เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 23 พนัน
ตอนที่ 23 พนัน
ได้ยินซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างนั้น ซางเทียนซั่วก็ยิ้มแหย เดินออกมาจากด้านหลังกำแพง
จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็พบว่า ซางเทียนซั่วคนนี้น่ารักมาก อย่างน้อยแตกต่างจากท่าทางนักเลงน้อยที่เจอครั้งแรกอยู่มากโข
“หึๆ มาท้าสู้กันอีกรอบเถอะ คราวที่แล้วมันเกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย!” ซางเทียนซั่วหัวเราะหึๆ เดินออกมาจากมุมกำแพง ยังคงใส่เสื้อผ้าสีสันสดใสทั้งตัวอยู่ ดูแล้วราคาแพงไม่น้อย
ซ่งจื่อเซวียนเป่าปากทีหนึ่ง กลั้นยิ้ม ข้าวผัดรมควันคราวที่แล้วยังถือว่าเป็นอุบัติเหตุเหรอ อย่างนี้ก็เปลืองวัตถุดิบไปเปล่าๆ น่ะสิ
แต่เขายังไม่ทันได้เปิดปาก ก็เห็นหัวเล็กๆ โผล่ออกมาจากกำแพงด้านหลังอีกคนหนึ่ง หน้าตามอมแมมประดับด้วยรอยยิ้มใสซื่อ
“เสี่ยวเป่า?” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างแปลกใจเล็กน้อย
ไม่เจอหน้าเด็กขอทานคนนี้หลายวัน ไม่ต้องพูดเลย ในใจยังมีความรู้สึกคิดถึงอยู่เล็กน้อยจริงๆ
“พี่รอง แหะ ฉันเห็นผู้ชายคนนี้เดินเล่นอยู่หน้าร้านอาหารชุนเซียง เลยได้คุยกับเขาอยู่หลายประโยค ใครจะรู้ว่าเขาอยากท้าพี่สู้อีกรอบ ฉันก็เลยพาเขามา” กู่เสี่ยวเป่าเดินเซออกมา
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองเขาอย่างจนปัญญาแวบหนึ่ง “นายนี่นะ ช่างหาแต่เรื่องจริงๆ นี่ฉันทำงานนะ นายจะพาเขามาที่นี่ทำไม ไม่ใช่ว่ามาก่อความวุ่นวายเหรอ”
“ไม่รีบๆ ท้าสู้ก่อนค่อยทำงานก็ไม่เสียงานหรอก” ซางเทียนซั่วพูดยิ้มๆ ในรอยยิ้มแฝงความขอร้องอยู่เล็กน้อย
กู่เสี่ยวเป่าขยับเข้าใกล้ซ่งจื่อเซวียน พูดว่า “นี่ พี่รอง พี่อยากจะลองแข่งกับเขาไหม”
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่เขา กดเสียงเบาพูด “แข่งอะไรเล่า เขาทำอาหารไม่ได้เลยสักนิด คราวก่อนเคยแข่งที่ร้านชุนเซียงแล้ว”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่ตอนนี้พี่มาที่ใหม่แล้ว อยากได้ลูกศิษย์สักคนไหม”
“ลูกศิษย์?” ซ่งจื่อเซวียนชะงัก มองตาคู่นั้นของกู่เสี่ยวเป่า เหมือนสายตานี้มีความคิดไม่ดีอยู่นับไม่ถ้วน “หมายความว่าไง”
“ฮ่าๆ ชงชาเสิร์ฟน้ำ บีบไหล่ทุบขา อีกอย่างนะพี่รอง ฉันยังรู้มาด้วยว่าเขามีเส้นสายอยู่นิดหน่อยด้วย” กู่เสี่ยวเป่าพูดด้วยรอยยิ้ม
“เส้นสาย? เส้นสายอะไร”
“โธ่ พี่รอง พี่จะซื่อสัตย์แบบนี้ไม่ได้สิ ถ้าในวงการมีคนมารังแกพี่จะทำยังไง ไม่ต้องหาลูกมือสักคนเหรอ ร่างกายคนคนนี้ไม่เลวเลย ช่วงเวลาสำคัญมาช่วยโดนทุบตีแทนพี่ก็โอเคนะ”
ซ่งจื่อเซวียนหมดคำจะพูดจริงๆ ตนเองทำงานอยู่ดีๆ จะมาหาคนถูกทุบตีแทนอะไร แต่มีจุดหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกสนใจอยู่เล็กน้อย ก็คือทักษะมีดของซางเทียนซั่ว แล้วก็มีดทำครัวหัวหมาป่าของเขาอีก
“อืม…ที่นายพูดเหมือนจะมีเหตุผลอยู่บ้าง”
กู่เสี่ยวเป่ายิ้ม ทำมือโอเค หันหน้าไปพูด “เฮ้ย พี่รองของฉันพูดแล้ว ท้าสู้ได้ แต่ต้องพนันอย่างหนึ่ง”
“พนัน? ได้สิ เท่าไรว่ามาเลย!” ซางเทียนซั่วพูดอย่างใจกว้าง เหมือนว่าพนันเงินนิดหน่อยสำหรับเขาแล้วไม่นับว่าเป็นเรื่องอะไร
“เงิน…พี่รองฉันก็มี จะพนันก็พนันให้ดุดันหน่อย นายก็พูดมาว่ากล้าไม่กล้า!” กู่เสี่ยวเป่าเชิดหน้าพูด
“ให้ตายสิ ฉันไม่กล้าได้ไง นายลองไปถามดูได้เลย ฉัน ซางเทียนซั่ว ไม่มีใครไม่รู้ว่าฉัน…”
ไม่รอให้เขาพูดจบ กู่เสี่ยวเป่าก็ยกมือขึ้น พูดว่า “โอเคๆ โม้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ถ้านายกล้าพวกเราก็พนันกันว่าใครแพ้คนนั้นเป็นลูกศิษย์ของอีกฝ่ายเป็นยังไง”
“อะไรนะ ลูกศิษย์ ล้อเล่นอะไร ฉันเป็นลูกศิษย์เขาเนี่ยนะ เขาเด็กกว่าฉันนะ!” ซางเทียนซั่วถอยหลังไปครึ่งก้าว
กู่เสี่ยวเป่ายักไหล่ยิ้มๆ “อย่างนี้ก็พูดได้ว่านายคิดจะแพ้สินะ ถ้างั้นก็อย่าท้าสู้เลย พี่รองของฉันไม่อยากเอารัดเอาเปรียบนาย”
“ล้อเล่นอะไร ใครบอกว่าฉันคิดว่าจะแพ้ ฉันเปล่าซะหน่อย” ทันทีที่ซางเทียนซั่วได้ยินกู่เสี่ยวเป่าพูดแบบนี้ก็ร้อนใจขึ้นมา “แข่งก็แข่ง ใครไม่กล้าคนนั้นอ่อน!”
ซ่งจื่อเซวียนข้างๆ อดลอบยิ้มไม่ได้ กู่เสี่ยวเป่าแย่มาก เขามองนิสัยของซางเทียนซั่วทะลุปรุโปร่ง เหมือนตะล่อมๆ ทีละประโยคพาเดิน ขุดหลุมรอให้ซางเทียนซั่วกระโดดลงไป
ซางเทียนซั่วพูดจบ ก็มองไปทางซ่งจื่อเซวียน “นายว่ายังไง กล้ารับคำท้าไหม ใครแพ้คนนั้นเป็นลูกศิษย์!”
“เดี๋ยวก่อน พี่รองของฉันกล้าอยู่แล้ว เพียงแต่…” กู่เสี่ยวเป่าพูดพลางยิ้มเย็น
“เพียงแต่อะไร ทำไมนายถึงเรื่องเยอะแบบนี้ล่ะ” ซางเทียนซั่วกระวนกระวายใจบ้างแล้วอย่างเห็นได้ชัด
“ฮ่าๆ เพียงแต่ต้องพูดว่าการเป็นลูกศิษย์ที่ดีต้องทำอะไร จะให้คนเป็นลูกศิษย์แล้วไม่ทำอะไรก็ไม่ได้ใช่ไหม”
“นี่…ยังต้องทำงานด้วยเหรอ”
กู่เสี่ยวเป่ายิ้ม เอามือไพล่หลัง “ชงชาเสิร์ฟน้ำ บีบไหล่ทุบขานี่ก็พื้นฐานที่สุด สรุปคืออาจารย์ให้ทำอะไรก็ต้องทำ อาจารย์เจอกับอันตรายก็ต้องมาบังไว้ด้านหน้า จะทำอะไรต้องให้อาจารย์อนุมัติก่อนถึงจะทำได้!”
ซางเทียนซั่วได้ยินดังนั้นหน้าก็ปั้นยาก เขาคิดไม่ถึงว่าจะท้าสู้สักหน่อยยังทำให้ตนเองที่ท้าสู้กลายเป็นลูกศิษย์ด้วย อ้อ ไม่สิ เป็นลูกน้อง เป็นเด็กรับใช้ขนานแท้…
“ยังไง ไม่กล้าเหรอ” กู่เสี่ยวเป่าเห็นซางเทียนซั่วไม่พูดไม่จา รีบขยับเข้าไปถาม
“ใคร ใครไม่กล้า ไม่กล้าก็โง่แล้ว มาสิ นายว่ามาเลยว่าจะแข่งอะไร”
ซ่งจื่อเซวียนพูดยิ้มๆ “คราวที่แล้วแข่งข้าวผัด ข้าวผัดรมควันของนายนั่นฉันไม่กล้าสรรเสริญจริงๆ เอาอย่างนี้ วันนี้เอาง่ายๆ แล้วกัน ผัดเนื้อเป็นยังไง”
“ผัดเนื้อเหรอ ง่ายขนาดนี้จะมีความหมายอะไร ถ้าจะแข่งก็ต้องแข่งแบบในหนังนู่น แข่งที่มันซับซ้อนหน่อย!”
ทันทีที่ซางเทียนซั่วพูดออกมา ซ่งจื่อเซวียนก็รู้ว่าเขาเป็นคนนอกวงการจริงๆ ชอบฝีมือการทำอาหารเพียงเพราะอาหารในภาพยนตร์
“เหอะๆ พ่อครัวที่ลึกล้ำถึงจะทำอาหารง่ายๆ ให้ออกมาประณีตและโดดเด่นได้ จริงๆ แล้วอาหารที่ซับซ้อนจะทำออกมาโดยพึ่งวัตถุดิบคุณภาพดี ทำให้อำพรางทักษะที่แท้จริงด้วย” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ซางเทียนซั่วครุ่นคิด พยักหน้าพูด “อืม ที่นายพูดก็มีเหตุผลมาก งั้นก็ผัดเนื้อเถอะ”
“คิก” กู่เสี่ยวเป่าหัวเราะออกมา คิดในใจว่าชายคนนี้โลเลจริงๆ คนอื่นพูดยังไง เขาก็ว่าอย่างนั้น…
จากนั้น ทั้งสามคนก็เดินเข้าไปในภัตตาคาร แต่กู่เสี่ยวเป่าเพิ่งจะเข้าไป ก็ถูกพนักงานคนหนึ่งดักไว้
“เฮ้ย เด็กขอทาน ใครให้นายเข้ามา”
ทันที่ตะโกน พนักงานคนอื่นๆ ก็สังเกตเห็นทางนี้ แต่ละคนเผยสีหน้ารังเกียจออกมา
แน่นอนว่าโจวเผิงที่นั่งอยู่ไม่ไกลก็เห็นแล้ว เขาไม่ได้แค่มองเห็นตอนนี้เท่านั้น ยังเห็นซ่งจื่อเซวียน กู่เสี่ยวเป่าและซางเทียนซั่วเดินเข้ามาจากด้านนอกด้วยกันอีกด้วย เขาไม่ได้ยินเนื้อหาที่พูดคุยกันแน่ๆ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่ากู่เสี่ยวเป่าและซ่งจื่อเซวียนรู้จักกัน
“หึ เป็นเพื่อนกับขอทาน ก็เห็นอนาคตจากจุดนี้แล้ว!”
พูดจบ เขาก็เดินไป พูดว่า “ใครเป็นคนพาขอทานเข้ามา”
โจวเผิงถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้ว เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้าไปที่ซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนก็พากู่เสี่ยวเป่าเข้ามาโดยลืมสถานะของเขาไปชั่วขณะ แต่ในเมื่อโจวเผิงถามแล้ว เขาก็ใช่ว่าต้องไม่ยอมรับ จึงก้าวออกมาอย่างง่ายดาย
แต่ไม่รอให้เขาเปิดปากพูด ซางเทียนซั่วก็พูดว่า “ฉันพาเข้ามาเอง ทำไม ไม่โอเคเหรอ ข้ามีเงิน ชวนเขามาเลี้ยงข้าวพวกนายไม่โอเคเหรอ”
ทันทีที่ซางเทียนซั่วพูดจาหาเรื่อง ความเป็นนักเลงก็เผยออกมาทันที พูดจบ โจวเผิงและพนักงานหลายคนก็ชะงักเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“ซ่งจื่อเซวียน พวกเขา…พวกเขาเป็นใคร!” ในที่สุดโจวเผิงก็หันไปถามซ่งจื่อเซวียน
“หืม คนเขามากินข้าว คุณจะถามผมทำไม” ซ่งจื่อเซวียนตอบไหลตามคำพูดของซางเทียนซั่วเมื่อครู่ทันที ความจริงแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร คนเขาเป็นลูกค้า มาแล้วก็ต้องต้อนรับ
“นาย…” โจวเผิงหัวเสีย ในใจคิดว่าพวกนายรู้จักกันชัดๆ ตอนนี้กลับมาเป็นอย่างนี้เหรอ
แต่คนเขาบอกว่ามากินข้าว โจวเผิงพูดต่อไปก็คงไม่ดี ทำได้เพียงพูดว่า “ได้ ให้พวกเขาสั่งข้าว!”
ซางเทียนซั่วไม่เกรงใจอย่างสิ้นเชิง หยิบเมนูอาหารมาก็สั่งไปสิบอย่าง หลังจากนั้นก็พูดว่า “น้องชาย เป็นยังไง พอไหม”
“เหอะๆ ไม่สำคัญเลย อันไหนก็ไม่เคยกินทั้งนั้น จริงสิ อย่าเรียกฉันว่าน้องชาย เราสองคนอาจจะต่างรุ่นกันก็ได้”
กู่เสี่ยวเป่าไม่รับน้ำใจ เผยรอยยิ้มไปทางซางเทียนซั่ว ความหมายในคำพูดชัดเจนมาก ถ้าเขาแพ้ซ่งจื่อเซวียน ก็จะกลายเป็นรุ่นศิษย์ ว่ากันตามหลักเหตุผลต้องเรียกกู่เสี่ยวเป่าว่าอาด้วยซ้ำ
ซางเทียนซั่วสีหน้าอึมครึมทันที ในใจคิดว่านายเป็นขอทานคนหนึ่ง ฉันเลี้ยงข้าวนาย นายยังจะซ่าใส่อีกเหรอ
โจวเผิงมองออร์เดอร์ที่สั่งไปเต็มที่ห้าร้อยกว่าหยวน เขาหันไปหาพนักงานคนหนึ่ง “ยังไงก็เป็นยอดขายในร้าน ปล่อยพวกเขาไป ให้พวกเขาจ่ายเงินก่อน”
“ครับ ผู้จัดการ”
หลังจากนั้น โจวเผิงก็เดินออกจากร้านอาหาร อย่างไรเมื่อครู่โดนตบหน้าไปจังๆ เขาต้องออกไปเดินเล่นสักรอบให้ใจเย็นลง อึดอัดมากไปแล้ว
ซางเทียนซั่วไม่ละล้าละลัง จ่ายเงินทันที พูดว่า “ให้พวกเขาค่อยๆ ทำ พวกเราสองคนไปประลองกันเถอะ!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ที่เรื่องมาถึงตรงนี้ได้ต้องโทษโจวเผิง และก็มีแต่ทำแบบนี้เท่านั้น เขาพยักหน้าเบาๆ “เอาสิ”
ทั้งสองเดินเข้าไปในครัวด้านหลัง กู่เสี่ยวเป่ากลับนั่งรออาหารอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นพระเจ้า สองขายกขึ้นพาดไขว้กันบนโต๊ะ สั่นหัวอย่างอิ่มเอม
ในครัวด้านหลัง อาหารสิบอย่างนี้ส่งเข้ามา ก็มากพอที่จะทำให้เชฟหลายคนยุ่งกับงานสักพัก ซ่งจื่อเซวียนเดินตรงไปที่เตาของตนเอง พูดว่า “ซางเทียนซั่ว ฉันไม่มีเครื่องครัว”
“หา? จะไม่มีเครื่องครัวได้ยังไง นายไม่ใช่เชฟของที่นี่เหรอ อีกทั้งเงินเดือนก็แปดหมื่น…”
ได้ยินคำพูดนี้ หลี่เทาที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะเสียงดัง “หา? แปดหมื่น? ฮ่าๆๆ ขำตายเลย ไอ้เด็กเวรอย่างนายโม้ไว้ข้างนอกขนาดนี้เลยเหรอ”
ช่วงสาย เจิ้งฮุยพูดถึงภูมิหลังของซ่งจื่อเซวียนกับทีมเชฟแล้ว บอกว่าเขาเป็นแจกันดอกไม้ เดาว่าปีนี้คงผัดข้าวผัด 899 หยวนไม่ไหว ดังนั้นทีมเชฟจึงไม่มีใครจริงจังเรื่องซ่งจื่อเซวียน
เมื่อได้ยินว่าเงินเดือนแปดหมื่น หลี่เทาจึงหัวเราะจนแทบหมดลม
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจ แต่ซางเทียนซั่วกลับไม่พอใจ “มารดามันเถอะ คำพูดของข้าเกี่ยวอะไรกับเจ้า รนหาที่ตายเหรอ รีบทำอาหารให้ข้าไปเถอะ พูดจาไร้สาระอยู่นั่น!”
“นาย…” หลี่เทาเห็นท่าทางดุร้ายของซางเทียนซั่ว คิดจะพูดอะไรสักอย่างแต่กลับพูดไม่ออก โดยเฉพาะตอนที่เขาพูดว่าทำอาหารให้ข้า หลี่เทาก็เข้าใจว่าเขาเป็นลูกค้าแน่นอน จะไปกล่าวโทษก็ไม่ได้
ซางเทียนซั่วทำเรื่องบุ่มบ่าม ย้ายเครื่องครัวทั้งหมดจากเคาน์เตอร์ใกล้ๆ มา “เอ้า ใช้สิ!”
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก แต่ไม่นานนักก็ยิ้มออกมา “เฮอๆ โครตได้ใจเลย งั้นก็มาเถอะ!”
สิ้นเสียง ในหัวซ่งจื่อเซวียนก็เป็นภาพที่หยางต้าฉุยผัดอาหารในวันนั้น ดูเหมือนจะไม่ได้ลืมรายละเอียดใดๆ ไปเลย ราวกับภาพนั้นฉายซ้ำในหัวสมองอีกครั้งแบบภาพยนตร์
แต่ท่าทางของเขาก็ขยับไปตามความทรงจำ ทุกย่างก้าวไม่ต่างกันเลยแม้แต่น้อย!
เปลวไฟพุ่งออกมาจากตะหลิวสี่สิบห้าสิบเซนติเมตร ท่าทางของซ่งจื่อเซวียนราวกับเป็นศิลปะ ทำเสร็จในรวดเดียวอย่างเรียบร้อยราบรื่น
“หึ แจกันดอกไม้ ผัดให้สุกได้ก็ไม่แย่แล้ว!” หลี่เทาข้างๆ พึมพำ
แต่ตอนที่เขาเพิ่งพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็กลับตะหลิว เอาชิ้นเนื้ออกจากกระทะแล้ว
“ฮ่าๆๆ ไอ้หนู ได้แตะเตาไหมน่ะ ชิ้นเนื้อพวกนั้นของนายยังไม่สุกเลยนะ!” หลี่เทาพูดกลั้วหัวเราะ
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้มองเขาสักนิด เผยยิ้มมั่นใจให้ซางเทียนซั่ว พูดว่า “ชิมดูสิ”
ท่าทีซางเทียนซั่วไม่ต่างจากหลี่เทา ในมุมมองของเขา ชิ้นเนื้อพวกนี้ออกมาจากกระทะเร็วเกินไปอย่างเห็นได้ชัด เขาหยิบตะเกียบคู่หนึ่งคีบชิ้นเนื้อขึ้นมา พูดว่า “นี่ยังต้องชิมเหรอ พี่ชาย ชิ้นเนื้อของนายยังแดงอยู่เลย อีกทั้งยัง…”
ยังไม่ทันพูดจบ ทันทีที่ชิ้นเนื้อเข้าไปในปาก หน้าซางเทียนซั่วก็แข็งค้างไป
……………………………………….