เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 25 ไม่ต้องรีบเรียกว่าพ่อ
ตอนที่ 25 ไม่ต้องรีบเรียกว่าพ่อ
บรรยากาศครัวด้านหลังเคร่งเครียดไประยะหนึ่ง
ต้องรู้ไว้ว่า เมื่ออยู่ในครัวด้านหลังของเชฟทีมนี้ คำพูดของเจิ้งฮุยถือเป็นคำขาด ประโยคเดียวของเขาสามารถตัดสินให้ใครอยู่หรือไปก็ได้ แต่ปกติหลี่เทาประจบประแจงเจิ้งฮุยอยู่ไม่น้อย จึงถือว่าเป็นมือขวาของหัวหน้าเชฟ เจิ้งฮุยไม่อยู่ เขาก็เป็นลูกพี่
วันนี้ทุกคนไม่คิดว่าหลี่เทาจะล้ม ไม่ใช่แค่ล้มเท่านั้น ยังล้มในมือของเด็กใหม่ด้วย ที่สำคัญที่สุดคือไม่รู้ว่าเฉิงเหย่าจิน[1]จากไหนยื่นมือมาตีเขา…
ดังคำพูดที่ว่า คนเลวกลัวคนนิสัยรุนแรง คนนิสัยรุนแรงกลัวอันตรายถึงชีวิต การขัดแย้งนี้ยังไม่ถึงขั้นอันตรายถึงชีวิต แต่ซางเทียนซั่วนิสัยรุนแรงกว่าหลี่เทามากแน่นอน
ได้ยินคำพูดของซางเทียนซั่ว หลี่เทาก็ชะงักไป เรียกพี่เขายังทนได้ ถึงอย่างไรปกติก็เคยเรียกอยู่บ่อยครั้ง แต่เรียกนายท่าน อีกทั้งดูซ่งจื่อเซวียนแล้วยังอายุสิบกว่าปีเท่านั้น…
“แม่มันเถอะ จะเรียกไม่เรียก ไม่งั้นวันนี้ฉันจะให้นายกินถังแก๊สไปซะ!” ขณะที่พูด ซางเทียนซั่วก็ยกถังแก๊สข้างๆ ขึ้น ชายคนนี้มีท่าทางเป็นอันตรายถึงชีวิตหลายส่วนจริงๆ
“นายท่านรอง…” หลี่เทาหน้าเปลี่ยนสี ต้องรู้ว่าถ้าโดนฟาดถังแก๊สฟาดขึ้นมาก็มีชีวิตไม่ถึงแก่ชราแน่นอน “ผมเรียกแล้ว อย่าตีเลย นายท่านรอง นายท่านรองยกโทษให้ผมเถอะ”
ในใจซ่งจื่อเซวียนกลับอยากจะหัวเราะ เขานึกถึงท่าทางยิ่งใหญ่วางก้ามของหลี่เทาเวลาปกติ แต่ดูท่าทางขลาดเขลาตอนนี้ ความจริงไม่ใช่แค่เขา คนที่เคยทนกับการถูกรังแกมาก่อนในทีมเชฟไม่มีใครไม่อยากหัวเราะ
“เทียนซั่ว ช่างเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ซางเทียนซั่วถึงได้วางถังแก๊สลง ซ่งจื่อเซวียนพูดต่อ “หลี่เทา นายไม่อยากโดนตี นายก็ควรเข้าใจว่าเหล่าอู๋ก็ไม่อยากโดนตีเหมือนกัน หลักคำสอนที่ว่าสิ่งที่ตนเองไม่อยากได้ก็อย่ายัดเยียดให้ผู้อื่น นายอายุเท่านี้น่าจะเข้าใจ”
“ครับ นายท่านรอง ผมเข้าใจแล้ว หลังจากนี้ผมไม่กล้าแล้วครับ” แม้ปากจะพูดอย่างนั้น แต่ในใจเกลียดชังถึงขีดสุด คิดในใจว่ารอลูกพี่กลับมาก่อนเถอะ ฉันเสือกไสไล่ส่งนายแน่!
หลายคนกำลังพูดคุยกัน โจวเผิงก็เดินเข้ามาครัวด้านหลัง พูดว่า “เกิดอะไรขึ้น นานขนาดนี้ยังไม่เสิร์ฟอาหารอีกเหรอ หัวหน้าเชฟไปไหน”
ทันทีที่พูดประโยคนี้ หลายคนก็ชะงักไป พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะพูดเรื่องที่ซางเทียนซั่วตีหลี่เทาดีหรือไม่ และไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องที่เจิ้งฮุยไม่อยู่อย่างไร อย่างไรการทำงานในทีมเชฟนี้ยังถือว่าราบรื่นดี หัวหน้าเชฟจะอยู่หรือไม่อยู่ก็สามารถทำงานได้ตามปกติ ดังนั้นเจิ้งฮุยจึงแอบขี้เกียจดอดออกจากงานอยู่บ่อยครั้ง
“อ้อ ผู้จัดการโจว ไม่มีอะไรครับ ไม่มีอะไร เดี๋ยวพวกเราก็ทำเสร็จแล้วครับ เมื่อกี้เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย หัวหน้าเชฟไปเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวกลับมาครับ!” หลี่เทาออกแรงนวดสะโพกพลางพูด
โจงเผิงกลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง โดยเฉพาะสายตาสุดท้ายกวาดมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร
ความจริงแล้วเขาเข้ามาก็เพื่อเร่งอาหาร ส่วนที่เจิ้งฮุยไม่อยู่เขาก็รู้ ไม่ได้คิดจะถามผลลัพธ์ออกไป
หลังจากนั้น หลายคนก็เริ่มยุ่งกับงานตามหน้าที่ หลี่เทาค่อนข้างน่าเวทนาอยู่เล็กน้อย อย่างไรร่างกายก็เจ็บไปทั้งตัวและเพิ่งตกใจมาเมื่อครู่ มือขณะทำอาหารจึงยังสั่นอยู่บ้างหลายครั้ง
ส่วนทางซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วที่นั่งอยู่ข้างๆ ยังคงว่างงานอยู่
“อาจารย์ ทำไมพวกเขาถึงมีงานทำกันแล้วอาจารย์ยังนั่งอยู่นี่ล่ะ อาจารย์เป็นลูกพี่ของที่นี่เหรอ” ซางเทียนซั่วถาม
ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาพูด “นายเคยเห็นลูกพี่ที่ไหนเกือบจะโดนตีด้วยเหรอ”
“เอ่อมันก็…ถ้าอย่างนั้นทำไมล่ะ อาจารย์ฝีมือดีขนาดนี้ จะไม่มีงานให้ทำได้ยังไง”
“นายลองดูที่สัญลักษณ์ที่เคาน์เตอร์เอาเองเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ซางเทียนซั่วก็หันไปมองเคาน์เตอร์เตา “เตาข้าวผัดโดยเฉพาะ? ให้ตายเถอะ ภัตตาคารนี่น่าสนใจชะมัด ยังมีเตาแบบนี้อยู่ด้วย อาจารย์นี่…เป็นอาจารย์ข้าวผัดเหรอ เจ๋งโคตร”
ซ่งจื่อเซวียนไม่สนใจ
“แต่…คนที่สั่งข้าวผัดเป็นอาหารหลักๆ ในร้านอาหารก็มีไม่น้อยนี่นา ทำไมถึงไม่มีงานล่ะ”
ซางเทียนซั่วพึมพำกับตัวเอง ซ่งจื่อเซวียนก็ยังคงไม่สนใจเขา
ขณะที่ทั้งสองกำลังว่างอยู่นั้น เจิ้งฮุยเดินเข้ามา อย่างไรเขาก็เป็นหัวหน้าเชฟ ทันทีที่เข้ามาในครัวด้านหลังก็สัมผัสได้ว่าบรรยากาศไม่ถูกต้อง เขากวาดสายตาไปรอบๆ สุดท้ายสายตาก็ไปตกอยู่ที่ซางเทียนซั่ว
“ทำไมนายถึงเข้ามาในครัว” เจิ้งฮุยถาม
“นายเป็นใครวะ ยุ่งไร” ซางเทียนซั่วไม่ใช่คนในครัวด้านหลังอยู่แล้ว ถึงได้แสดงท่าทีแบบนี้ออกมา เปิดปากพูดไม่พอใจออกไป
“นาย…ฉันเป็นหัวหน้าเชฟ นายถามว่าฉันเป็นใครงั้นเหรอ ไป ออกไปให้พ้นหน้าฉัน!”
พูดพลาง เจิ้งฮุยก็อยากจะเข้าไปคว้าคอเสื้อซางเทียนซั่ว แต่ซางเทียนซั่วก็ไม่มีทางอดกลั้น ลุกขึ้นยืนปัดมือของเจิ้งฮุยทิ้งไป
ไม่ได้นับว่าแรงมาก แต่เจิ้งฮุยเคยถูกกระทำแบบนี้ที่ไหนกัน โดยเฉพาะที่ครัวด้านหลัง เขาอยู่ในสถานะลูกพี่มาตลอด
“แม่มันเถอะ ไอ้เด็กเวรที่ไหน บ้าไปแล้วหรือไง”
เห็นว่าจะเกิดเรื่อง ซ่งจื่อเซวียนก็รีบพูด “พอแล้วเทียนซั่ว นายออกไปก่อนไป”
“หา? อาจารย์ คนพวกนี้รังแกคนอื่น ถ้าผมไปพวกเขาก็จะพุ่งเป้ามาที่อาจารย์นะ” ซางเทียนซั่วไม่ยินยอมอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เป็นไร นายออกไปก่อนเถอะ” น้ำเสียงซ่งจื่อเซวียนมั่นใจมาก
แม้ซ่งจื่อเซวียนไม่กลัวเรื่องจะล่วงเกินเจิ้งฮุย แต่อย่างน้อยก็ควรไว้หน้าเขาบ้าง อย่างไรเขาเป็นถึงหัวหน้าเชฟ เหลือทางไว้สักทางเพื่อทำงานที่นี่ก็ดีกว่า
เห็นซ่งจื่อเซวียนยืนยันอย่างนี้ ซางเทียนซั่วก็ทำได้แค่เชื่อฟัง เขาชี้ไปที่เจิ้งฮุยพลางพูดว่า “ฉันเห็นแก่หน้าของอาจารย์ฉันหรอกนะถึงไม่สั่งสอนคนอย่างนาย แต่ถ้าฉันรู้ว่านายรังแกอาจารย์ฉันล่ะก็ ฉันฆ่านายแน่!”
ซางเทียนซั่วพูดจบก็เดินออกจากครัวด้านหลังไป เจิ้งฮุยแค่นเสียงเย็น “หึ ท้าทายฉัน ข้าจะทำลายนายทิ้งซะ”
พูดพลาง เขาก็มองไปทางซ่งจื่อเซวียน กลอกตาสุดแรง “คนอะไร ความสามารถไม่มีแต่รับลูกศิษย์…”
เสียงที่พูดประโยคนี้เบาลงเล็กน้อย แต่หมายถึงซ่งจื่อเซวียนอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่ายังได้ยินชัดเจน
ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้สนใจ นั่งลงไปที่เดิม
ด้วยการเสิร์ฟอาหารที่เร็วขึ้น ธุรกิจในโถงใหญ่ก็ค่อยๆ เฟื่องฟูขึ้นมา เนื่องจากเป็นภัตตาคารใหญ่ ทันทีที่เปิดกิจการก็ย่อมดึงดูดลูกค้าบางคนให้มารวมตัวกันได้ กิจการช่วงเย็นก็เริ่มเดินหน้าไปถูกที่ถูกทางอย่างเห็นได้ชัด
ผู้จัดการโถงร้านและพนักงานยุ่งอยู่กับการต้อนรับลูกค้า โจวเผิงก็ไม่ได้ว่างเช่นกัน ร้านอาหารคือที่ที่รู้จักกับเหล่าผู้มั่งคั่งด้วยอำนาจและเงินทองได้ง่ายที่สุด โดยเฉพาะภัตตาคารใหญ่ แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปล่อยผ่านไป เมื่อเห็นผู้คนกิริยาท่าทางสูงส่ง เขาก็พุ่งไปบริการโดยอัตโนมัติ ถือโอกาสพูดคุยสองสามประโยค หากมีโอกาสก็สานสัมพันธ์ไว้สักหน่อย หากไม่มีก็ไม่เป็นไร แล้วค่อยส่งให้พนักงานดูแลต่อ
ต้อนรับลูกค้าเสร็จ โจวเผิงก็เดินไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ พูดว่า “ลี่ลี่ เอาโคล่าให้ฉันขวด”
หลัวลี่ลี่ทำหน้าที่คิดเงินและเฝ้าตู้แช่เครื่องดื่ม หันหลังไปหยิบมาหนึ่งขวด พูดว่า “ผู้จัดการ เราเปิดร้านวันแรกก็ขายดีขนาดนี้ ดูท่าคงดังจริงๆ นะคะ”
“ฮ่าๆ นั่นมันแน่อยู่แล้ว ลี่ลี่ ฉันจะบอกอะไรให้นะ เธอตั้งใจทำงานที่นี่ให้ดีๆ อนาคตไกลแน่นอน” โจวเผิงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฉันเป็นพนักงานต้อนรับคนหนึ่งจะมีอนาคตไกลอะไรล่ะคะ แต่ผู้จัดการวางใจได้ ฉันจะตั้งใจทำงานให้มากๆ”
ได้ยินดังนั้น โจวเผิงก็ยิ้ม เดินเข้าไปในเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ยกมือขึ้นตบไปที่ไหล่ของหลัวลี่ลี่ พูดว่า “ลี่ลี่ หน้าตาเธอดี หุ่นก็ดี ตอนที่ฉันเห็นในตารางพนักงานก็สังเกตเห็นเธอแล้ว”
หลัวลี่ลี่ถอยหลังหลบไปหนึ่งก้าว พูดว่า “ผู้จัดการคะ ฉันไม่ได้นับว่าสวยอะไร ก็แค่ธรรมดาๆ ค่ะ”
“เธอยังนับว่าไม่สวยเหรอ เหอะๆ พูดแบบไม่ปิดบังเลยนะ ฉันทำงานในวงการอาหารมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นใครสวยเท่าเธอเลย เธอวางใจได้ ฉันเป็นผู้จัดการ คำพูดของฉันที่นี่ถือเป็นคำขาด ฉันสามารถมอบหน้าที่รับผิดชอบของเธอในอนาคตได้แน่นอน”
พูดพลาง ใบหน้าประดับรอยยิ้มของโจวเผิงแฝงความเย้าหยอกเอาไว้เล็กน้อย มือก็ยื่นไปที่มือของหลัวลี่ลี่ ชั่วขณะที่ผิวหนังใกล้จะสัมผัสกัน โจวเผิงก็คิดว่าตัวเองเมาแล้ว ผิวสัมผัสที่มือข้างนั้นนุ่มลื่นมาก
หลัวลี่ลี่รีบชักมือกลับทันที พูดว่า “งั้นถือว่าช่างมันดีกว่าค่ะ ฉันยังอยากพึ่งความขยันของตัวเองอยู่ ถ้าให้ผู้จัดการรับผิดชอบ…ก็ช่างมันดีกว่าค่ะ”
“ช่างมันดีกว่า? ฮ่าๆ ลี่ลี่ เธอนี่ใสซื่อจริงๆ ในยุคนี้จะยังพึ่งความขยันของตัวเองได้ที่ไหนกัน โดยเฉพาะเธอที่เป็นสาวสวยขนาดนี้ นี่ก็เป็นทรัพยากรของเธอนะ”
คำพูดของโจวเผิงกำลังบอกหลัวลี่ลี่เป็นนัยๆ อย่างเห็นได้ชัด แต่หลัวลี่ลี่ไม่ได้ตอบอะไร และมองออกไปนอกเคาน์เตอร์แคชเชียร์ “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่ากี่ที่คะ”
“หนึ่งที่ค่ะ ยังมีที่นั่งไหม”
เด็กสาววัยรุ่นที่พูดดูแล้วอายุไม่ถึงยี่สิบ แต่สิ่งที่สวมอยู่บนตัวกลับดูไม่ธรรมดามาก
เสื้อกันลมขนแกะสีอ่อน ลำคอสวมใส่สร้อยยี่ห้อปราดาอย่างชัดเจน กระเป๋าที่มือก็เป็นเบอร์เบอรี่ เนื่องจากรัศมีของร่างนี้เหนือกว่าคนธรรมดา ย่อมไม่มีใครคิดว่าสาวสวยเช่นนี้จะใช้ของก๊อปเกรดเอได้
“มี มีครับ มีแน่นอน เชิญด้านนี้เลยครับ”
โจวเผิงรีบเดินออกไป นำทางสาวสวยไปหาที่นั่ง หลัวลี่ลี่เหลือบตามองโจวเผิงแวบหนึ่ง พูดเสียงเบา “นิสัยอย่างกับผู้หญิงยังจะเจ้าชู้ขนาดนี้อีก น่ารำคาญจริงๆ”
ได้ที่นั่ง โจวเผิงก็นำเมนูอาหารส่งให้สาวสวย พูดว่า “คุณคนสวยครับ คุณลองดูนะครับว่าจะสั่งอะไรทาน ด้านหน้าเป็นอาหารเด่นๆ ของร้านเรา”
สาวสวยดูเมนู พูดว่า “อืม ฉันแค่คนเดียว ทานไม่ได้มากเท่าไร เอ๊ะ ทำไมข้าวผัดนี่ถึงแพงขนาดนี้ล่ะ พวกคุณคงไม่ได้พิมพ์ผิดใช่ไหมคะ”
“ฮ่าๆ ใครจะรู้ล่ะครับ เถ้าแก่ตั้งราคานี้ ความจริงพวกเราก็ไม่ได้คิดจะดันเท่าไร เอาอย่างนี้ คุณลองเป็นหางวัวซิกเนเชอร์ของร้านเราดูไหม อร่อยมาก ดีต่อผิวด้วยนะครับ” โจวเผิงพูดด้วยรอยยิ้มน้อยๆ
“ไม่มีทางหรอก…ถ้าไม่ใช่เพราะพิมพ์ผิด ก็น่าจะต้องมีจุดขายสิ เอาอย่างนี้ค่ะ ฉันเอาข้าวผัดจักรพรรดิหนึ่งที่ แล้วก็ผัดผักน้ำมันหอยหนึ่งที่ แค่นี้ค่ะ”
“เอ่อ…คุณแน่ใจนะครับ 899 หยวนเลยนะครับ!” โจวเผิงตะลึงลานเล็กน้อย ดูท่าเด็กสาวคนนี้จะร่ำรวยมาก แต่ก็ไม่น่าจะร่ำรวยขนาดนั้นมั้ง กินอาหารคนเดียวใช้เงินหนึ่งพันหยวนเลยเหรอ
“อืม แน่ใจค่ะ ฉันอยากลองว่าข้าวผัดอะไรถึงราคาขนาดนี้” สาวสวยยิ้มน้อยๆ ดวงตาโค้งเป็นพระจันทร์เสี้ยว สวยสุดๆ
ในครัวด้านหลัง เนื่องจากกิจการเฟื่องฟูจนยุ่งถึงขีดสุดแล้ว จึงมีแค่ซ่งจื่อเซวียนคนเดียวที่ยังคงนั่งนิ่งๆ มองคนงานยุ่งพวกนั้น ก็เหมือนดูละครลิงอยู่เล็กน้อย…
“เฮ้ย ซ่งจื่อเซวียน นายก็อย่ามัวแต่นั่งเบื่อๆ ยกอาหารออกไป หลังจากนั้นก็เช็ดพื้นตรงนี้ซะ” เจิ้งฮุยพูด
“เช็ดพื้น? เหมือนจะไม่ใช่งานของผมนะครับ!” ซ่งจื่อเซวียนพูด ความจริงแล้วยกอาหารก็ช่างปะไร ก่อนหน้านี้เขาก็เคยทำมาก่อน แต่เช็ดพื้น…ไม่ใช่งานที่เชฟทำชัดๆ
“หึ นายคงไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ดูแลแค่ข้าวผัดหรอกใช่ไหม ฉันจะบอกอะไรนายให้นะ ข้าวผัดของนายนั่นขายทั้งชีวิตก็ขายไม่ได้หรอก นายเป็นเด็กครัวอยู่ที่นี่จะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นนายก็ไสหัวออกไปให้พ้นหน้าฉัน! ครัวด้านหลังของฉัน เจิ้งฮุยไม่เลี้ยงดูคนขี้เกียจ!”
ถ้อยคำนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าตลกดี พูดว่า “เหอะๆ ทำไมถึงเป็นครัวด้านหลังของคุณล่ะ อีกอย่างผมก็ไม่ใช่คนที่คุณจ้างมาก คุณไม่มีสิทธิ์ตรงนี้! พูดอีกรอบสิ ใครบอกว่าข้าวผัดของผมจะขายไม่ได้”
“สมองนายโดนลาเตะหรือไง ข้าวผัดนั่นของนายที่หนึ่ง 899 หยวน คนโง่เท่านั้นแหละถึงจะซื้อ” เจิ้งฮุยพูดพลางยกตะหลิวขึ้นมา “ไม่ต้องพูดว่ากี่วันเลย ปีหนึ่งถ้านายขายได้สักที่ ฉันจะเรียกนายว่าพ่อเลยเอ้า!”
เจิ้งฉุยเพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นในเครื่องสั่งอาหารมีออร์เดอร์ใบหนึ่งออกมา เชฟคนหนึ่งดึงออร์เดอร์ออกมา ตาสองข้างแข็งค้างไปแล้ว
“หัว หัวหน้าเชฟครับ ข้าวผัดจักรพรรดิ…899 นั่น…”
ทั้งห้องครัวเงียบเชียบไร้เสียง
ซ่งจื่อเซวียนรับออร์เดอร์มาดูแวบหนึ่ง พูดว่า “งั้นก็โอเคเลย ไม่ต้องรีบเรียกว่าพ่อนะ คุณไปเอาเครื่องครัวชุดหนึ่งให้ผมก่อนดีกว่า”
……………………………………………..
[1] เฉิงเหย่าจิน (程咬金) เป็นนักรบในยุคราชวงศ์ถัง ในบริบทนี้อุปมาการปราฏตัวของบุคคลที่ไม่ได้คาดคิด ทำให้ผิดแผนไปหมด