เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 26 ข้าวผัดปลอม
ตอนที่ 26 ข้าวผัดปลอม
เจิ้งฮุยโกรธ สีหน้าเปลี่ยนไป อยู่ในวงการมาหลายสิบปี เขาไม่ได้นับว่ามีผู้คนชมเชยทุกวัน แต่อย่างน้อยก็ไม่เคยมีใครทำกิริยาน่าเกลียดแบบนี้
ต้องรู้ว่าต่อให้เชิญหัวหน้าระดับนี้มาทำงานได้ เถ้าแก่ก็ยังต้องเกรงอกเกรงใจเขา แต่วันนี้…อับอายขายขี้หน้าถึงบ้านยายแล้วจริงๆ
สำคัญที่สุดคือซ่งจื่อเซวียนยังไม่ได้พูดอะไรเลย เป็นเขาที่พูดออกมาเองทั้งหมดว่าถ้าขายข้าวผัดได้ที่หนึ่งจะเรียกว่าพ่อ ความเจ็บปวดรวดร้าวนี้มาเร็วเสียเหลือเกิน
เป็นหัวหน้าเชฟ ความรับผิดชอบของเขาตอนนี้ก็คือเสิร์ฟอาหารให้ไวที่สุด แต่จะเสิร์ฟอาหารอย่างไร กลับเป็นคำพูดของเขาที่เป็นคำขาด
“หึ เอาสิ ฉันอยากจะลองดูข้าวผัด 899 หยวนนี่ว่ามีอะไรดี หลี่เทา นายเป็นคนทำ!”
“ครับ ลูกพี่!” หลี่เทาแสยะยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเข้าใจความหมายของเจิ้งฮุย นี่คือการแย่งสิทธิของซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนรับผิดชอบข้าวผัด ก็ดี แม้แต่ข้าวผัดฉันก็จะไม่ให้นายทำ หลี่เทามีความสุข ในใจคิด ซ่งจื่อเซวียนหนอซ่งจื่อเซวียน นายหาเรื่องใครไม่หา ไปหาเรื่องเจิ้งฮุย นี่ไม่อยากทำงานแล้วใช่ไหม
ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่ได้ร้อนรนเลยแม้แต่นิดเดียว เขารู้อยู่แล้วว่าข้าวผัดจักรพรรดิใช่ว่าใครๆ ก็ผัดได้ หากมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นจริงๆ เจิ้งฮุยก็เป็นคนรับผิดชอบอยู่ดี
“เหอะๆ ถ้าพวกคุณคิดจะทำจริงๆ ผมคงห้ามไม่ได้ แต่…ผมหวังว่าพวกคุณคิดก่อนแล้วค่อยพูดจะดีกว่า” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ไสหัวไป ข้าไม่เชื่อหรอกว่านายจะเข้าใจข้าวผัดราคาสูงแบบนี้มากกว่าได้ยังไง”
พูดจบ เจิ้งฮุยก็เดินไปหาหลี่เทา กำกับขั้นตอนการทำข้าวผัดทุกขั้นตอน เชฟคนอื่นๆ ก็เข้าไปรุมล้อมเช่นกัน ถึงอย่างไรโอกาสที่หัวหน้าเชฟจะลงมือแนะนำด้วยตัวเองมีไม่มาก พวกเขาก็ต้องตั้งใจเรียนรู้
“ลูกพี่ ข้าวผัด 899 หยวนนี่ต้องทำยังไงครับ” หลี่เทาถาม
“หึ พวกเราไม่รู้ค่าข้าวผัดที่หนึ่งหรอก โดยเฉพาะพวกเราที่เป็นเชฟยิ่งรู้ว่ามันเป็นอาหารต้นทุนต่ำ แต่ทำอย่างไรถึงจะทำให้มันมีมูลค่าสูงขึ้นมาได้ ก็มีเพียงวัตถุดิบเท่านั้น พวกเราจะมาใส่ทองคำในข้าวผัดทุกจานไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
เจิ้งฮุยพูดจบ ทุกคนก็หัวเราะ ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะออกมาเช่นกัน ตามเหตุผลที่เขาพูดก็ไม่ได้ผิด อีกอย่างยังมีอารมณ์ขันร่วมด้วยเล็กน้อย เขาน่าจะเป็นอาจารย์ที่ไม่เลวเลย แต่น่าเสียดาย…เขาไม่เข้าใจข้าวผัดหยกทองเลย!
เจิ้งฮุยพยักหน้า “ที่พูดมาก็ไม่ผิดหรอก แต่ก็ต้องระวังสีสันประกอบด้วยนะ ข้าวผัดที่คุ้มค่าคุ้มราคาแปดร้อยกว่าหยวน ต่อให้นายใส่กุ้งแกะเปลือกไปหลายกรัมก็ไม่ถือว่าเยอะ แต่นั่นก็เกินสมควร ดังนั้นพวกเราต้องใส่ใจทั้งสีกลิ่นรสชาติ เข้าใจไหม”
“เข้าใจครับ!”
หลี่เทาสั่งให้เหล่าอู๋เอาปลิงทะเล หอยเป๋าฮื๊อและกุ้งสดแกะเปลือกมาทันที เจิ้งฮุยยิ้มก่อนเอ่ย “กำไรวางไว้ตรงนั้นแล้วกัน ทำไมถึงขี้งกขนาดนี้ล่ะ เหล่าอู๋ ไปช้อนปูอลาสก้าที่หน้าโถงมาสักตัวไป”
ประโยคนี้ทำพวกเชฟตะลึงค้างไป ใส่ปู่อลาสก้าในข้าวผัดเหรอ นี่ก็โอเวอร์ไปหน่อยมั้ง…
“ลูกพี่อยากจะใช้กระดองปูอลาสก้าตกแต่งใช่ไหม อย่างนี้ดูจากภายนอกแล้วหรูหรามากเลยครับ!” หลี่เทาพูด
เจิ้งฮุยพยักหน้าหัวเราะ “ที่แท้เจ้าเด็กคนนี้ก็มีไหวพริบ แค่พูดก็เข้าใจ แน่นอนอยู่แล้วว่าข้าวผัดจักรพรรดิต้องใช้กระดองปูอลาสก้ามาตกแต่ง ไม่อย่างนั้นจะเหมาะสมกับชื่อได้ไง แต่ฉันยังเอาเนื้อขาปูและไข่ปูมาใส่ข้าวผัดได้อีกด้วย ถ้าทำอย่างนี้กลิ่นก็จะยิ่งหอม อีกทั้งรสสัมผัสก็ยิ่งดีขึ้นอีก”
“ไอเดียสร้างสรรค์มากครับ สมแล้วที่เป็นลูกพี่ฮุย โคตรเจ๋งเลย!”
ได้ฟังที่เจิ้งฮุยแนะนำ แต่ละคนก็พากันตื่นเต้นขึ้นมา เหมือนกับโรงพยาบาลเจอกับโรคที่รักษาไม่หายแล้วต้องเปิดประชุมผู้เชี่ยวชาญเพื่อปรึกษากัน
ไม่นานนัก ทุกคนก็ยุ่งกับงานไปพร้อมๆ กัน บ้างก็ยกเป๋าฮื๊อขึ้นมาจากนั้นก็หั่นเป็นชิ้นๆ บ้างก็แกะเปลือกกุ้ง เพราะอย่างไรข้าวผัดจักรพรรดิใช้กุ้งแช่แข็งไม่ได้ ต้องใช้กุ้งตัวใหญ่ๆ สดๆ แกะเปลือกออกมาแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ
ยังมีผู้เชี่ยวชาญที่เริ่มแกะกระดองปูอลาสก้า เอาเนื้อขาปูและไข่ปูออกมา ด้านซ่งจื่อเซวียนก็ดูด้วยความเพลิดเพลิน ถึงอย่างไรส่วนผสมเหล่านี้ก็เห็นได้น้อยมากในร้านอาหารชุนเซียง โดยเฉพาะปูอลาสก้า เขาที่โตมาขนาดนี้ยังเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
แต่ในกรรมวิธีนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็กำลังศึกษาอยู่เงียบๆ โดยเฉพาะวิธีการแกะปู ดูแล้วให้ความรู้สึกเหมือนเป็นงานศิลปะจริงๆ
สิบกว่านาที ทุกคนก็จัดเตรียมส่วนผสมอย่างขยันขันแข็งจนเสร็จ ท้ายที่สุดเจิ้งฮุยก็ตัดสินใจลงมือเอง
ขั้นตอนการทำข้าวผัดของเขาแทบไม่มีอะไรแตกต่าง แต่ส่วนผสมกลับแพงเสียจนทำคนจ้องตาเป็นมัน อาหารทะเลใส่ลงไปในกระทะทีละอย่าง เขามองซ่งจื่อเซวียนแวบหนึ่ง “เหอะๆ ไอ้หนู ให้ฉันได้สอนนายว่าอะไรคือข้าวผัดจักรพรรดิที่แท้จริงเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนแค่ส่งยิ้มให้เขาเล็กน้อย ไม่ได้ตอบกลับใดๆ แต่ในมุมของเจิ้งฮุย สภาพจิตใจของซ่งจื่อเซวียนตอนนี้จะต้องย่ำแย่แล้วแน่ๆ นี่เทียบได้กับชามข้าวของเขาถูกทุบจนแตกแล้ว
เจิ้งฮุยตักข้าวผัดออกจากกระทะนำไปใส่ในกระดองปูอลาสก้าอย่างระมัดระวัง จากนั้นใส่พริกไทยดำเพิ่มเล็กน้อย แฮมนำเข้าสองแผ่นและไข่คาเวียร์สีดำเล็กน้อย บางทีต่อให้เป็นเชฟพวกนี้ก็ไม่เคยเห็นข้าวผัดชั้นสูงขนาดนี้มาก่อนเลย
ตอนที่หลี่เทายกอาหารออกไปส่งให้ที่ช่องส่งอาหาร ยังแสร้งหยุดที่หน้าซ่งจื่อเซวียนครู่หนึ่งแล้วยิ้ม “ไอ้หนู เห็นหรือยัง ข้าวผัดแบบนี้…นายทำออกมาไม่ได้หรอก!”
เห็นหลี่เทาเดินผ่านไป ซ่งจื่อเซวียนยิ้มอย่างจนปัญญา ความจริงที่เขาพูดก็ถูก ข้าวผัดแบบนี้เขาผัดออกมาไม่ได้แน่นอน เจิ้งฮุยก็คงไม่มีทางให้เขาใช้ส่วนผสมพวกนี้ ถึงอย่างไรครัวด้านหลังนี่…คำพูดของเขาถือเป็นคำขาด
ตอนที่พนักงานยกข้าวผัดออกเสิร์ฟก็ดึงดูดความสนใจลูกค้าไม่น้อย ถึงอย่างไรปูอลาสก้าก็ยังเป็นวัตถุดิบที่มีราคาแพงมากในเมืองใหญ่ ปูสดๆ ที่ขายตามชายทะเลเมืองเล็กๆ ยังตัวละสามร้อยถึงห้าร้อย มาถึงเมืองใหญ่ราคาก็ยิ่งทะยานขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
โจวเผิงมองอย่างอึ้งๆ นี่คือข้าวผัดจักรพรรดิเหรอ เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “ไอ้โง่เจิ้งฮุยนี่ ไม่นึกว่าจะให้ซ่งจื่อเซวียนนั่นใช้วัตถุดิบแบบนี้ จัดการดูแลครัวด้านหลังยังไงกันเนี่ย!”
แต่เมื่อข้าวผัดถูกยกไปอยู่ด้านหน้าของสาวสวย ท่าทางสาวสวยกลับไม่ได้ใส่ใจ ไม่ได้เผยความประหลาดใจ กระทั่งไม่ได้คาดหวังอะไรเลย
เธอค่อยๆ หยิบช้อนมาตักข้าวคำเล็กเข้าปาก ส่ายหน้าน้อยๆ “คุณพนักงาน รบกวนช่วยเรียกผู้จัดการของพวกคุณมาหน่อยได้ไหม”
โจวเผิงรีบมาในทันที “คุณคนสวยเรียกหาผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ”
ความจริงแล้วโจวเผิงยังอารมณ์ดีอยู่ ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นอาหารซิกเนเชอร์ของทางร้าน อีกทั้งเห็นหน้าตาก็ดูดี ต่อให้เขาไม่ชอบซ่งจื่อเซวียน ก็ต้องยอมรับว่าตอนที่เห็นข้าวผัดจานนี้ก็กระตุ้นความอยากอาหารของตนเองทันที
“คุณคือผู้จัดการเหรอคะ เหอะๆ ฉันอยากถามสักหน่อย แค่ข้าวผัดทะเลธรรมดาๆ จานหนึ่ง พวกคุณขายในราคา 899 หยวนเลยเหรอคะ”
“หืม มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ” ฟังความไม่พอใจจากคำพูดของสาวสวยออก โจวเผิงก็รู้สึกตื่นเต้นกับความได้เปรียบของตนอย่างอธิบายไม่ถูก หรือว่ารสชาติข้าวผัดไม่ดีกันนะ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ตนเองต้องแจ้งกับเถ้าแก่กับปากแน่นอนว่าอาหารซิกเนเชอร์จานนี้ของซ่งจื่อเซวียนทำให้ลูกค้าไม่พอใจ
“แน่นอนค่ะว่ามีปัญหา ในข้าวผัดจานนี้มีกุ้ง ปลิงทะเล หอยเป๋าฮื๊อ กระทั่งยังมีเนื้อขาปูและไข่ปูด้วย ด้านบนยังมีแฮมกับคาเวียร์อีก ส่วนผสมไม่เลวเลยจริงๆ แต่รสชาติ…ถ้าฉันขอเงินคืน คุณจะยินยอมไหมคะ”
“เอ่อ…” ถ้าลูกค้าขอเงินคืนกับอาหารทั่วไป แน่นอนว่าเขาไม่มีทางปฏิเสธ แต่ต้นทุนข้าวผัดนี่สูงขนาดนั้น…เขารู้สึกลำบากใจอยู่บ้างจริงๆ “คุณคนสวยครับ ไม่ทราบว่าคุณไม่พอใจตรงไหนเหรอครับ”
“มันก็แค่ข้าวผัดทะเลเท่านั้นเอง รสชาติก็แค่ผัดให้สุก ให้กินอาหารรสชาติแบบนี้ด้วยเงินแปดร้อยกว่าหยวน ฉันรู้สึกเหมือนโดนหลอก”
โจวเผิงเงียบไปครูหนึ่ง “เอาอย่างนี้ ผมจะเอาไปที่ครัวด้านหลัง จากนั้นจะแก้ปัญหาให้คุณครับ”
“รีบเอาออกไปเลยค่ะ!” สาวสวยพูดอย่างเหยียดหยามเล็กน้อย
โจวเผิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ดูท่าเด็กสาวคนสวยคนนี้อายุยังน้อย แต่รัศมีไม่ธรรมดาจริงๆ อีกทั้งดมดูแล้วข้าวผัดจานนี้ก็กลิ่นหอมเตะจมูก เธอพูดอย่างสุดจะทนขนาดนี้ก็อธิบายได้แค่สองอย่างเท่านั้น
หนึ่ง เดิมทีเธอไม่มีเงิน อยากกินแล้วก็ชักดาบ สอง มาตรฐานด้านอาหารเลิศรสของคนคนนี้ไม่ใช่แค่สูงในระดับทั่วๆ ไป แต่เมื่อพิจารณาจากที่เธอกินไปแค่คำเดียวเท่านั้น โจวเผิงก็ตัดความเป็นไปได้อย่างแรกออก
โจวเผิงเดินปรี่เข้าไปในครัวด้านหลังวางข้าวผัดลงบนโต๊ะแรงๆ “ซ่งจื่อเซวียน นี่ข้าวผัดที่นายทำเหรอ”
เสียงของโจวเผิงดังมาก ครัวด้านหลังเงียบลงทันที ทุกคนจับจ้องไปทางเขา
ซ่งจื่อเซวียนไม่พูด เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย
“ฉันถามนายก็พูดสิ นี่คือสิ่งที่เรียกว่าข้าวผัดจักรพรรดิเหรอ ลูกค้าร้องเรียนมาแล้วว่านี่ก็แค่ข้าวที่พึ่งส่วนผสมแล้วผัดให้สุกเท่านั้น ไม่คุ้มกับราคาแปดร้อยกว่าหยวนสักนิด!”
พูดประโยคนี้จบ เจิ้งฮุยหน้าเปลี่ยนสีก่อนเป็นคนแรก เหตุผลง่ายมาก เพราะเดิมทีข้าวผัดนี่เขาเป็นคนทำ
“ก็น่าจะคุ้มอยู่นะ ถึงยังไงก็มีอาหารทะเลเยอะขนาดนั้น” ซ่งจื่อเซวียนพูดเอื่อยๆ
“นายยังพูดอย่างไม่ละอายใจได้อยู่อีกเหรอ หึ ตอนนี้ลูกค้าต้องการขอเงินอาหารจานนี้คืนแล้ว นายใส่อาหารทะเลราคาแพงเยอะขนาดนี้ ต้นทุนนี้นายรับผิดชอบไหวเหรอ” โจวเผิงตะคอก เห็นท่าทางซ่งจื่อเซวียนสงบนิ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะยิ่งโมโห
ตอนนี้เอง เจิ้งฮุยก็เดินไป “ผู้จัดการ เราสองคนออกไปคุยกันข้างนอกสักหน่อยเถอะ”
“หัวหน้าเชฟ นายรอแป๊บ ฉันจะจัดการเรื่องของซ่งจื่อเซวียนก่อน!” โจวเผิงกำลังหัวเสีย อยากระบายอารมณ์ก่อนแล้วค่อยไปพูดคุยทีหลังอย่างเห็นได้ชัด
เจิ้งฮุยแอบดึงชายเสื้อของเขา ขยิบตาส่งสัญญาณ โจวเผิงถึงได้ฉุกคิดอะไรบางอย่าง ทั้งสองก็เดินออกจากครัวด้านหลังไปทันที
……
“อะไร เหล่าเจิ้งนายทำอะไร นายก็รู้ดีว่าเขารับผิดชอบทำข้าวผัดจักรพรรดิโดยเฉพาะ นาย…” ฟังเรื่องที่เกิดขึ้นจากเจิ้งฮุยจบ โจวเผิงก็โง่งมไปทันที
“โธ่ ผู้จัดการ ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าลูกค้าคนนั้นจะเอาใจยากขนาดนี้ ผมตั้งใจทำข้าวผัดจักรพรรดิอย่างเอาใจใส่จริงๆ ไม่ว่าจะสี กลิ่น รสชาติไม่มีทางมีปัญหาแน่นอน” เจิ้งฮุยอธิบาย
“สีกลิ่นรสอะไร คนเขาก็พูดอยู่ว่านี่มันแค่ข้าวผัดทะเล!”
ประโยคนี้ทำเจิ้งฮุยชะงักค้างไป ถึงอย่างไรเป็นพ่อครัวมาตั้งหลายปี ตอนนี้ยิ่งเป็นหัวหน้าเชฟอีก จากประสบการณ์ของเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าผิดปกติอยู่เล็กน้อย ข้าวผัดจักรพรรดิ ข้าวผัดทะเล…
ดูท่าตนเองจะประเมินข้าวผัดจักรพรรดิต่ำไปจริงๆ ถ้าแค่เพิ่มอาหารทะเลแพงๆ ไปแล้วทำไมถึงไม่เรียกว่าข้าวผัดทะเลจักรพรรดิล่ะ บางทีข้าวผัดจักรพรรดินี่อาจจะยังมีความลับอยู่จริงๆ ก็ได้
“งั้นตอนนี้ทำยังไงดีล่ะครับ ผู้จัดการ ถ้างั้น…ข้าวผัดจานนี้ผมชดใช้ให้โอเคไหมครับ” เจิ้งฮุยถาม
โจวเผิงครุ่นคิด “ตอนนี้ไม่ใช่ปัญหาที่ว่าใครเป็นคนชดใช้ เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวคนนั้นเข้าใจอาหารเลิศรสมาก แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเป็นใคร ถ้าเป็นนักตรวจสอบการปลอมแปลงมืออาชีพ เรื่องนี้เล็ดลอดออกไป เถ้าแก่ได้มาถามหาความรับผิดชอบกับฉันแน่ ถึงตอนนั้นฉันคิดจะปกป้องนายก็ปกป้องไม่ได้แล้ว”
“หา? อย่างนั้นทำยังไงดีล่ะ” เจิ้งฮุยคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเรื่องราวจะหนักหนาขนาดนี้ ร้อนใจทันที
เงียบไปครู่หนึ่ง โจวเผิงก็เผยยิ้มเย็น “โอกาสนี้…ถือว่าหาได้ยากจริงๆ ถ้าไม่ได้เอาความผิดโยนใส่หัวซ่งจื่อเซวียน คงน่าเสียดายน่าดูเลยใช่ไหมล่ะ”
“หืม ผู้จัดการโจว คุณหมายถึง…”
“เหอะๆ ไม่ต้องใส่ใจ เรื่องนี้ฉันเคลียร์เอง” พูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในครัวด้านหลัง
………………………………………….