เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 3 ข้าวผัดจักรพรรดิ
ตอนที่ 3 ข้าวผัดจักรพรรดิ
ได้ยินเสียงนี้ แต่ละคนต่างชะงักค้างไป จางขุยก็ผ่อนมือที่ยกขึ้นเมื่อครู่ลงมาเช่นกัน ดวงตาสองข้างจ้องมองชายวัยกลางคนที่สวมสูทรองเท้าหนังด้านหลังซ่งจื่อเซวียน
ส่วนหยางต้าฉุยก็ตั้งใจยิ่งกว่า เขามองประเมินชายวัยกลางคนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างรวดเร็วที่สุด ก็มั่นใจได้ในทันทีว่าฐานะของคนคนนี้ไม่ธรรมดา กระทั่งคำว่าคุณซ่งที่ออกมาจากปากของเขา ในร้านอาหารแห่งนี้นอกจากซ่งจื่อเซวียนก็ไม่มีซ่งคนที่สองแล้ว
เขามาหาเจ้ารองเหรอ เจ้ารองไปรู้จักมักจี่กับผู้ลากมากดีได้ยังไง แค่มองนาฬิกาโอเดอมาร์ส ปิเกต์บนข้อมือของชายคนนั้น ราคาขายอย่างเป็นทางการอย่างต่ำก็แสนกว่าๆ ตอนนี้ราคาที่เก็งกำไรเป็นสามสี่แสนก็ไม่นับว่ามากไปด้วยซ้ำ
ซ่งจื่อเซวียนหันไปมอง ก็ประหลาดใจเป็นอย่างแรก เขาย่อมรู้จักชายวัยกลางคนคนนี้อยู่แล้ว เมื่อคืนยังกินข้าวผัดของเขาที่นี่อยู่เลย เพียงแต่…วันนี้เหมือนว่าเขาจะเปี่ยมไปด้วยสง่าราศียิ่งกว่า อีกทั้งวันนี้ด้านหลังเขายังมีผู้ติดตามมาอีกสองคน คนหนึ่งอายุห้าสิบกว่า อีกคนอายุยี่สิบกว่า
“คุณนี่เอง!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ฮ่าๆ น้องซ่ง ฉันมาจ่ายค่าข้าว” หลินเทียนหนานพูดพลางระบายยิ้มสดชื่น
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย จับท้ายทอยพูดพลางยิ้มแหย “แหะๆ ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ แค่ข้าวผัดจานเดียวเอง”
หลินเทียนหนานส่ายหน้าและยิ้ม “ข้าวผัดหนึ่งจานสำหรับนายอาจจะไม่ได้สลักสำคัญอะไร แต่สำหรับฉันกลับเป็นการเริ่มต้นที่ดี”
ซ่งจื่อเซวียนไม่เข้าใจคำพูดของหลินเทียนหนานอยู่บ้าง ในมุมมองของเขา หลินเทียนหนานเป็นคนพิถีพิถันมาก แค่ข้าวผัดจานละไม่กี่หยวนกลับจริงจังขนาดนี้
พูดพลาง หลินเทียนหนานก็มองข้างๆ พูดว่า “ท่านไหนเป็นเถ้าแก่ครับ”
“ผมครับๆ” หยางต้าฉุยรีบตอบรับ ขณะเดียวกันก็ยื่นมือไปคิดจะจับมือของอีกฝ่าย
ฟังบทสนทนาของพวกเขา หยางต้าฉุยก็เข้าใจเรื่องราวขึ้นหลายส่วน ดูท่าเจ้ารองจะโชคดีจริงๆ ไม่คิดว่าจะได้สานสัมพันธ์กับบุคคลที่มีภูมิหลังใหญ่โตขนาดนี้
มองมือของหยางต้าฉุยที่ยื่นมาให้ หลินเทียนหนานกลับไม่ได้ตอบสนองอะไร เห็นได้ชัดว่าไม่คิดจะจับมือของเขา ก่อนจะพูดต่อ “เมื่อวานผมได้กินข้าวผัดของคุณซ่ง ที่มาวันนี้ก็เพื่อมาจ่ายค่าอาหาร แต่ว่า…เหมือนผมจะได้รู้ว่ามีคนทำตัวไม่ค่อยมีมารยาทกับคุณซ่ง!”
ขณะที่พูด สายตาของหลินเทียนหนานก็ตวัดมองไปทางจางขุย จางขุยเป็นคนที่ไม่มีการศึกษา ปกติเวลาพูดจาก็มีแต่คำด่าหยาบคาย แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับสง่าราศีของหลินเทียนหนานก็ถูกกดดันไปชั่วขณะ เวลานี้พูดไม่ออกสักประโยค ส่งสายตาขอความช่วยเหลือไปทางหยางต้าฉุยอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรเขาก็เป็นเถ้าแก่ของที่นี่
ทว่าหยางต้าฉุยก็ส่งสายตากลับไปเช่นกัน เหมือนกำลังสื่อว่า ‘ฉันก็ช่วยอะไรแกไม่ได้เหมือนกัน เจ้าพ่อท่านนี้ดูไม่ธรรมดาเลย…’
“คุณผู้ชายท่านนี้ มาเยือนก็ถือว่าเป็นลูกค้าแล้ว พวกเรานั่งลงพูดคุยกันเถอะครับ” ถึงอย่างไรหยางต้าฉุยก็ผ่านประสบการณ์ชีวิตมาอย่างโชกโชน สัมผัสได้ว่าหลินเทียนหนานไม่ใช่ปุถุชน จึงรีบเชิญให้นั่งลง ต้อนรับแขกอย่างสุภาพก่อน หลังจากนั้นค่อยช่วยพูดแก้ตัวให้จางขุย
หลังจากพวกเขานั่งลง หยางต้าฉุยก็สั่งให้บริกรชงชาใส่กา พูดว่า “ร้านเล็กเรียบง่ายจึงดูแลไม่ทั่วถึงเสียแล้ว ไม่ทราบว่าท่านชื่อ?”
ไม่รอหลินเทียนหนานเปิดปาก คนที่อายุประมาณห้าสิบที่อยู่ด้านข้าง ก็หยิบนามบัตรส่งให้หยางต้าฉุย
เห็นชื่อแซ่บนนามบัตร ตาทั้งสองของหยางต้าฉุยก็เบิกกว้างขึ้นชั่วขณะ “หลินเทียนหนาน? ท่านก็คือท่านประธานหลินแห่งจ้งอันกรุ๊ปเหรอครับ”
พูดประโยคนี้ออกมา ซ่งจื่อเซวียนก็แข็งค้างไปแล้ว ถึงแม้จะไม่รู้จักว่าเป็นบริษัทอะไร แต่ได้ยินคำว่าท่านประธานสามพยางค์นี้ ก็ยังรู้ฐานะของอีกฝ่ายได้ทันที
เป็นคนใหญ่คนโตจริงๆ ด้วย แต่ไม่คิดเลยว่าจะเป็นท่านประธาน…
“ทำไมล่ะ ผมคือหลินเทียนหนานนี่แปลกมากเหรอครับ” หลินเทียนหนานพูดยิ้มๆ
“ไม่ๆๆ ผมแค่คาดไม่ถึงว่าร้านเล็กๆ ของพวกเราจะได้รับรองคนใหญ่คนโตอย่างท่าน” หยางต้าฉุยตอบ
“คนใหญ่คนโต? แต่ผมไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ คนที่ใหญ่ที่สุดในร้านนี้คงจะเป็นคุณซ่งล่ะมั้ง” หลินเทียนหนานมองไปทางซ่งจื่อเซวียน ฟังจากน้ำเสียงก็รู้ว่าไม่ได้ล้อเล่นแน่นอน
หยางต้าฉุยก็มองไปทางซ่งจื่อเซวียนเช่นกัน เขาคิดไม่ออกว่าตกลงซ่งจื่อเซวียนก่อเรื่องอะไรไว้กันแน่ ถึงทำให้คนใหญ่คนโตท่านนี้พูดถ้อยคำเช่นนั้นออกมา
“ประธานหลิน ผมไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของท่านเท่าไร จื่อเซวียนเป็นพนักงานในร้านของผม หากว่าจุดไหนที่ทำให้ไม่พึงพอใจ ต้องขออภัยอย่างสูงนะครับ”
หยางต้าฉุยจงใจพูดออกมาเช่นนี้ ในใจเขารู้ดีว่าหลินเทียนหนานจะต้องชื่นชมซ่งจื่อเซวียนแน่นอน เขาแสร้งทำเป็นปกป้องตอนนี้ ก็ย่อมต้องได้การยอมรับจากอีกฝ่าย
“ไม่หรอกๆ ไม่เพียงแค่บริการดีเท่านั้น คุณซ่งยังมอบมื้ออาหารที่น่าจดจำกับผมด้วย”
หลังจากนั้น หลินเทียนหนานก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังรอบหนึ่ง จนหยางต้าฉุยรู้ต้นสายปลายเหตุ จางขุยที่อยู่ข้างๆ ก็พูดว่า “เถ้าแก่ ต่อให้เป็นอย่างนั้นเขาก็จะแตะต้องเคาน์เตอร์ทำครัวของผมไม่ได้นะ”
“แกช่วยหุบปากทีเถอะ จื่อเซวียนคอยอยู่ดูหน้าร้าน แล้วแกมัวทำอะไรอยู่เล่า” หยางต้าฉุยถลึงตาใส่จางขุย ฝ่ายหลังจึงสงบปากสงบคำทัน
พูดจบ หยางต้าฉุยก็หันไปมองหลินเทียนหนาน พูดว่า “ประธานหลิน แค่ข้าวผัดจานเดียวเอง พวกเราจะกล้าเก็บเงินท่านได้ไงกัน”
หลินเทียนหนานพูดพลางโบกมือ “ฮ่าๆๆ เกรงใจไปแล้ว ต้องให้เงินสิ อีกทั้งผมยังมีคำเชิญเป็นกรณีพิเศษมาด้วย”
“คำเชิญเป็นกรณีพิเศษเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“อืม…คุณซ่ง หากคุณยอมไว้หน้าผมสักหน่อยน่ะ…คืออย่างนี้ครับ ผมคิดว่าจะเปิดร้านอาหารแฟรนไชส์ในเครือจ้งอันกรุ๊ป อยากจะเชิญคุณมาให้คำแนะนำสักเล็กน้อย”
ได้ยินคำพูดนี้ หยางต้าฉุยก็มึนงงแล้ว คาดไม่ถึงว่าคนใหญ่คนโตอย่างหลินเทียนหนานจะใช้คำสุภาพกับซ่งจื่อเซวียนขนาดนี้ เหลือจะเชื่อเลยจริงๆ
แต่เขาก็ฟังความนัยอีกอย่างหนึ่งออก นั่นก็คือหลินเทียนหนานหยิบยื่นไมตรีให้แล้ว ส่วนเหตุผล…เขาคิดไม่ออก ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบุญคุณ หรือเป็นเพราะข้าวผัดจานนั้น
หากว่าเป็นเพราะบุญคุณ บุคคลเช่นนี้ทำไมถึงมากินข้าวที่ร้านของตนดึกดื่นขนาดนั้น แล้วทำไมถึงขอบคุณซ่งจื่อเซวียนแบบนี้กัน ไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไรเลย
แต่ถ้าเป็นเพราะข้าวผัด…เขา หยางต้าฉุยอยากรู้เสียจริงว่าข้าวผัดที่ซ่งจื่อเซวียนทำหน้าตาเป็นยังไง!
“เอ่อ…” ซ่งจื่อเซวียนลอบมองหยางต้าฉุยอย่างลำบากใจอยู่บ้าง
“ฮ่าๆ คุณซ่งไม่ต้องกังวล ผมจะจ่ายเงินเดือนที่เหมาะสมให้คุณแน่นอน คุณได้เงินค่าจ้างจากร้านอาหารชุนเซียงแปดร้อยหยวนใช่ไหม ผมให้คุณร้อยเท่า แปดหมื่นต่อเดือนเป็นยังไง”
พูดประโยคนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็นิ่งค้างกันหมด แต่ในมุมของหลินเทียนหนาน ซ่งจื่อเซวียนเหมาะสมกับเงินแปดหมื่น ถ้าเขาพึ่งฝีมือทำอาหารของซ่งจื่อเซวียนได้และทำให้ธุรกิจอาหารเติบโต จากประสบการณ์ในสายธุรกิจของเขา อัตราผลตอบแทนไม่มีทางต่ำกว่าหมื่นเปอร์เซ็นต์!
เหตุผลง่ายมาก ข้าวผัดจักรพรรดิแรกเริ่มเดิมทีก็โด่งดังเป็นที่นิยมตั้งแต่เหนือจรดใต้แม่น้ำแยงซีเกียง และข้าวผัดของซ่งจื่อเซวียนทำให้เขานึกถึงตำนานอาหารนั้นทันที เขาไม่กล้าพูดหรอกว่าที่ซ่งจื่อเซวียนผัดคือข้าวผัดจักรพรรดิ แต่เขายอมลงขันด้วยเงินเดือนแค่แปดหมื่น เดิมพันว่าข้าวผัดนี่จะสร้างตำนานในวงการอาหารได้อีกครั้ง
ซ่งจื่อเซวียนไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด แปดหมื่นหยวน? เงินจำนวนนี้สำหรับเขาแต่ไหนแต่ไรก็ไม่มีทางมาเกี่ยวข้องกันได้ เงินรายปีแปดหมื่นหยวนเขาก็ใช้อย่างมีความสุขแล้ว ถ้าเป็นเงินเดือนล่ะ
จางขุยที่อยู่ข้างๆ แข็งค้างยิ่งกว่า แปดหมื่น…ทุกวันนี้เขาคิดว่าตัวเองเจ๋งแล้ว ก็ยังได้เงินเดือนห้าพันหยวนเอง
“อะแฮ่ม จื่อเซวียน นี่เป็นโอกาสนะ ประธานหลินให้เกียรติแก แกควรจะขอบคุณนะ” หยางต้าฉุยฝืนยิ้มพลางพูด
“หา?” ซ่งจื่อเซวียนสับสนอยู่บ้าง บุญวาสนามาถึงกะทันหันเกินไป กระทั่งไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำว่าชีวิตของเขาในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้
หลินเทียนหนานคลี่ยิ้ม “ว่ายังไงคุณซ่ง คุณยอมรับข้อตกลงของผมไหม”
“ประธานหลิน จื่อเซวียนยังเด็ก อีกทั้งยังไม่ได้เห็นโลกภายนอกมากนัก เอาอย่างนี้ ผมตอบตกลงเรื่องนี้แทนเขาก็แล้วกัน แต่ท่านดูสิ แม้ว่าร้านเล็กๆ ของผมจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็จำเป็นต้องมีลูกมือ ท่านให้เวลาผมอีกสักหน่อย ให้ผมได้หาพนักงานมาแทนเขาได้ไหมครับ” หยางต้าฉุยเอ่ย
หลินเทียนหนานครุ่นคิดก่อนตอบ “ฟังความเห็นของคุณซ่งสักหน่อยน่าจะดีกว่า”
“ผม…เห็นตามเถ้าแก่ครับ” ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองหยางต้าฉุยแล้วพูด
ถึงอย่างไรตั้งแต่ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้เรียนหนังสือก็ทำงานอยู่ที่ร้านอาหารชุนเซียงมาตลอด ว่ากันตามเนื้อผ้า เขาก็ละอายเกินกว่าที่จะตอบตกลงหลินเทียนหนานอย่างไม่ลังเลแบบนั้น
ได้ยินดังนั้น หลินเทียนหนานก็ระบายยิ้มออกมา “โอเค งั้นก็ตกลงตามนี้ คุณซ่ง ผมจะรอข่าวคราวของคุณ”
หลินเทียนหนานพูดจบ ก็ลุกขึ้นพูดกับชายอายุห้าสิบกว่าปีข้างกายสองประโยค และเดินออกจากร้านอาหารไป
และชายคนนั้นก็เดินเข้ามาหาซ่งจื่อเซวียน หยิบนามบัตรสีทองและสีขาวออกมาอย่างละใบ พูดว่า “คุณซ่ง นี่เป็นนามบัตรของประธานหลิน มีเบอร์โทรศัพท์เขียนอยู่ คุณสามารถติดต่อได้ตลอดเวลาครับ ส่วนใบนี้เป็นบัตรวีไอพีของจ้งอันกรุ๊ป คุณสามารถใช้จ่ายสินค้าของร้านค้าใดก็ได้ในเครือบริษัท แต่บันทึกการใช้จ่ายของคุณจะเชื่อมกับบัญชีบริษัทโดยตรง หรือก็คือคุณไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าใช้จ่ายใดๆ ครับ”
ซ่งจื่อเซวียนที่กำลังถือบัตรอยู่พูดไม่ออก นามบัตรท่านประธานกับบัตรเงินสดอะไรสักอย่างของบริษัท เขาไม่เคยได้สัมผัสของแบบนี้มาก่อน…
หลังจากคนกลุ่มนี้จากไป จางขุยมองหยางต้าฉุยด้วยสีหน้าอัดอั้น “เถ้าแก่ เรื่องนี้…”
“เรื่องอะไร แกดูจื่อเซวียนเพื่อนเราเป็นคนสูงศักดิ์แบบไหน แตะต้องเครื่องครัวแกแล้วยังไง” หยางต้าฉุยจ้องจางขุยอย่างโกรธเคือง ท่าทางแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง…
จางขุยรู้สึกคั่งค้างอยู่ในใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ท่าทีของเถ้าแก่เปลี่ยนไปแล้ว เขาจะทำอะไรได้อีก ทำได้เพียงเก็บคำพูดนี้ไว้แล้วกลับไปทำอาหารในห้องครัว
ตกค่ำ หลังจากเลิกงาน หยางต้าฉุยสั่งให้ทุกคนกลับบ้านเร็วเสียหน่อย แต่ให้ซ่งจื่อเซวียนอยู่ก่อน
ซ่งจื่อเซวียนก็เข้าใจดี อีกไม่นานตนก็ต้องจากที่นี่ไปแล้ว บางทีเถ้าแก่อาจมีคำพูดบางอย่างจะสั่งสอนเขา
หยางต้าฉุยเป็นคนที่ขึ้นชื่อเรื่องตระหนี่ถี่เหนียวอยู่แล้ว นอกจากลูกสาวที่ตนจะใจกว้าง กับพนักงานถ้าให้น้อยได้ก็จะให้น้อย แต่ซ่งจื่อเซวียนก็ยังซาบซึ้งมาก อย่างไรหลังจากที่เขาไม่ได้เรียนหนังสือก็มาทำงานอยู่ที่ร้านอาหารชุนเซียง ที่นี่ทำให้เขาพอมีเงินประทังชีวิตได้
หยางต้าฉุยชงชาแก้วหนึ่ง พูดว่า “เจ้ารอง วันนี้ที่ประธานหลินเชิญแกน่ะ แกคิดเห็นยังไง”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนชะงักไปเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าเมื่อกลางวันหยางต้าฉุยตอบตกลงหลินเทียนหนานไปแล้วเหรอ ทำไมตอนนี้ถึงมาถามเขาอีกล่ะว่าคิดเห็นอย่างไร
“เถ้าแก่ ผมไม่ได้วางแผนอะไรเลย ยังไงผมก็ไม่คิดว่าผมจะมีฝีมือทำอาหารอะไร…”
หยางต้าฉุยพยักหน้าเบาๆ “คนหนุ่มสาวรู้จักข้อบกพร่องของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เงินเดือนแปดหมื่นนี้ไม่ใช่ว่าใครจะได้รับง่ายๆ บางทีก็ต้องอยู่กับความเป็นจริง แกว่าไหม”
ซ่งจื่อเซวียนเหมือนจะเข้าใจสิ่งที่หยางต้าฉุยจะสื่อแล้ว เขา…เหมือนจะกำลังรั้งตนไว้
หลังจากผ่านเรื่องราวในคืนนั้น จู่ๆ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกว่าโลกของตนเองเปลี่ยนไปกะทันหัน ก่อนหน้านี้เถ้าแก่คร้านจะสนใจตนมาตลอด แต่มาวันนี้กลับพูดจาอยากจะรั้งเขาไว้อย่างจริงจังเสียอย่างนั้น ที่คนอย่างหลินเทียนหนานยื่นข้อเสนอให้ตัวเองก็เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อยิ่งกว่า และทั้งหมดนี้…เหมือนจะเป็นเพราะหนังสือสูตรอาหารเล่มนั้น
“เอาอย่างนี้ แกผัดข้าวให้ฉันหน่อยเป็นไง” เห็นซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ตอบกลับ หยางต้าฉุยจึงพูดขึ้น
“หา? ผม…ผมผัดเหรอ”
“ใช่สิ ผัดวิธีเดียวกับที่ทำเหมือนเมื่อวานเลยนะ” หยางต้าฉุยพยักหน้าพลางตอบ
ซ่งจื่อเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็พยักหน้าหงึกหงัก เดินเข้าไปในครัว
ไม่นานนัก เสียงตรงเคาน์เตอร์ครัวดังขึ้น สักพักก็ส่งกลิ่นหอมออกมา หยางต้าฉุยได้กลิ่นนี้ก็แข็งค้างไป…
“นี่…นี่มัน…ข้าวผัดจักรพรรดิ?”