่ห่างไกลจากตนเองมาก
“ใช่ เจียงหู จากอดีตจนถึงปัจจุบัน พ่อครัวเป็นอาชีพหนึ่งในบรรดาเจียงหูทั้งหมด ล่องเจียงหูต้องพึ่งพละกำลังหรือฝีมือ และพวกเราก็เป็นอย่างหลัง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าน้อยๆ ดูเหมือนจะเริ่มเห็นด้วยกับความคิดนี้ ใช่แล้ว ตอนนี้…ไม่ใช่ว่าทุกคนก็ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางเจียงหูเหรอ เพียงแต่บทบาทที่แสดงนั้นแตกต่างจากสมัยโบราณเท่านั้น
“เพราะงั้น…เจ้ารอง ก่อนที่แกจะไปฉันที่เป็นเถ้าแก่ไม่มีอะไรจะมอบให้แกได้ ก็ให้ฉันสอนบทเรียนแกสักบทเป็นยังไง” หยางต้าฉุยพูดด้วยยิ้มเล็กน้อย
“หา? บทเรียน? ให้ผมเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนสับสนจริงๆ หยางต้าฉุยวันนี้ดูจะไม่เหมือนเดิมเลย ตอนที่พูดกับตนเองไม่ว่าจะน้ำเสียงหรือแววตาล้วนจริงใจอย่างยิ่ง กระทั่งยังทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง
“ถูกต้อง นี่เป็นบทเรียนที่หนึ่งที่จะสอนแก และก็เป็นบทเรียนสุดท้าย มา เจ้ารอง แกเข้ามากับฉัน”
พูดจบ หยางต้าฉุยก็เดินไปในครัวด้านหลัง แต่ถึงแม้ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ก็ยังคงลุกขึ้นเดินตามไป
ซ่งจื่อเซวียนไม่มีที่ไหนจะคุ้นเคยไปกว่าครัวด้านหลังของร้านอาหารชุนเซียงแล้ว ทุกวันหลังเลิกงานเขาก็เตรียมผักที่นี่เพื่อให้จางขุยใช้ในวันถัดไป อีกทั้งทำความสะอาดห้องครัวและโถงร้านก็เป็นเขาที่ทำ
ถ้าพูดว่าที่ตรงไหนในห้องครัวที่ซ่งจื่อเซวียนไม่คุ้นเคย นั่นก็คือตู้ติดผนังด้านหนึ่ง เพราะตู้ติดผนังนี้ล็อกไว้ตลอดทั้งปี ดังนั้นเขาจึงไม่เคยรู้ว่าด้านในมีอะไร
และตอนนี้หยางต้าฉุยก็กำลังเดินไปทางตู้ติดผนังนั้น หยิบกุญแจออกมาปลดล็อกแม่กุญแจ ซ่งจื่อเซวียนเบิกตากว้าง
เห็นเพียงหยางต้าฉุยหยิบกล่องหนังลูกเล็กออกมาจากในตู้ใบหนึ่ง กล่องหนังเก่ามาก ถึงขนาดว่าพื้นผิวมีรอยแตกลายอยู่ไม่น้อย แต่ตัวแม่กุญแจยังงดงามและประณีตมาก นอกจากแม่กุญแจที่มันวาวแล้ว ยังมีแม่กุญแจทองแดงตัวเล็กแขวนไว้ด้านบนด้วย
หยางต้าฉุยเปิดกล่องหนังอย่างรวดเร็ว พูดว่า “พ่อครัวทุกคนล้วนมีเครื่องครัวชุดหนึ่งเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น นี่เป็นของที่ฉันใช้ตอนเป็นหัวหน้าพ่อครัว จะว่าไป ก็หลายสิบปีแล้วที่ไม่ได้เปิดออกมาเลย”
พูดพลาง เขาก็หยิบกระเป๋าหนังออกมาจากกล่องหนัง ในกระเป๋าหนังมีช่องเล็กๆ โปร่งใสบนล่างมากมาย ทุกช่องมีมีดอยู่หนึ่งเล่ม แต่ละเล่มลักษณะแตกต่างกัน แต่ดูจากความแวววาวภายนอกและสีคมมีด ซ่งจื่อเซวียนก็รู้ทันทีว่านี่เป็นมีดที่ดี
ถ้าพูดถึงคุณภาพของมีดเหล่านี้ ก็น่าจะเป็นรองเพียงเล่มที่ซางเทียนซั่วใช้ ซ่งจื่อเซวียนอดแอบคิดไม่ได้ ว่าตกลงแล้วซางเทียนซั่วคนนั้นเป็นคนอย่างไรกันแน่ ทำไมฝีมือทำอาหารอ่อนขนาดนั้นกลับมีมีดดีๆ ที่แวววาวอย่างนั้นได้
ซ่งจื่อเซวียนลองนับดู ในกระเป๋าหนัง หนึ่งแถวมีมีดทั้งหมดเจ็ดเล่ม ที่เขารู้จักก็คือมีดเลาะกระดูก มีดตัดเนื้อ มีดอีโต้และมีดฟันเลื่อย ส่วนอีกสามประเภทเขากลับรู้ไม่จัก
หยางต้าฉุยพูดว่า “ฉันเก็บรวบรวมมีดพวกนี้มาสิบกว่าปี โดยเฉพาะมีดเลาะกระดูกนี่ ตอนนั้นฉันตามตื๊ออยู่สามเดือนถึงยอมขายให้ฉันในราคาสูงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ในนั้นมีกรรไกรอยู่ด้วย แต่กรรไกรขนาดไม่ต่างกับมีดเล่มอื่นนัก เกือบๆ ยี่สิบเซนติเมตร ด้ามจับใหญ่มาก เหมาะสำหรับออกแรง ใบมีดบางและคม น่าจะตัดกะโหลกได้
“มีดเลาะกระดูก…เถ้าแก่ ผมเคยได้ยินมาว่าที่ที่ขายเครื่องครัวส่วนมาก บ้างก็ถึงขนาดมีครบชุด อีกทั้งเครื่องครัวประเทศเยอรมันมีชื่อเสียงมากเป็นพิเศษ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“เหอะๆ ถูกต้อง ถ้าเป็นพ่อครัวทั่วๆ ไป ซื้อมีดสักชุดราคาพันกว่าหยวนก็พอแล้ว แต่ถ้าอยากให้ฝีมือทำอาหารยอดเยี่ยม มีดธรรมดาไม่เพียงพอแน่นอน พ่อครัวที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่ง เครื่องครัวทุกชุดที่ตัวเองใช้ควรจะเข้ามือที่สุด มีดที่ผลิตออกมาเป็นจำนวนมากจะพอดิบพอดีขนาดนี้ได้ยังไง” หยางต้าฉุยพูด
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า ไม่ผิด ถ้าอยากโดดเด่น จะใช้แก้ขัดไปก่อนได้ยังไง เห็นมีดของหยางต้าฉุย ตาเขาก็เต็มไปด้วยความอิจฉา แต่เป็นพ่อครัวมือใหม่ เขามีมีดเล่มใหม่เป็นของตัวเองได้ก็ไม่เลวแล้ว เลือกได้ที่ไหนกัน…
ไม่นานนัก หยางต้าฉุยก็หยิบเนื้อสดออกมาชิ้นหนึ่ง เริ่มลงมือหั่นอย่างรวดเร็ว แต่ประมาณหนึ่งนาทีก็กลายเป็นชิ้นเนื้อขนาดเท่าๆ กัน
ซ่งจื่อเซวียนมองด้วยแววตาเหม่อลอย ทักษะการใช้มีดนี่…
แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงนึกถึงซางเทียนซั่วขึ้นมาอีกครั้ง เทียบกันแล้ว ทักษะมีดของหยางต้าฉุยช่ำชองและคล่องแคล่วยิ่งกว่า แต่ถ้าเทียบกันเรื่องความเฉียบคม ซางเทียนซั่วเร็วกว่า ถึงขนาดที่จับภาพท่าทางของเขาลำบาก เหมือนเป็นภาพลวงตา
“เจ้ารอง แกดูให้ดี!”
พูดจบ หยางต้าฉุยก็เปิดเตา ใช้ไฟแรงอุ่นเตาให้ร้อน ถัดมาก็เทน้ำมัน ใส่วัตถุดิบ ผัดกับเครื่องปรุง ทำทุกอย่างในรวดเดียว ซ่งจื่อเซวียนเบิกตากว้างไม่ปล่อยผ่านอะไรไปสักอย่างเดียว
“อาหารทั่วๆ ไปของร้านอาหาร แต่จะเจียว ผัด ต้ม ทอด อบ ลวก เคี่ยว ตุ๋น สไตล์อาหารส่วนใหญ่ก็ยังเป็นการผัด สาเหตุที่ร้านอาหารเสิร์ฟไว ก็เพราะมีเตาใหญ่และไฟแรง สามารถทำให้วัตถุดิบสุกและถึงรสชาติได้เร็วกว่า การผัดจึงเป็นแก่นแท้ ซึ่งการเจียว ต้ม ลวกนั้นก็ใกล้เคียงที่สุด ดังนั้นสำหรับระดับเริ่มต้นอย่างแกต้องผัดให้เชี่ยวชาญ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าอย่างแรง “เถ้าแก่ ผมเข้าใจแล้ว ผมจะตั้งใจเรียน”
หยางต้าฉุยยิ้มแล้วดับไฟ พูดว่า “ความจริงแล้วเมนูนี้ง่ายมาก แต่เพราะแกยังไม่เคยทำ เลยแอบรู้สึกกดดัน อยู่ในที่ทำงานใหม่ ในห้องครัวแกก็จะยิ่งกดดันกว่าเดิม ดังนั้นแกต้องฝึกให้ชินมือเสียก่อน”
พูดจบ หยางต้าฉุยก็เดินไปด้านข้าง พยักพเยิดคางให้เขาก้าวมา
เนื้อที่หยางต้าฉุยหั่นเรียบร้อยแล้วเมื่อครู่ใช้ไปครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าอีกครึ่งเหลือไว้ให้ซ่งจื่อเซวียน ซ่งจื่อเซวียนมองเนื้อพวกนั้น พยักหน้า “ครับ!”
หยางต้าฉุยยิ้มอย่างรู้ทัน ในใจแอบคิดว่า ‘เหอะๆ ฉันพลาดไปแล้วจริงๆ เจ้ารองไม่เคยได้สัมผัสเตามาก่อน กลับไม่หวาดกลัวเลยสักนิด เพียงแค่กระตือรือร้นแบบนี้ นี่ก็คือศักยภาพของพ่อครัวที่ดี ครั้งนี้…เสียของมีค่าไปแล้วจริงๆ’
เปิดเตา ใช้ไฟร้อนๆ อุ่นกระทะ ซ่งจื่อเซวียนใส่น้ำมันร้อนๆ ลงไปในกระทะ ถึงแม้ว่าจะไม่เคยได้แตะเตาจริงๆ แต่ท่าทางกลับรวดเร็ว เห็นหยางต้าฉุยพยักหน้าไม่หยุด ในใจเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ทำได้ดี เนื้อผัดไฟแดง ไม่ถือว่าเป็นอาหารจริงๆ แต่เมื่อเทียบกันแล้ว การผัดเนื้อเป็นการทดสอบ การควบคุมแรงไฟและความจำของพ่อครัวมากกว่า ไม่ต้องใช้สายตาดูวัตถุดิบว่าสุกแล้วหรือไม่ ต้องตัดสินโดยขึ้นอยู่กับความแรงของไฟ ความเร็วในการผัด จนกระทั่งการถ่ายเทความร้อนของตะหลิวที่แกใช้ ตอนนี้แกมาลองนึกย้อนจังหวะของฉันดูสิ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเล็กน้อย ใส่เนื้อหั่นชิ้นลงไปในตะหลิว ตอนนำลงไปผัด ท่าทางของหยางต้าฉุยก่อนหน้าปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ที่แท้ ถ้าพิจารณาด้วยตนเอง เนื้อหั่นชิ้นยังไม่ถึงระดับความร้อนที่จะเอาออกจากกระทะ แต่หยางต้าฉุยเอาออกจากกระทะรวดเร็วมาก ซ่งจื่อเซวียนก็เอาเนื้อหั่นชิ้นออกจากกระทะตามความเร็วของเขา
“ทำได้ดี เจ้ารอง แกรู้ไหมว่าทำไมถึงเอาออกจากกระทะเร็วขนาดนี้”
ซ่งจื่อเซวียนพูดว่า “เพราะว่าเตาไฟแรงมาก ถ้านานกว่านี้ไม่กี่วินาทีเนื้อก็จะเสียคุณภาพไป นำออกจากกระทะตอนนี้ เพียงแค่อุณหภูมิที่ยังเหลืออยู่ในเนื้อก็ช่วยเพิ่มความร้อนให้กันได้ ทำให้เนื้อสุกพอดี”
“ฮ่าๆๆ ดีมาก เจ้ารอง เมื่อก่อนฉันมองแกผิดไปจริงๆ แกมีพรสวรรค์นะเนี่ย!”
หยางต้าฉุยตอนนี้หัวเราะจนตัวโยน พูดความในใจของตัวเองออกมา บางทีสำหรับพ่อครัวที่โดดเด่นแล้ว ได้เห็นรุ่นหลังที่มีพรสวรรค์ ก็มีความสุขมาจากใจจริงแล้ว
“เถ้าแก่ชมเกินไปแล้ว ถ้าไม่ได้เถ้าแก่ที่สอนผม เกรงว่าผมไปที่นั่นคงได้งุ่มง่ามจริงๆ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ที่ฉันทำทำได้ก็มีเท่านี้แหละ ส่วนสูตรอาหาร ในยุคนี้ไม่มีประโยชน์แล้ว ในอินเทอร์เน็ตรวบรวมวิธีทำอาหารไว้แทบจะทุกสไตล์ เพราะงั้นสนามจริงเท่านั้นถึงจะเป็นบททดสอบในท้ายที่สุด”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดอะไร เพราะเขารู้ดี ว่ามีสูตรอาหารเล่มหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นคลังข้อมูลหรือในอินเทอร์เน็ต ก็ยากที่จะหาเจอได้
…………………………………………
[1] เจียงหู (江湖) คือสังคมแบบหนึ่งของจีน ส่วนใหญ่อยู่ห่างไกลจากราชสำนัก มีกฎเกณฑ์ของตนเอง เกิดจากการขายฝีมือตนเองหาเลี้ยงชีพ ต้องเดินทางบ่อยจึงใช้การสัญจรทางน้ำเป็นหลัก ซึ่งคำว่าเจียง (江) แปลว่าแม่น้ำ และหู (湖) แปลว่าทะเลสาบ