เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 29 ครั้งแรก
ตอนที่ 29 ครั้งแรก
ความจริงจุดประสงค์ที่หลี่เจียหาวมาครั้งนี้ง่ายมาก อย่างแรก ครั้งก่อนที่พี่เลี่ยงไปหาเรื่องซ่งจื่อเซวียนแต่ดันถูกตีกลับมา เรื่องนี้เขาอยากจะชดเชยให้ ส่วนอย่างที่สอง…ถ้าพี่เจี๋ยคนนี้มีอิทธิพลจริงๆ เขาก็อยากจะคบค้าสมาคมด้วย
ด้วยฐานะที่หลี่เจียหาวเป็นคุณชายทายาทเศรษฐีของเมืองตู้เหมิน นอกจากต้องรู้จักพวกนักธุรกิจแล้ว ในโลกใต้ดินก็ต้องมีมิตรอยู่ด้วย ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ว่าจะเคลียร์ทุกเรื่องให้จบได้ด้วยวิธีการทั่วไป เมื่อจำเป็นก็ต้องหยิบยืมแรงของนักเลงพวกนี้
แต่มองแก้วสุราด้านหน้า หลี่เจียหาวรู้สึกนึกเสียใจขึ้นมาชั่วขณะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนไม่กินเหล้า ทว่าที่ดื่มได้มากที่สุดก็เป็นเบียร์และสุราตะวันตก สุราขาวแก้วใหญ่นี่….ไม่ต้องพูดถึงเรื่องจะเมาหรือไม่เลย รสชาติของมันทำเขาทนไม่ไหวจริงๆ
“ดื่มสักแก้ว? เต็มแก้ว?” หลี่เจียหาวถาม
พี่เจี๋ยไขว้สองมือวางบนโต๊ะ มองหลี่เจียหาวแล้วพยักหน้าช้าๆ แฝงความอวดดีเอาไว้ในท่าทางเล็กน้อย
พี่เลี่ยงเห็นสถานการณ์จึงพูดขึ้น “นี่เป็นกฎ ถ้าแค่แก้วเดียวยังกินไม่ได้ก็ไม่ใช่พี่น้องของพวกเราแน่นอน อย่างนั้นก็ไม่มีอะไรต้องพูดคุยกันแล้ว”
ได้ยินดังนั้น หลี่เจียหาวคิดจะจากไปจริงๆ แต่ในเมื่อมาแล้ว เกรงว่าคิดอยากจะไปทั้งอย่างนี้ก็คงไม่ง่ายนักเช่นกัน เขาจึงยกแก้วขึ้น แต่ยังไม่ทันได้กิน เพียงแค่ได้กลิ่นนั้นก็ทนไม่ไหวแล้ว
“พี่เจี๋ย ขอโทษด้วย ผมต้องขับรถ ถ้าถูกตรวจจับแอลกอฮอล์ขึ้นมาจะเป็นเรื่องวุ่นวาย” พูดพลาง เขาก็หันหน้าไป “โหวจื่อ!”
โหวจื่อชะงัก เห็นได้ชัดว่าหน้าที่นี้ถูกยกให้ตนเองแล้ว คิดในใจ หลี่เจียหาวหนอหลี่เจียหาว นายนี่แสบจริงๆ ตัวเองกินไม่ได้พูดตรงๆ ว่าไม่ก็โอเคแล้ว ไหงต้องโยนมาให้ฉันด้วย
แต่ตนเองเป็นลูกน้อง ก็ทำได้แค่ทำตามคำสั่ง
โหวจื่อรับแก้วสุรามาด้วยสีหน้าลำบากใจ หลับตากลั้นหายใจ ดื่มลงไปรวดเดียวหมดแก้ว
สำหรับโหวจื่อที่ปกติก็ไม่ได้ดื่มสุราขาวสักเท่าไร นี่ก็เกินทนแล้วจริงๆ กลั้นหายใจยังพอได้ พอผ่อนลมหายใจ รสชาติของเหล้าก็ตีเข้ามา ทำเอาเขาคลื่นไส้ทันที ไม่ได้กินอะไรเข้าไปเลยก็อาเจียนออกมาไม่ได้แน่นอน
เห็นสถานการณ์นี้ สายตาพี่เจี๋ยก็แฝงความดูแคลนอยู่เล็กน้อย พูดว่า “ช่างมัน จะยังไงก็กินไปแล้ว คุณชายหลี่ หลายวันก่อนนายหลอกลูกน้องในสังกัดของฉัน ยังไงก็ต้องให้คำอธิบายสักหน่อยนะ”
“ฮ่าๆๆ พอดีเลย พี่เจี๋ย ที่ผมมาวันนี้ก็เพราะเรื่องนี้นี่แหละ คุณคิดว่าจะเคลียร์ยังไง พูดออกมาได้เลย!” สมแล้วที่หลี่เจียหาวเป็นคุณชายทายาทเศรษฐี มีประสบการณ์อยู่บ้าง พูดคุยกับลูกพี่ของอีกฝ่ายก็ไม่มีอาการประหม่าเลย
เห็นเหตุการณ์นี้ โหวจื่อกับพ่างจื่อก็ผ่อนลมหายใจ ตอนที่เข้ามาเมื่อครู่ เห็นนักเลงอยู่เต็มห้อง ทั้งสองรู้สึกกังวลจริงๆ โดยเฉพาะพ่างจื่อ เขากระทั่งไม่รู้จักพี่เลี่ยงด้วยซ้ำ
พี่เจี๋ยครุ่นคิด เชิดหน้าขึ้นพูดว่า “ถ้าฉันต้องการสองพันหยวนเป็นค่าหยูกค่ายา…คงไม่มากไปใช่ไหม”
พรืด! หลี่เจียหาวเกือบจะไม่พ่นออกมาแล้ว สองพันหยวน? คิดอยู่ตั้งนานขนาดนั้นแล้วพูดออกมาว่าสองพันหยวนเหรอ ไม่พอค่าเหล้าที่เขาดื่มไปแต่ละครั้งด้วยซ้ำ ดูท่าแล้วพี่เจี๋ยคนนี้ก็ไม่นับว่าเป็นอะไรเลย เปิดราคาที่สองพันหยวนออกมาได้ ในสายตาของเขาก็ไม่ต่างอะไรกับขอทานเลย
และเพราะคำพูดนี้ของพี่เจี๋ย ในที่สุดหลี่เจียหาวก็ผ่อนคลายได้แล้ว ลักษณะพี่ใหญ่เมื่อครู่สำหรับเขาเปลี่ยนเป็นนักเลงกระจอกในทันที
“ไม่มากหรอก เหมาะสมมาก เพียงแต่…”
“แต่? ไอ้หนู คงไม่ใช่ว่านายไม่อยากให้แล้วหรอกนะ” นักเลงคนที่หนึ่งที่ไว้หนวดเล็กๆ ตะคอก
หลี่เจียหาวส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีทางเป็นอย่างนั้นได้แน่นอน ผมให้พวกคุณตอนนี้ได้เลย เพียงแต่…เท่าที่ผมดู พี่เจี๋ยก็พอมีบารมีในเมืองตู้เหมินอยู่บ้าง แต่ครั้งนี้แค่พนักงานร้านอาหารคนหนึ่งยังจัดการไม่ได้นี่นา น่าอับอายขายขี้หน้ามากเลยใช่ไหมล่ะ”
หลี่เจียหาวพูดถึงขนาดนี้ คนไม่น้อยล้วนปิดปากฉับทันที ความจริงแล้วแต่ละคนส่งเสียงโวยวายได้ดีกว่าใคร แต่ตอนลงมือจริงๆ กลับขี้ขลาดตาขาว
ได้ยินดังนั้น พี่เจี๋ยอดจ้องมองพี่เลี่ยงข้างๆ แวบหนึ่งไม่ได้ พี่เลี่ยงก้มหน้าพูดขอโทษทันที
“หึ ไอ้คนไร้ประโยชน์” พี่เจี๋ยหยิบไม้จิ้มฟันมาแคะแล้วพ่นเศษเนื้อที่ถูกเขี่ยออกมาทันที พูดว่า “คุณชายหลี่ นายหมายความว่ายังไง ถ้านายไม่เชื่อ วันนี้ฉันคงปล่อยพวกนายออกไปไม่ได้!”
ทันทีที่พูดเช่นนี้ โหวจื่อกับพ่างจื่อก็หวาดกลัวทันที พูดตามตรงหลี่เจียหาวก็ปอดแหก ดูแล้วพี่เจี๋ยคนนี้ดุร้าย อีกทั้งคำพูดคำจาไร้สมองขนาดนั้น ถ้าเอาจริงขึ้นมาพวกเขาก็ออกไปไม่ได้ ถึงอย่างไรคนของอีกฝ่ายก็มีเยอะกว่า
“ผมก็ต้องเชื่อสิ แต่วันนี้พวกเราได้พบหน้ากันแล้ว เหล้าก็กินแล้ว ถือว่าเป็นเพื่อนกัน ขนาดพนักงานคนหนึ่งพวกคุณยังจัดการไม่ได้ ลงมือกับเพื่อนตัวเองไปจะถือว่าเป็นความสามารถอะไรกัน โอหังแต่ในรังตัวเองเหรอ”
“นาย…” พี่เจี๋ยถลกเขียนเสื้อขึ้นถลึงตาตะโกน “แม่มันเถอะ ตกลงนายจะเอายังไงกันแน่ ข้าไม่ชอบเดาปริศนาคำทาย พูดออกมาตรงๆ!”
ในใจหลี่เจียหาวเย้ยหยันพี่เจี๋ยถึงขีดสุด ในที่สุดเขาก็เข้าใจเหตุผลอย่างหนึ่งแล้ว คนเราแข็งแกร่งแต่ไร้สมองก็เป็นแค่เศษสวะ เห็นได้ชัดว่าพี่เจี๋ยเป็นอย่างนี้
“ผมจะให้อีกห้าพันหยวน พวกคุณไปสั่งสอนซ่งจื่อเซวียนคนนั้นสักรอบ ถ้าสำเร็จ ผมจะให้คุณหนึ่งหมื่น!”
หลี่เจียหาวพูดจบ พวกพี่เจี๋ยก็มึนงงไป เห็นได้ชัดว่าเพราะหนึ่งหมื่นหยวนจากปากของหลี่เจียหาว
แต่หลี่เจียหาวรู้สึกนึกเสียใจอยู่บ้าง วันนี้ถือว่าเขามาโดยไม่จำเป็นจริงๆ คนพวกนี้ดูแล้วดุร้ายเหมือนปีศาจซาตาน แต่ก็เป็นเพียงพวกเสเพลที่มารวมตัวกัน เพราะหนึ่งหมื่นหยวนก็ถึงกับเป็นอย่างนี้แล้ว…
“ข้อตกลงเป็นไปตามนี้ แต่…สองพันหยวนนั่นนายต้องให้พวกเราก่อน”
หลี่เจียหาวถอนหายใจอย่างจนปัญญา และคร้านจะโอนเงินให้ จึงหยิบเงินสดออกมาจากกระเป๋าโยนลงบนโต๊ะ
ความจริงแล้วเขาจงใจโยนลงไป จุดประสงค์เพียงแค่อยากจะลองดูความสามารถที่แท้จริงของพี่เจี๋ยคนนี้ ถ้ามีความสามารถจริงๆ เกรงว่าคงจะโกรธเพราะถูกโยนเงินใส่ แต่ถ้าเป็นพวกปลายแถว เกรงว่าต่อให้เสียหน้าก็ไม่สนใจ
เห็นเพียงพี่เจี๋ยมองหลี่เจียหาวแวบหนึ่ง สายตายังคงดุร้ายเหมือนก่อนหน้า ใจหลี่เจียหาวก็เริ่มเปลี่ยนไป ดูแล้วชายคนนี้ไม่ได้ชั้นต่ำมาก อย่างน้อยก็ไม่พอใจที่ตนเองโยนเงินเช่นนั้น
แต่ตอนนี้เอง พี่เจี๋ยก็หยิบเงินก้อนนั้นใส่กระเป๋ากางเกง “ในเมื่อสบายใจกันแล้ว ไป เพิ่มอาหารให้คุณชายหลี่อีกสักหน่อย!”
หลี่เจียหาวโมโหแล้ว เขาเห็นอาหารพวกนี้บนโต๊ะแล้วก็ไม่อยากกิน พูดโพล่งไปว่า “ช่างเถอะ ฉันไม่หิว ข้อตกลงตามนี้ จัดการเสร็จก็ติดต่อฉัน จะไม่มีการตัดเงินสักส่วนเดียว!”
“แน่นอนครับ ผมไว้ใจคนอย่างคุณชายหลี่อยู่แล้ว เลี่ยงจื่อ ไปส่งคุณชายหลี่”
ชั่วพริบตาเดียวพี่เจี๋ยก็เริ่มประจบประแจง หลี่เจียหาวดูแล้วก็คร้านจะมองอีก หันหลังเดินออกมาจากห้องส่วนตัว
เดินออกมาจากร้านอาหาร หลี่เจียหาวจุดบุหรี่มวนหนึ่ง หันหน้าไปพูดว่า “โหวจื่อ จากนี้รู้จักทำตัวให้ไว้ใจได้หน่อย นี่มันอะไรกัน!”
“ครับ คุณชายหลี่…” โหวจื่อก้มหน้าพูด
ในห้องส่วนตัว พี่เจี๋ยขยี้หัวบุหรี่ดับไฟ พูดว่า “เลี่ยงจื่อ นายว่าไอ้เด็กนั่นมีคนคอยช่วยใช่ไหม”
“ไม่ผิดแน่ครับ พี่เจี๋ย ผู้ชายคนนั้นไม่ง่ายเลย น่าจะเคยเรียนการต่อสู้มาก่อน ลงมือคล่องแคล่วมากครับ”
“คนที่คอยช่วยเหลือคนนั้นอยู่กับเขาตลอดเลยเหรอ” พี่เจี๋ยถาม
“เรื่องนี้…ผมไม่รู้ครับ”
“ไม่รู้…วันๆ ถามอะไรก็แม่งไม่รู้อะไรสักอย่าง นายกินแต่ข้าวเปล่าหรือไง สั่งให้พี่น้องไปสืบมา หาโอกาสตอนเขาอยู่คนเดียว ฉันจะบอกอะไรนายให้นะเลี่ยงจื่อ ถ้าครั้งนี้ข้าพลาดเงินหนึ่งหมื่นหยวนนั่นไป นายก็ต้องควักเงินให้ฉัน!”
“ครับ ครับ ผมรู้แล้วครับพี่เจี๋ย พี่วางใจได้”
……
ภัตตาคารต้าสือไต้ เวลาสามทุ่มครึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของช่วงมื้อเย็นที่ยุ่งที่สุด พนักงานโถงด้านหน้ายุ่งอยู่กับการเก็บกวาดโต๊ะที่ลูกค้าจากไป ทางครัวด้านหลังก็เลิกงานในเวลานี้แล้ว
หัวหน้าเชฟกำลังจัดเตรียมงานของวันถัดไป แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับซ่งจื่อเซวียน ประกอบกับวันนี้มีหลายเรื่องเกิดขึ้นต่อๆ กัน เจิ้งฮุยก็ไม่ได้รั้งเขาไว้
ซ่งจื่อเซวียนเดินออกจากครัวด้านหลังมาที่ด้านหน้าถังหย่าฉี “เลิกงานแล้ว ไปกันเถอะ”
“โอเค ไปกัน ฉันรอจนหิวแล้ว ฮ่าๆ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เธอกินข้าวเยอะใช้ได้นะเนี่ย”
“ล้อใครยะ ฉันจะบอกนายให้นะ ฉันรอนายมาสามชั่วโมง นายคิดว่าข้าวผัดเมื่อกี้ยังย่อยไม่หมดหรือยังไง” ถังหย่าฉีขยับเข้าใกล้ซ่งจื่อเซวียน เชิดหน้าพูด
ซ่งจื่อเซวียนคิดตามแล้วก็เห็นด้วย ตอนที่ถังหย่าฉีกินข้าวเมื่อครู่คือประมาณหกโมง แต่ตอนนี้สามทุ่มครึ่งแล้ว
“เหอะๆ จริงด้วย ไปกันเถอะ!”
เห็นทั้งสองคนเดินออกมาจากร้านอาหาร โจวเผิงจับต้นชนปลายไม่ถูกอยู่บ้าง พูดกับตัวเอง “ตกลงความสัมพันธ์ของสองคนนี้มันยังไงกันแน่ เจ้าเด็กซ่งจื่อเซวียนนี่ยังมีวาสนาด้านความรักแบบนี้ด้วยเหรอ แย่ละสิ สวรรค์ไม่มีตาหรือไงวะ!”
เดินมาถึงประตู ซ่งจื่อเซวียนก็ถามว่า “อยากกินอะไร”
ถังหย่าฉีครุ่นคิด ดวงตากลมโตซึ่งกะพริบปริบๆ ทำให้ซ่งจื่อเซวียนที่มองอยู่ใจสั่น ตั้งแต่ที่ตลาดโบราณตอนนั้น เขาไม่มีทางคาดคิดว่าตนจะมีโอกาสได้รู้จักกับนางฟ้าตนนี้ อีกทั้งได้พบปะใกล้ชิดขนาดนี้ ที่สำคัญที่สุดก็คืออีกเดี๋ยวจะได้กินอาหารมื้อดึกด้วยกัน…
“ปกตินายชอบกินอะไรเหรอ” ถังหย่าฉีกะพริบตาถาม
“ฉันเหรอ ไม่มีนะ มื้อเที่ยงก็กินข้าวที่ร้าน มื้อเย็นกลับบ้านก็ดึกแล้ว แม่ฉันทำอะไรฉันก็กินอันนั้นแหละ” ซ่งจื่อเซวียนคิดแล้วพูด
“อย่างนี้นี่เอง คุณป้าจะต้องทำอาหารอร่อยมากแน่ๆ เลย ฮิๆ ไม่อย่างนั้นจะเลี้ยงนายออกมาเป็นเชฟที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้ได้ยังไง” ถังหย่าฉีพูดด้วยรอยยิ้ม “นายมีอะไรดีๆ แนะนำไหม”
“ฮ่าๆ คุณหนูใหญ่อย่างเธอมีอาหารเลิศรสอะไรที่ไม่เคยกินมาก่อนด้วยเหรอ ที่ให้ฉันแนะนำนี่เกินคาดนะเนี่ย ฉันไม่เคยกินอะไรมาก่อนเลย”
ถังหย่าฉีกลอกตาใส่เขา พูดว่า “กระแนะกระแหนฉันใช่ไหมเนี่ย ฉันบอกนายไว้เลยนะ ปกติของที่ฉันกินก็เหมือนทั่วๆ ไปนั่นแหละ พูดอย่างนี้แล้วกัน ไม่ว่าจะเป็นของอร่อยอะไรแต่ถ้าให้นายกินทุกมื้อ นายกินไหวหรือไง ต่อให้ส่วนผสมไม่เหมือนกัน รสชาติก็ไม่ต่างกันหรอก”
“อืม…นั่นก็ใช่” ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “จะอร่อยแค่ไหนก็ทนกินทุกวันไม่ได้หรอก จริงสิ เธอ…กลัวว่าจะสกปรกหรือเปล่า”
“สกปรกเหรอ” ถังหย่าฉีชะงัก ไม่เคยมีใครถามเรื่องกินอย่างนี้กับเธอมาก่อน “กินของสกปรกเหรอ”
“ฮ่าๆ เธอนี่นะ เป็นคุณหนูใหญ่จนเคยตัวแล้วไง ฉันเลี้ยงอาหารแปลกๆ เธอดีกว่า!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็สาวเท้าเดินไปข้างหน้า ถังหย่าฉีพูดว่า “เฮ้ย…ไปไหนล่ะ”
“อย่าใส่ใจเลย ตามฉันมาก็พอแล้ว!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางจูงมือถังหย่าฉีลากไปด้านหน้าทันที
ถังหย่าฉีพลันหน้าแดง นับตั้งแต่ขึ้นม.ต้น เธอก็มีคนคอยตามจีบไม่ขาด จนถึงม.ปลาย ก็กลายเป็นคนที่คุณชายทายาทเศรษฐีเงยหน้ามองอยากได้มาเป็นคู่ครอง แต่พูดตามตรง เธอกลับไม่ได้ตอบตกลงใครสักคน จับมือ…ก็ยิ่งไม่มีเลย
จึงพูดได้ว่า นี่เป็นครั้งแรกที่ถังหย่าฉีถูกจับมือ อีกทั้งไม่ได้เตรียมตัวเลยสักนิด แม้กระทั่งโอกาสยินยอมพร้อมใจหรือปฏิเสธยังไม่มี มือก็ถูกคว้าไปจับแล้ว…
ในขณะเดียวกัน ซ่งจื่อเซวียนเหมือนกับสัมผัสถึงความไม่เหมาะสมได้แล้ว เมื่อครู่ทั้งสองคนพูดคุยกันสนุกสนาน ชั่วขณะก็ถึงขั้นลืมตัวไปด้วยซ้ำ…
…………………………………………….