เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 24 เรียกนายท่านรองสิ
ตอนที่ 24 เรียกนายท่านรองสิ
ท่าทางโอเวอร์ของซางเทียนซั่วไม่ใช่เพราะชิ้นเนื้อรสชาติดีขนาดนั้น แต่ในมุมมองของเขาชิ้นเนื้อนี้ยกออกจากกระทะเร็วมาก ไม่น่าจะสุกได้เลย แต่ชั่วขณะที่เข้าปากกลับเด้งไม่เสียความนุ่มไป สดอร่อยและไม่มีกลิ่นคาว
พูดได้ว่านี่เป็นชิ้นเนื้อที่นุ่มที่สุดที่เขาเคยกินมา เทียบดูแล้ว รสชาติอร่อยหรือไม่นั้นไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เพียงแค่สัมผัสที่เข้าปากก็มากพอจะชวนให้ลุ่มหลงแล้ว
“ตานายแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มน้อยๆ
ซางเทียนซั่วแทบจะตะลึงงันอยู่ตรงนั้นสิบกว่าวินาที ถึงได้สติกลับมา “ฮะ อ้อๆ…”
พูดจบ เขาก็วางกระเป๋าเป้ข้างหลังลง รูดซิปเปิดกระเป๋าครู่หนึ่ง กระทั่งซ่งจื่อเซวียนมีความรู้สึกคาดหวังอยู่บ้าง เป็นพ่อครัวย่อมต้านทานแรงดึงดูดจากเครื่องครัวคุณภาพสูงได้ยากอยู่แล้ว โดยเฉพาะมีดหัวหมาป่าเล่มนั้นของซางเทียนซั่วที่น่าจะเป็นหนึ่งในมีดระดับสูง
แต่ซางเทียนซั่วชักช้ามาก เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ จู่ๆ เขาก็หยุด มองซ่งจื่อเซวียนแวบหนึ่ง รูดซิปปิดทันที
ซ่งจื่อเซวียนชะงักไป ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่ว่าชายคนนี้อยากจะท้าสู้ฝีมือทำอาหารกับตนเองเหรอ ทำไมถึง…
“ช่างเถอะ ฉันแพ้แล้ว ฉันผัดชิ้นเนื้อออกมาแบบนายไม่ได้หรอก” ซางเทียนซั่วพูดด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มน้อยๆ ความจริงเขาเข้าใจฝีมือทำอาหารของซางเทียนซั่วตั้งแต่คราวก่อนแล้ว โดยเฉพาะข้าวผัดรมควันยิ่งจดจำได้ฝังลึก ดังนั้นผลลัพธ์นี้จึงถือว่ามั่นใจมาก
“เหอะๆ อย่างนั้นก็ออกไปกินข้าวเถอะ”
พูดจบ เขาจึงเดินออกไป และซางเทียนซั่วเดินตามด้านหลัง
เห็นทั้งสองคนเดินออกไป หลี่เทามองอย่างโง่งม พูดกับตนเองว่า “แม่งเป็นบ้ากันเหรอ ผัดชิ้นเนื้อดิบไปที่หนึ่ง แถมยังพูดแพ้อะไรนั่นอีก…”
หลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปหยิบชิ้นเนื้อจานนั้นขึ้นมาดู ท่าทางเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม เดินปรี่ไปเททิ้งลงถังขยะ
ในโถงร้าน กู่เสี่ยวเป่ากำลังนั่งยองๆ บนเก้าอี้หยิบอาหารยัดเข้าปากคำใหญ่ อาหารเพิ่งมาเสิร์ฟสองอย่างก็กินไปแล้วไม่น้อย เห็นได้ชัดว่าเด็กขอทานคนนี้หิวสุดๆ แล้ว
เห็นพวกซ่งจื่อเซวียนเดินออกมา กู่เสี่ยวเป่าก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าๆ จบแล้วเหรอ ดีใจกับพี่รองด้วยที่มีลูกศิษย์แล้ว”
ซางเทียนซั่วจ้องกู่เสี่ยวเป่าอย่างดุร้าย ในใจคิดว่าลูกศิษย์ก็ลูกศิษย์สิวะ ลูกศิษย์น้อยอะไรนั่นด้วย…
“นายรู้ได้ไงว่าฉันแพ้แล้ว” ซางเทียนซั่วถาม
กู่เสี่ยวเป่ายิ้ม “นั่นมันแน่อยู่แล้วสิ ฝีมือทำอาหารของพี่รองฉันจะไม่เชื่อมั่นได้ยังไง ส่วนนาย…ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ก็ไม่มีทางเทียบกับพี่รองของฉันได้หรอก เพียงแต่ฉันคิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้ คงไม่ใช่ว่านายยอมแพ้เองหรอกนะ”
ซางเทียนซั่วแอบพูดว่าไอ้เด็กขอทานนี่เทพจริงๆ ไม่เพียงแค่เดาออกว่าฉันแพ้แล้ว ยังรู้ด้วยว่าฉันยอมแพ้เอง
“ฉันยอมซูฮกเลย ชิ้นเนื้อผัดของเขาสมบูรณ์แบบมาก ฉันเลยไม่จำเป็นต้องทำอีกรอบ” ซางเทียนซั่วอธิบาย
“เอาเถอะ งั้นก็คารวะอาจารย์ซะสิ มีเหล้ามีอาหารพอดี มาเถอะ!” กู่เสี่ยวเป่าตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ซางเทียนซั่วชะงัก “คารวะอาจารย์? ไม่ได้พูดว่าต้องคารวะอาจารย์นี่!”
“อ่าวเฮ้ย ไม่ใช่ว่านายคืนคำหรอกใช่ไหม แต่พวกเราคุยกันไว้แล้วนี่ นี่คือเดิมพันของการแข่งขันครั้งนี้!” กู่เสี่ยวเป่าถลึงตาขึ้นพูด
“ฉันคืนคำเหรอ ข้าทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก แต่ที่คุยกันน่ะ มันให้ฉันเป็นลูกศิษย์ เขาเป็นอาจารย์ ไม่ใช่เรื่องคารวะอาจารย์นี่!”
กู่เสี่ยวเป่ายิ้ม “นี่นายไม่ไร้ยางอายไปหน่อยเหรอ ไม่คารวะอาจารย์จะถือเป็นความสัมพันธ์อาจารย์ลูกศิษย์ได้ยังไง อีกอย่างพวกเราก็ตกลงกันแล้วว่าอาจารย์พูดอะไรลูกศิษย์ก็ต้องทำตาม ใช่ไหม พี่รอง”
เห็นกู่เสี่ยวเป่าหันมาถามตนเอง ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็ตอบด้วยรอยยิ้ม “แต่ละอาชีพย่อมมีกฎของแต่ละอาชีพ อาชีพพ่อครัวถือว่ามีประเพณี ว่ากันตามกฎก็ควรจะคารวะอาจารย์”
“เอ่อ…” ซางเทียนซั่วรู้สึกแค่ว่าใบหน้าร้อนผ่าว รู้สึกอายคน แต่กล้าพนันก็ต้องยอมรับผล และเขาก็ไม่ใช่คนเอารัดเอาเปรียบ “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้น…คารวะท่านอาจารย์”
พูดจบ เขาก็ยกแก้วเบียร์ พูดว่า “ท่านอาจารย์ วันนี้ผมพนันก็ต้องยอมรับผล คารวะคุณเป็นอาจารย์ เรื่องก่อนหน้าเป็นผมที่ผิดเอง คราวก่อนไม่ควรเอาพริกใส่ปากคุณ และไม่ควรเอาถุงเท้าเข้าไปในปากคุณ ผม…”
“เอาล่ะๆ ไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้แล้ว…” ซ่งจื่อเซวียนหน้าแดง ในใจคิดว่านายนี่ซื่อสัตย์จริงๆ เรื่องแบบนี้ยังมาพูดข้างนอก แม้เรื่องนั้นซ่งจื่อเซวียนจะไม่ผูกใจเจ็บได้ แต่พูดออกไปก็อายคน
“อ้อ อย่างนั้นคุณก็ดื่มสุราแก้วนี้ให้หมดเถิด ผมก็จะเป็นศิษย์ของคุณแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มน้อยๆ ยกแก้วสุราขึ้นดื่มจนหมด เขาดื่มกับตาเฒ่าฟางออกบ่อย คอจะอ่อนได้ยังไง
ดื่มสุราไป ก็ก่อความสัมพันธ์อาจารย์ลูกศิษย์ขึ้นแล้ว ซางเทียนซั่วยกสุราขึ้นอีกแก้ว พูดว่า “เหอะๆ ที่จริงฉันก็พอรู้เรื่องรู้ราวอยู่บ้าง คารวะอาจารย์ก็ไม่นับเป็นอะไรเลย ปีนี้อาจารย์อายุเท่าไรแล้ว”
“สิบแปดแล้ว”
“ฮ่าๆๆๆ ฉันยี่สิบสองแล้ว…” ซางเทียนซั่วพูดจบก็คิดว่าน่าละอายใจอยู่บ้าง รู้สึกว่าวันนี้ผิดแผนไปในทันใด คารวะอาจารย์ไม่เท่าไร แต่คารวะอาจารย์ที่เด็กกว่าตัวเองสี่ปี คิดๆ แล้วก็น่าอับอายอยู่นิดหน่อย
แต่ในเมื่อคารวะไปแล้ว เขาไม่มีทางคืนคำได้แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นชิ้นเนื้อของซ่งจื่อเซวียนในสายตาของเขาก็โดดเด่น อาจารย์คนนี้มีความสามารถจริงๆ
ตอนนี้ก็ผ่านช่วงเที่ยงที่ยุ่งที่สุดไปแล้ว ในร้านไม่มีงานอะไร ส่วนซ่งจื่อเซวียนก็ยิ่งไม่มีงานทำ จึงดื่มกับซางเทียนซั่วเสียเลย
กู่เสี่ยวเป่าไม่ได้ดื่มเลย เขาใช้มือจับสาหร่ายทะเลแทบทุกจาน ทั่วทั้งโต๊ะเปรอะไปด้วยน้ำมันจากอาหาร ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วก็ไม่ได้อยากกินอะไร จึงแค่ดื่ม
ทั้งสองพูดคุยกัน ซ่งจื่อเซวียนถึงได้รู้ว่า ภูมิหลังของซางเทียนซั่วคนนี้ก็ไม่ได้เป็นนักเลงน้อยอะไร เป็นทายาทเศรษฐีรุ่นที่สองของที่บ้าน แต่คิดๆ แล้วก็ถูกต้อง เด็กในครอบครัวทั่วไปจะใส่เสื้อผ้ามีเกรดขนาดนั้นได้ยังไง โดยเฉพาะมีดหัวหมาป่าเล่มนั้นด้วยแล้ว ราคาต้องแพงไม่น้อยแน่ๆ
แน่นอนว่าสำหรับมีดทำครัวแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้สนใจจะถาม ถึงอย่างไรก็เป็นของใช้ส่วนตัวของซางเทียนซั่วเขา
อิ่มหนำสำราญทั้งอาหารทั้งสุรา ซางเทียนซั่วก็จากไป ก่อนจะไป กู่เสี่ยวเป่าก็ไม่ลืมกำชับเขาว่าให้ทำตามสัญญา และยังให้ทิ้งช่องทางติดต่อให้ซ่งจื่อเซวียนด้วย หลังจากนั้นกู่เสี่ยวเป่าก็จากไปเช่นกัน ถึงอย่างไรเด็กขอทานคนหนึ่งจะมาอยู่ในภัตตาคารใหญ่ก็ไม่ค่อยเหมาะสมนัก
และทุกอย่างนี้ก็อยู่ในสายตาของโจวเผิง สีหน้าของเขามืดครึ้ม พูดกับตัวเอง “หึ พาขอทานเข้ามาในร้าน ให้คนนอกเข้ามาแตะต้องเคาน์เตอร์ในครัวด้านหลัง อีกทั้งยังกินเหล้าในเวลางาน ไอ้หนู มีนายอยู่ อีกไม่นานฉันจะทำให้นายต้องไสหัวไปซะ!”
ถึงแม้ว่าต้าสือไต้จะเพิ่งเปิดร้าน แต่จำนวนลูกค้าที่หมุนเวียนเข้ามาก็นับว่ามีไม่น้อย โดยทั่วไปแล้ว เพราะลูกค้าที่มาภัตตาคารต้าสือไต้ส่วนใหญ่มาเป็นครอบครัวหรือไม่ก็บริษัทเพื่อกินมื้อเย็น ดังนั้นการตระเตรียมงานของครัวด้านหลังช่วงบ่ายเคร่งเครียดยิ่งกว่าช่วงสาย
โดยเฉพาะยิ่งใกล้ช่วงมื้อเย็น เชฟแต่ละคนต่างก็ต้องเข้าประจำตำแหน่ง วัตถุดิบก็ต้องเตรียมให้เรียบร้อยแล้วเสร็จ บวกกับลูกค้าบางคนเริ่มสั่งอาหารตั้งแต่สี่โมงกว่า ก็ถือว่าเริ่มงานแล้ว
“หัวหน้าเชฟไม่อยู่ ทุกคนเร่งมือหน่อย อย่าทำให้ลูกพี่กังวลใจ เหล่าอู๋ แกะหอยเชลล์หรือยัง” หลี่เทาตะโกนเสียงดัง
“เหล่าอู๋ แมงกะพรุนล่ะ ทางจานเย็นจะเอาตั้งนานแล้ว!”
ในคนเหล่านี้ ดูเหมือนเหล่าอู๋จะทำงานเป็นเด็กครัวแท้ๆ รับผิดชอบส่งของต่างๆ ให้เหล่าเชฟโดยเฉพาะ เห็นเพียงสองมือของเขายกวัตถุดิบสำเร็จรูปห้าจาน อีกทั้งเดินในครัวอย่างรวดเร็วก็ยังมั่นคงมาก
เพล้ง…
เมื่อครู่ยังมั่นคงมาก ทว่าเมื่อเห็นเหล่าอู๋เหยียบน้ำมันที่หกอยู่บนพื้น ก็ลื่นล้มหงายหลังหน้าขึ้นฟ้าทันที จานและวัตถุดิบในมือหกเละเทะ
“ให้ตายสิ ทำอะไรเนี่ย ฉันรอเสิร์ฟอาหารอยู่นะ!”
“แม่มันเถอะ นายมาสร้างปัญหาใช่ไหมเนี่ย”
เหล่าเชฟก็เริ่มก่นด่าทันที ดูออกได้เลยว่า ตำแหน่งครัวด้านหลังแห่งนี้แบ่งแยกกันอย่างชัดเจน ได้จับตะหลิวตำแหน่งสูงแน่นอน ลดหลั่นลงมาก็คือจานเย็น หั่นวัตถุดิบ สุดท้ายก็คือเหล่าอู๋ที่ทำหน้าที่เด็กครัว
หลี่เทาเห็นเหตุการณ์สีหน้าก็มืดครึ้ม เดินเข้าไปยกเท้าวางที่เอวเหล่าอู๋ เหล่าอู๋เจ็บจนร้องโอดโอยออกมา แต่เหมือนหลี่เทาไม่มีความคิดที่จะหยุดเลย ตะหลิวในมือยกขึ้นตีไปที่ไหล่ของเหล่าอู๋
“อ้าก…” เสียงร้องของเหล่าอู๋น่าเวทนาเหมือนหมูถูกฆ่า แต่คนรอบๆ ก็ไม่ได้สนใจ ต่างคนต่างใช้สายตาตำหนิมองเขาเหมือนเดิม
ซ่งจื่อเซวียนมองอึ้งๆ นี่ใช่ครัวด้านหลังไหมเนี่ย เย็นชากันแบบนี้ยังถือว่าเป็นทีมอะไรอีก
เขาเดินไปจับข้อมือของหลี่เทาเอาไว้ ไม่ให้เอาตะหลิวตีลงไปอีก
“คุณตีคนได้ยังไง” ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
“ไอ้เด็กเวร เกี่ยวอะไรกับนาย ไปให้พ้นหน้าฉัน!”
ซ่งจื่อเซวียนไม่ขยับ จับข้อมือของหลี่เทาไว้แน่น “เรื่องอะไรถึงต้องลงไม้ลงมือกับเขาล่ะ เขาส่งนั่นทำนี่ให้พวกคุณอยู่ทุกวัน ก็ต้องยอมให้พวกคุณตีเหรอ อีกอย่างบนพื้นมีน้ำมันก็คือหน้าที่รับผิดชอบของพวกคุณ พวกคุณทำอย่างนี้กับเพื่อนร่วมงานได้ยังไง”
ถ้อยคำแต่ละคำของซ่งจื่อเซวียนเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ ดวงตาจดจ้องหลี่เทา ไม่ยอมถอยให้เลยสักนิด
“เสี่ยวซ่ง” เหล่าอู๋ที่ล้มอยู่กับพื้นเรียก “ช่างเถอะ ฉันผิดเอง ถ่วงเวลาทุกคนเสิร์ฟอาหาร นายอย่าใส่ใจเลย”
“อะไรคืออย่าใส่ใจเล่า นี่ก็เป็นที่ทำงานของผมนะ เกิดปัญหาทุกคนก็มีหน้าที่ของตัวเอง จะยังไงก็ไม่ควรลงไม้ลงมือ!” ซ่งจื่อเซวียนกรุ่นโกรธ คิดไม่ถึงว่าเหล่าอู๋จะไม่รักศักดิ์ศรีขนาดนี้ แต่ในเมื่อเป็นอย่างนี้ เขาก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงท่าที
“นาย…ได้ ก็ได้ ไม่ตีเขา ข้าตีนายแล้วกัน!”
ขณะที่พูด หลี่เทาสะบัดมือของซ่งจื่อเซวียนจนหลุด มือข้างหนึ่งดึงคอเสื้อของซ่งจื่อเซวียน อีกข้างถือตะหลิวยกขึ้นเหนือศีรษะของซ่งจื่อเซวียน
หลี่เทาอดกลั้นความโกรธมาระยะหนึ่งแล้ว ประกอบกับเจิ้งฮุยก็ไม่ชอบเด็กใหม่คนนี้เหมือนกัน เขาจึงต้องจัดการซ่งจื่อเซวียนสักที ไม่เพียงแค่ระบายอารมณ์ของตนเองเท่านั้น ยังเหมือนเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดีต่อหัวหน้าเชฟด้วย
แต่ตะหลิวที่จับอยู่ยังไม่ทันแตะเนื้อต้องตัวซ่งจื่อเซวียน ก็ถูกจับรั้งไว้อีกครั้ง
แรงครั้งนี้รุนแรงยิ่งกว่า เหมือนกับคีมเหล็ก กุมไว้จนสีหน้าของหลี่เทาเปลี่ยนไปอยู่บ้างเล็กน้อย
คนที่ลงมือไม่ใช่ซ่งจื่อเซวียน แต่เป็นซางเทียนซั่วที่อยู่ด้านหลังเขา! ส่วนเขาโผล่มาเมื่อไรนั้น เหมือนว่าจะไม่มีคนสังเกตเห็น
“แม่มันเถอะ ตีอาจารย์ฉัน แกอยากตายใช่ไหม”
ขณะที่พูด ซางเทียนซั่วออกแรงผลักหลี่เทาไปด้านหลัง เรี่ยวแรงของทั้งสองต่างกันมาก หลี่เทาที่ถูกผลักหกล้มไปชนกับชั้นวางอาหารจังๆ วัตถุดิบทุกอย่างกระจัดกระจายไปทั่วพื้น จานก็แตกละเอียด…
“แก…แกตีฉัน…”
“ตีแกเหรอ ข้าจะสับแกต่างหาก!”
พูดพลาง ซางเทียนซั่วก็ยึดมีดมา ท่าทางเหมือนไม่ได้ล้อเล่นเลยสักนิด ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้คิดจะทะเลาะวิวาทเลยสักนิด เห็นภาพนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวเช่นกัน
แต่ไม่รอให้ซ่งจื่อเซวียนเข้ามาห้ามปราม เห็นเพียงหลี่เทากอดศีรษะตัวเองไว้ตะโกนพูด “ลูกพี่ ลูก…อย่า อย่า ผมยอมแล้ว…”
“ยอมแล้ว? อย่ามาขอร้องฉันเลย ไปขอร้องกับอาจารย์ฉันนู่น!” ซางเทียนซั่วพูดพลางชี้ไปที่ซ่งจื่อเซวียน
หลี่เทาไหนเลยจะกล้าไม่เชื่อฟัง คลานไปหน้าซ่งจื่อเซวียนทันที “พี่ใหญ่ ผมผิดไปแล้วพี่ใหญ่!”
ซ่งจื่อเซวียนจ้องหลี่เทาแวบหนึ่ง “ขอโทษด้วย ฉันเป็นลูกคนที่สอง”
“อ้อ จริงสิ พี่รอง พี่รองอย่าให้เขาตีผมเลยนะ!”
ซางเทียนซั่วโกรธเคือง ยกเท้าขึ้น “แม่มันเถอะ ข้ายังต้องเรียกเขาว่าอาจารย์ แกกล้าเรียกเขาว่าพี่รองเหรอ เรียกนายท่านรองสิ!”
……………………………………….