เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 27 เป็นนายเองเหรอ
ตอนที่ 27 เป็นนายเองเหรอ
ในครัวด้านหลังยังคงยุ่งอยู่ เสียงเตาไฟ เสียงเครื่องดูดควัน เสียงเคาะกระทะดังมาไม่หยุด
โจวเผิงเดินมาใกล้ซ่งจื่อเซวียน พูดว่า “ซ่งจื่อเซวียน เมื่อกี้ขอโทษละกันนะ ฉันไม่ได้รู้เรื่องให้ชัดเจนก็อารมณ์เสียใส่นายไปก่อน”
เผชิญหน้ากับโจวเผิงที่รุกเข้ามาขอโทษ ซ่งจื่อเซวียนก็แปลกใจ แม้ว่าชายคนนี้หน้าตาท่าทางจะดูอ่อนโยนอยู่บ้าง แต่มองออกว่าหยิ่งผยองมากจนเข้ากระดูกดำ นึกไม่ถึงเลยว่าจะรุกเข้ามาก้มหัวขอโทษ…น่าเหลือเชื่อจริงๆ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ได้เก็บมาใส่ใจอยู่แล้ว” ซ่งจื่อเซวียนนั่งพิงผนัง เงยหน้ามองโจวเผิงแวบหนึ่ง
“เหอะๆ อย่างนั้นก็ดี นายดูสิ ตอนนี้ลูกค้ารายงานปัญหามาแล้ว นายทำให้อีกที่ได้ไหม” โจวเผิงพูดพลางยิ้มสู้ แต่ในใจกลับแอบด่าซ่งจื่อเซวียนอยู่เงียบๆ เจิ้งฮุยยังพูดกับเขาอย่างนอบน้อม แต่เจ้าเด็กนี่เห็นเขาที่เป็นผู้จัดการก็ยังไม่รู้จักลุกขึ้นมาอีก…
“ก็ได้ แต่ผมไม่มีเครื่องครัว” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ความจริงแล้วเขาไม่ได้แสร้งไม่ทำ ต่อให้เป็นตอนนี้ก็ไม่คิดจะดูว่าพวกเจิ้งฮุยจบเรื่องยังไง ถึงอย่างไรหน้าที่ของเขาก็มีแค่ข้าวผัดจักรพรรดิ แต่ปัญหาตอนนี้คือ…เขาไม่มีเครื่องครัวอะไรเลย
เทียบกับเคาน์เตอร์ทำครัวของคนอื่น มีแค่เคาน์เตอร์เตาของเขาเท่านั้นที่ว่างอยู่
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลาง เจิ้งฮุยก็เดินเข้ามาพอดี โจวเผิงหันหลังไปพูดว่า “เหล่าเจิ้ง เป็นอะไรของนาย กฎของเครื่องครัวฉันเข้าใจ แต่นายก็ควรเหลือไว้ที่เคาน์เตอร์เตาที่ละชุดไม่ใช่เหรอ”
“เอ่อ…ผู้จัดการ ไอ้เด็กนี่มันป่าเถื่อนเกินไป ผมก็อยากจะลองสอนเขาอยู่หรอก วันนั้นเราสองคนปรึกษากันแล้วไม่ใช่เหรอครับ เพราะงั้น…”
“ปรึกษากับผีสิ ฉันจะบอกนายนะเหล่าเจิ้ง ให้เวลานายสามนาที จัดวางเครื่องครัวและเครื่องปรุงที่ควรจะมีบนเคาน์เตอร์เตาของซ่งจื่อเซวียนให้เรียบร้อย ถ้าเสิร์ฟช้า เรื่องนี้ฉันปกป้องนายไม่ไหวหรอกนะ!”
โจวเผิงพูดจบก็เดินตรงออกไปจากครัวด้านหลัง ไม่เหลือทางรอดใดๆ ให้เจิ้งฮุยอย่างเห็นได้ชัด ส่วนเจิ้งฮุยก็ทำได้แค่ทำตามคำสั่ง สำหรับเขาแล้วตอนนี้อึดอัดเป็นที่สุด
คนในครัวด้านหลังก็มีเยอะ อยู่ใต้บังคับบัญชาของเจิ้งฮุย หนึ่งนาทีกว่าๆ เคาน์เตอร์เตาของซ่งจื่อเซวียนก็จัดวางของเรียบร้อยแล้ว ซึ่งรวมถึงกระทะ ตะหลิว มีดและเครื่องปรุงต่างๆ
เดินไปที่เคาน์เตอร์เตา ซ่งจื่อเซวียนแทบจะรู้สึกถึงหัวใจตนเองที่เต้นอยู่ได้ อย่างไรนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขายืนอยู่ที่เคาน์เตอร์เตาของครัวด้านหลังที่ใหญ่ขนาดนี้ เมื่อเทียบกันแล้ว เคาน์เตอร์เตาร้านอาหารชุนเซียงก็เป็นเหมือนกับของเล่น…
ข้าวผัดที่วางขายเป็นจานแรกจริงๆ ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้มมุมปากจนโค้งเล็กน้อย ชีวิตพ่อครัวของตนก็เริ่มต้นในวันนี้แล้ว!
ซ่งจื่อเซวียนจับกระทะแน่น ยิ้มอยู่ในใจ ถึงแม้ตนจะไม่เหมือนกับเชฟเหล่านั้นที่มีเครื่องครัวส่วนตัว แต่อย่างน้อยนี่ก็คือกระทะชุดแรกของตน เขาลูบคลำอยู่ในมือ ชอบจนพูดไม่ออก
พวกเจิ้งฮุยและหลี่เทาที่อยู่ข้างๆ มองเขาอยู่ราวกับรอดูการแสดง กระทั่งมีเชฟไม่น้อยวิ่งเข้ามาหลังจากงานในมือเพิ่งเสร็จ ท่าทางตั้งอกตั้งใจนั่นไม่น้อยไปกว่าตอนที่เจิ้งฮุยทำข้าวผัดทะเลเมื่อครู่เลย
หลี่เทาพูดเสียงเบา “ลูกพี่ พี่ทำอาหารให้ลูกค้ายังไม่โอเคเลย ถ้างั้นเจ้าเด็กนี่ก็ยิ่งไม่มีหวัง ลูกค้าคนนั้นคงไม่ใช่ว่าตั้งใจมาหาเรื่องหรอกนะ”
“หึ วันนี้ฉันก็อยากจะเปิดหูเปิดตาว่าอะไรคือข้าวผัดจักรพรรดิที่แท้จริงกันแน่”
ซ่งจื่อเซวียนเปิดเตา เริ่มทำตามลำดับขั้นตอนของตนเองท่ามกลางการจ้องมองของผู้คน
ทุกขั้นตอนของข้าวผัดจักรพรรดิ แทบจะไม่ต่างอะไรกับข้าวผัดทั่วๆ ไปแม้แต่น้อย ผัดไข่ ผัดข้าว จากนั้นก็ใส่ไข่ผัดกับเครื่องปรุง และขั้นตอนเหล่านี้ ในสายตาของเจิ้งฮุยไม่มีอะไรมากไปกว่าการละเล่นของเด็กเท่านั้น
“ให้ตาย ฉันนึกว่าเป็นของมีคุณค่าอะไร ข้าวผัดไข่หรอกเหรอ” หลี่เทาพูดเจือเสียงหัวเราะ
เจิ้งฮุยก็หัวเราะเสียงเบา “เจ๋งไปเลย ดูท่าวันนี้จะมีละครจริงๆ ให้ดูแล้ว ถ้ายกข้าวผัดจานนี้ไปเสิร์ฟ ไม่เกิดเรื่องสิถึงจะแปลก!”
ในใจเขาลอบมีความสุขเงียบๆ เห็นได้ชัดว่าซ่งจื่อเซวียนเอากระทะของตนเองไปแบกไว้ที่หลัง[1]แล้ว ดูท่าตนจะผ่านด่านนี้ไปได้แล้ว แต่ซ่งจื่อเซวียน…เหอะๆ
ถึงแม้ว่าพัดลมดูดอากาศจะเปิดอยู่ แต่กลิ่นอาหารในครัวด้านหลังผสมรวมกันตั้งนานแล้ว บวกกับเครื่องดูดควันด้านหน้าซ่งจื่อเซวียนก็เปิดแรงสุด ถึงขนาดที่ไม่มีใครคนไหนจับสังเกตกลิ่นข้าวผัดจักรพรรดิได้
ไม่นานนัก ข้าวผัดไข่ที่ดูแล้วไม่ได้มีอะไรพิเศษเลยสักนิดก็ถูกตักออกจากกระทะใส่ในจาน
ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะยกจาน เจิ้งฮุยก็พูดยิ้มๆ “ไอ้หนู นี่คือข้าวผัดจักรพรรดิเหรอ เหอะๆ วันนี้ฉันคนนี้ได้เปิดหูเปิดตาแล้วจริงๆ”
ซ่งจื่อเซวียนมองเจิ้งฮุย ยิ้มน้อยๆ ไม่ได้พูดอะไร เดินไปที่ช่องส่งอาหาร
ว่ากันตามจริง เชฟทำอาหารเสร็จไม่จำเป็นต้องยกออกไปเอง จะมีคนที่ทำหน้าที่เด็กครัวโดยเฉพาะมารับส่งอาหารต่อ แต่ซ่งจื่อเซวียนย่อมไม่มีสิทธินี้แน่นอน เขาก็เข้าใจดี จึงยกออกไปเอง
“ไม่รู้สิ ใครจะรู้ล่ะ รู้สึกว่าภัตตาคารนี่ได้เละตุ้มเป๊ะแน่” เจิ้งฮุยขมวดคิ้วพูด
ในโถงร้าน เห็นพนักงานยกข้าวผัดออกมา โจวเผิงรีบเข้ามา “นี่อะไร”
พนักงานดูใบออร์เดอร์แวบหนึ่ง พูว่า “เป็นข้าวผัดจักรพรรดิของลูกค้าโต๊ะสิบเก้าค่ะ”
“อะไรนะ ข้าวผัดจักรพรรดิเหรอ” ลูกตาสองข้างของโจวเผิงแทบถลนออกมา ถ้าบอกว่าข้าวผัดทะเลของเจิ้งฮุยไม่ได้มาตรฐาน อย่างนั้นข้าวผัดจานนี้ก็เป็นขยะแล้ว นี่ต่างอะไรกับข้าวผัดแปดหยวนข้างทางกัน
“เอ่อ…บนใบออร์เดอร์เขียนไว้อย่างนี้ค่ะ” พนักงานพูดอย่างลำบากใจเล็กน้อย
โจวเผิงลอบยิ้ม พูดว่า “ดี ยกไปเถอะ”
ครั้งนี้โจวเผิงไม่ได้เป็นคนเสิร์ฟอาหารให้สาวสวยคนนั้นด้วยตัวเอง แต่มองจากที่ไกลๆ เขาตัดสินใจทำทีเป็นผู้สังเกตการณ์ดูละครฉากนี้ ซ่งจื่อเซวียน ในเมื่อนายทำข้าวผัดออกมาแบบนี้ ก็อย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจเลยนะ
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เถ้าแก่ แต่โจวเผิงจัดการดูแลภัตตาคารโดยตรง สำหรับเรื่องทั้งหมดของที่นี่ก็มีเขาที่รายงานกับเถ้าแก่ อย่างข้าวผัดจานนี้…ไม่ว่าอย่างไรเถ้าแก่ก็น่าจะไล่ซ่งจื่อเซวียนออกอยู่แล้ว
ระหว่างทางที่พนักงานยกอาหารผ่าน ลูกค้าบางคนเงยหน้าขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แต่ไม่ได้มองไปที่ข้าวผัด และเหมือนกำลังจะหาอะไรอยู่
“กลิ่นอะไร ทำไมถึงหอมขนาดนี้”
“ว้าว หอมจัง ได้กลิ่นไหม”
“นั่นสิ ฉันก็ได้กลิ่นเหมือนกัน อาหารอะไรกัน”
ลูกค้าบางคนกระทั่งลุกขึ้นยืนหาที่มาของกลิ่น แต่อย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางคิดว่ากลิ่นนั้นจะมาจากข้าวผัดบนถาดในมือของพนักงาน อีกทั้งยังเป็นข้าวผัดไข่ที่จืดชืด…
เสิร์ฟข้าวผัดบนโต๊ะ จู่ๆ สาวสวยคนนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี ต้องรู้ว่าต่อให้เป็นข้าวผัดที่ใช้อาหารทะเลราคาแพงจำนวนหนึ่งทำออกมาก็ไม่ได้ทำให้เธอแสดงสีหน้าประทับใจ แต่ตอนนี้ อารมณ์เธอหวั่นไหวแล้ว
ตอนที่กลิ่นอาหารลอยมาเมื่อครู่ สาวสวยก็ได้กลิ่นแล้ว ตอนนั้น เธอก็มีความคิดที่จะไปถามดูว่านี่คือกลิ่นของอาหารเมนูไหน แต่ตอนที่ข้าวผัดจานนี้มาเสิร์ฟที่โต๊ะ เธอก็เข้าใจทันที นี่ก็คือข้าวผัดจักรพรรดิ
“นี่ข้าวผัดจักรพรรดิเหรอ” สาวสวยถาม
พนักงานถอยหลังไปครึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว กลัวว่าลูกค้าจะโกรธ ถึงอย่างไรเธอก็เห็นจากใบออร์เดอร์แล้ว ข้าวผัด 899 หยวนจานนี้ พูดตามตรง ใครที่เห็นข้าวผัดจานนี้ประกอบกับราคาก็คงจะคิดถึงคำบรรยายว่า ร้านผิดกฎหมาย!
“ใช่ ใช่ค่ะ”
สาวสวยพยักหน้า “ค่ะ รบกวนคุณรอสักครู่ค่อยไปนะคะ”
ได้ยินประโยคนี้ พนักงานก็ใจไม่สู้แล้ว เธอก็เป็นเพียงแค่พนักงานคนหนึ่ง รับหน้าที่ขนาดนี้ไม่ไหวหรอก เธอมองไปที่โจวเผิงแวบหนึ่งตามสัญชาตญาณ แต่คนหลังไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบกลับ เธอก็ทำได้แค่ยืนรออยู่ตรงนี้
สาวสวยค่อยๆ หยิบช้อนขึ้นตักใส่ปากหนึ่งคำ ก็อดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้ คลอนหัวเบาๆ ท่าทางเสวยสุขมาก
ต้องพูดเลยว่า จังหวะชีวิตในสังคมปัจจุบันนี้เร็วขึ้นเรื่อยๆ ผู้คนดิ้นรนวิ่งเต้นเพื่อดำรงชีพ จึงยากที่จะได้เสวยสุขกับอะไรอย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าการเสวยสุขจะดีแค่ไหน ก็ยากที่ผู้คนจะทุ่มเทสุดใจ
แต่ตอนนี้ ท่าทางของสาวสวยกลับดื่มด่ำอยู่กับอาหารรสเลิศ ใบหน้าสมบูรณ์แบบแต่เดิมก็ยิ่งเผยความรู้สึกเคลิบเคลิ้มออกมาอย่างเห็นได้ชัด
เห็นท่าทางของสาวสวยเปลี่ยนไป พนักงานก็ผ่อนลมหายใจได้ในที่สุด ดูท่าอย่างน้อยตนเองก็ไม่ต้องทนรับคำด่าแล้ว
และภาพต่อมาก็ยิ่งทำให้พนักงานจ้องมองอย่างประหลาดใจ สาวสวยคนนั้นที่ดูแล้วอายุไม่ถึงยี่สิบปี สง่างามเหนือกว่ามนุษย์มนาทั่วไป เมื่อครู่ยังมีท่าทางสงบเสงี่ยมมีมารยาท แต่ตอนนี้กลับกินข้าวคำใหญ่ ใส่เข้าปากทีละช้อนๆ ไม่สนใจภาพลักษณ์สาวงามทั้งสิ้นแล้ว
เห็นข้าวผัดสีเหลืองทองในช้อนที่ตักเข้าปาก และเห็นริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีอ่อนขยับไปมาตามการเคี้ยว บนริมฝีปากชุ่มไปด้วยน้ำมันในข้าวผัด ทุกการกระทำน่าหลงใหล ข้าวผัดจานหนึ่งกลับทำให้สาวสวยรู้สึกเหมือนกับกำลังกินอาหารระดับโลก
พนักงานที่มองภาพตรงหน้ารู้สึกว่าท้องหิวเล็กน้อย เธอตัดสินใจเงียบๆ ว่าอีกเดี๋ยวเลิกงานจะไปซื้อข้าวผัดไข่แน่นอน!
สาวสวยหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดปาก เห็นได้ชัดว่าอิ่มแล้ว ในจานยังเหลือไว้ไม่ถึงหนึ่งในสาม จากปริมาณอาหารที่เธอกินได้คงจะถึงขีดจำกัดแล้ว
“ขอโทษนะคะ เมื่อครู่จริงจังกับการทานไปหน่อย ทำให้คุณต้องรอนานเลย” คำพูดสาวสวยมีมารยาทมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทำให้พนักงานไม่พอใจอะไร “รบกวนคุณเรียกเชฟที่ทำข้าวผัดจานนี้มาหาฉันได้ไหมคะ”
“อ้อ ได้ค่ะได้”
ในที่สุดก็ปล่อยตนเองออกมาแล้ว พนักงานเร่งฝีเท้าจากไป จากนั้นก็บอกกับโจวเผิง
“อะไรนะ อยากเจอเชฟเหรอ เหอะๆ ได้สิ ฉันรอเธอพูดอย่างนี้พอดี”
โจวเผิงเมื่อครู่อยู่ไกล จึงไม่ได้กลิ่นของข้าวผัดแน่นอน และไม่ได้สังเกตท่าทีของสาวสวยตอนกินข้าวอีกด้วย คิดว่าสาวสวยรอจนหิวแล้วถึงได้กินตะกละจนเสียกิริยาเท่านั้น
“เชฟซ่ง มานี่หน่อย”
ได้ยินคำพูดของโจวเผิง ทุกคนก็มองไป เจิ้งฮุยก็ยิ่งตื่นเต้น แอบคิดในใจว่า ‘ฮ่าๆ เกิดเรื่องแล้วเหรอ ไอ้เด็กนี่จบแล้ว’
“เรียกผมเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนพิงพนักเก้าอี้พลางพูด
“เหอะๆ นั่นมันแน่อยู่แล้ว ข้าวผัดที่คุณทำลูกค้าพอใจมากจริงๆ ถึงขนาดอยากลองพบคุณดูเลยล่ะ”
พูดจบ คนไม่น้อยก็ลอบยิ้ม แทบทุกคนฟังออกว่าประชด เห็นได้ชัดว่าซ่งจื่อเซวียนจะต้องโดนลูกค้าด่าแน่
นี่ก็ไม่แปลก นายให้คนเขากินข้าวผัดไข่ธรรมดาในราคา 899 หยวน นี่ไม่ใช่ต้มตุ๋นกันหรอกเหรอ
“อ้อ” ท่าทางซ่งจื่อเซวียนกลับยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ลุกขึ้นเดินไปที่โถงด้านหน้า โจวเผิงยิ้ม ส่งสายตาให้เจิ้งฮุย คนหลังก็เผยรอยยิ้มเย็น
โจวเผิงให้ซ่งจื่อเซวียนรออยู่หน้าห้องโถงสักครู่ ส่วนตนเองเดินไปที่โต๊ะสาวสวยคนนั้นนั่งก่อน
“คุณคนสวยครับ มีเรื่องอะไรไม่พอใจหรือเปล่าครับถึงได้ต้องเรียกมา”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ฉันแค่อยากรู้ว่าเชฟคนไหนถึงทำข้าวผัดแบบนั้นออกมาได้” สาวสวยพูด ท่าทางของเธอในตอนนี้กลับมาราบเรียบอีกครั้ง
“แหะๆ ผมเป็นผู้จัดการ มีเรื่องอะไรคุณสามารถพูดกับผมได้ หรือว่า…หากคุณไม่พอใจ ผมสามารถจัดการเชฟคนนั้นได้นะครับ”
“จัดการ?” สาวสวยถาม
“ถูกต้องครับ วัตถุประสงค์การบริการของพวกเราก็คือทำให้ลูกค้ารับประทานอาหารอย่างมีความสุข หากไม่มีความสุข ผมอ่อนข้อให้ไม่ได้แน่นอน โดยเฉพาะเพื่อสาวสวยอย่างคุณแล้ว ผมไล่เขาออกได้นะครับ” พูดพลาง เขาก็ขยับเข้าใกล้สาวสวยเล็กน้อย ขณะเดียวกันโบกไม้โบกมือไปทางซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ไกลๆ
เห็นท่าทางมือของโจวเผิง ซ่งจื่อเซวียนก็เดินมา “คนไหนเรียกผมเหรอครับ”
“เป็นนายเองเหรอ” ขณะที่สาวสวยเงยหน้าขึ้นมองซ่งจื่อเซวียน สีหน้าก็ตกตะลึง…
………………………………………..
[1] แบกกระทะไว้ที่หลัง (锅背) เป็นคำแสลงหมายถึงการรับโทษแทนผู้อื่น