เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 31 เงาคนกลางดึก
ตอนที่ 31 เงาคนกลางดึก
“นี่นายไปฟังมาจากไหนเนี่ย” ถังหย่าฉีสนใจอย่างเห็นได้ชัดถามขึ้น
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “มีทั้งตาเฒ่าเล่าให้ฟัง ทั้งอ่านจากหนังสือ เหอะๆ แต่ไม่ได้มาจากแบบเรียนหรอก มาจากพวกหนังสือเก่าล้วนๆ
“ถึงจะไม่รู้ว่าที่นายพูดมันจริงหรือเปล่า แต่…ฟังแล้วสุดยอดมากจริงๆ จริงสิ ซ่งจื่อเซวียน เรื่องคราวก่อน…”
พูดพลาง ถังหย่าฉีก็ชูแก้วขึ้น “เบียร์แก้วนี้ถือว่าเป็นคำขอโทษนายของฉัน นายห้ามโกรธนะ”
“ไม่โกรธหรอก มันผ่านไปแล้ว” ซ่งอจื่อเซวียนพูดอมยิ้ม
“นั่นไม่ได้สิ ห้ามจำนะ ต้องลืมไปเลย”
“ฮะ ลืมเหรอ นี่…มีที่ไหนพูดว่าลืมก็ลืมได้เล่า” ซ่งจื่อเซวียนพูดแสร้งทำท่าเป็นผู้บริสุทธิ์
ถังหย่าฉีมุ่ยปาก “ไม่ได้สิ นายจะจำไว้ไม่ได้นะ ต้องลืมไปเลย ฉันขอโทษไปแล้ว…”
เห็นถังหย่าฉีร้อนรน ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มออกมา “ก็ได้ งั้นเอาแก้วนี้เป็นน้ำแกงยายเมิ่ง ดื่มหมดฉันก็ลืมแล้ว”
“นั่นก็ไม่ได้สิ” ถังหย่าฉียิ้มแล้วส่ายตัวไปมา “นายลืมฉันไม่ได้นะ ไม่อย่างนั้นที่ฉันขอโทษนายไปก็เสียเปล่าน่ะสิ”
“เอาล่ะ ฟังเธอแล้วกัน งั้นก็…เลือกลืมตามใจเธอแล้วกัน โอเคไหม” ซ่งจื่อเซวียนพูดจบด้วยรอยยิ้ม ดื่มอึกหนึ่งก็หมดไปครึ่งแก้ว
ถังหย่าฉียิ้มออกมาเช่นกัน “นี่ก็ไม่ต่างเท่าไร จริงสิ ซ่งจื่อเซวียน จากนี้ถ้านายเจอหลี่เจียหาวอีก หนีออกมาให้ห่างจากเขาหน่อยนะ ไม่ควรไปกวนพวกเขา”
“หืม ทำไมล่ะ”
“พวกเขาเป็นพวกคุณชายมีเงินน่ะสิ ค่อนข้างน่ารำคาญอยู่ อีกอย่างได้ยินว่า…ยังรู้จักกับพวกผู้มีอิทธิพลด้วย”
“อ้อ” ซ่งจื่อเซวียนเหมือนไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ดื่มเบียร์ต่อ รูดไม้กินเนื้อ
ถังหย่าฉีเงียบไปครู่หนึ่ง พูดว่า “ยังไงฉันก็ดูกล้องวงจรปิดนั่นมาแล้ว พวกเขาน่าเกลียดเกินไป ความจริงแล้วครั้งก่อนที่ตลาดโบราณฉันรู้ว่านายกำลังเตือนเขา”
“เหอะๆ ตอนนั้นฉันว่างไม่มีอะไรทำ พูดมากไปซะแล้ว”
“ไม่ใช่หรอก เป็นหลี่เจียหาวต่างหากที่ใจคอคับแคบเกินไป เขาคิดว่าเสียหน้าไปแล้ว ถึงได้แค้นฝังหุ่นนายแทน อย่างเขานี่เป็นคนตอบแทนความดีด้วยความชั่ว ส่วนนายกลับเอาชนะความชั่วด้วยความดีเสียอย่างนั้น”
ถังหย่าฉียิ่งพูดยิ่งโกรธ คิ้วสีดำขมวดขึ้น ตามด้วยดื่มเบียร์อึกหนึ่งทันที
ซ่งจื่อเซวียนพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาชนะความชั่วด้วยความดี…เหอะๆ ประโยคนี้หมายความว่ายังไง”
“หา?” ถังหย่าฉีชะงักที่ซ่งจื่อเซวียนถามอย่างเห็นได้ชัด คิดไม่ถึงว่าเขาจะถามอย่างนี้ “เอาชนะความชั่วด้วยความดี…ก็คือเอาชนะความชั่วด้วยความดีไง ยังจะมีความหมายอะไรอีก ก็คือไม่จำความเคียดแค้น กลับทำดีกับคนอื่นแทนไง”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า “เหอะๆ ความหมาย…เหมือนจะไม่ผิดนะ”
“พูดเพ้อเจ้อ ถ้านี่ฉันยังพูดผิดอีก นายคิดว่าฉันเป็นคนไม่รู้หนังสือหรือไง” ถังหย่าฉีแกล้งโกรธ
“แต่ความหมายอาจจะไม่เหมือนกับที่เธอพูดนะ เอาชนะความชั่วด้วยความดีมาจากข่งจื๊อ ต้นฉบับเดิมคือ ‘เอาชนะความชั่วด้วยความดี แล้วจะตอบแทนความดีอย่างไรเล่า ใช้ความยุติธรรมตอบแทนความชั่ว ใช้ความดีตอบแทนความดี’ เธอไม่เคยได้ยินคำพูดนี้เหรอ”
คำพูดนี้ทำให้ถังหย่าฉีพูดไม่ออกแล้วจริงๆ
“ดังนั้นความหมายที่แท้จริงของประโยคนี้คือมีบริบท ถ้าตอบแทนความดีด้วยความดี แล้วจะใช้อะไรตอบแทนความชั่วล่ะ ก็ควรใช้ความยุติธรรมสู้กับความชั่วกลับสิถึงจะถูก”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ทั้งสองก็เงียบไปอย่างน้อยหลายสิบวินาที ถังหย่าฉีถลึงตามองซ่งจื่อเซวียน เหมือนว่าจะไม่กะพริบตาเลย แต่ด้านซ่งจื่อเซวียนที่ถูกมองกลับรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย จึงหันหน้าแสร้งมองไปรอบๆ เสียเลย
“นาย…ทำให้ฉันรู้สึกว่าที่เรียนไปไม่มีประโยชน์แล้ว ฉันรู้สึกว่าพอฉันอยู่ต่อหน้านายแล้วเหมือนคนไม่รู้หนังสือจริงๆ จื่อเซวียน ทำไมนายถึงความรู้เยอะขนาดนี้…”
ถ้าพูดว่าเมื่อครู่ท่าทางของถังหย่าฉีคือชื่นชมซ่งจื่อเซวียนแล้วล่ะก็ เช่นนั้นตอนนี้ก็เลื่อมใสอย่างสมบูรณ์
โดยเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่เพิ่งจบจากมัธยมปลายและสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างเธอที่ต้านทานเด็กหนุ่มที่มีความสามารถไม่ได้เลย และเทียบกับความสามารถด้านกีฬาหรือดนตรี เหมือนว่าวรรณกรรมจีนโบราณจะยิ่งมีเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ยากจะอธิบายออกมาได้
“หา? ไม่ได้ขนาดนั้นซะหน่อย ก็อ่านจากหนังสือนี่แหละ” ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง หยิบไตไม้หนึ่งขึ้นมากัดไปคำใหญ่ แอบมองถังหย่าฉีแวบหนึ่งอีกครั้ง พบว่าอีกฝ่ายยังมองที่ตนเองอยู่ “คือ…ถ้าเธออ่านเธอก็รู้น่า ไว้มีโอกาสฉันจะเอาหนังสือมาให้เธอยืมแล้วกัน”
“งั้นเอาตามนี้ นายต้องให้ฉันยืมหนังสือนะ”
“อ้อ…” ซ่งจื่อเซวียนกินต่อเงียบๆ
กินอาหารบนโต๊ะไปเกินครึ่ง เบียร์ก็ดื่มจนถึงก้นทาวเวอร์อีกครั้ง เรียกว่ากินดื่มอย่างอิ่มหนำเลยทีเดียว แต่ความรู้สึกสนุกสนานของทั้งคู่ยังไม่ลดลงเลยแม้แต่นิด คุยกันต่ออีกครึ่งชั่วโมงกว่าถึงตัดสินใจแยกย้าย
ถึงอย่างไรก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว พรุ่งนี้ซ่งจื่อเซวียนยังต้องไปทำงาน ถังหย่าฉีก็มีธุระต้องไปทำเช่นกัน
“เธออยู่ที่ไหนล่ะ ดึกมากแล้ว ฉันไปส่ง” เดินถึงริมถนน ซ่งจื่อเซวียนก็ถาม
“เหอะๆ นายจะไปส่งฉันยังไง เดินเหรอ” ถังหย่าฉีเงยหน้ามองซ่งจื่อเซวียน พูดหยอกล้อ
พูดอย่างนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มอย่างรู้สึกผิด “ถ้าเธออยู่ไกล พวกเราเรียกแท็กซี่ก็ได้นะ ดึกขนาดนี้แล้ว แถมยังดื่มแอลกอฮอล์อีก ปล่อยเธอให้กลับเองไม่ได้แน่นอน อย่างนั้นอันตรายเกินไป”
เงินเดือนเพิ่งออก ซ่งจื่อเซวียนก็ตัดสินใจลองรสชาติของการเรียกแท็กซี่ดูสักหน่อย จุดนี่ไม่ได้โอเวอร์สักนิด ซ่งจื่อเซวียนตั้งแต่จำความได้ก็ไม่เคยเรียกแท็กซี่มาก่อนเลย ที่เคยนั่งมากสุดก็รถโดยสารสาธารณะและรถเมล์ประจำทาง
ถังหย่าฉีหันไปมองรถของตัวเอง คิดอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “นายแน่ใจเหรอว่านายไม่อันตรายน่ะ”
“ฉัน? ฉันมีอะไรให้อันตราย ฮ่าๆๆ…เธออย่าล้อเล่นสิ…” นอกจากหัวเราะ ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่รู้ว่าจะคลายความอึดอัดอย่างไร
เห็นท่าทางอึดอัดของซ่งจื่อเซวียน ถังหย่าฉีจึงพูดด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะๆ ฉันเรียกรถแล้ว ไปส่งนายกลับบ้านก่อนแล้วกัน”
“เรียกรถ?”
ซ่งจื่อเซวียนที่ไม่มีประสบการณ์เรียกแท็กซี่มาก่อน แน่นอนว่าไม่รู้เรื่องใช้แอปพลิเคชันเรียกรถได้…
“ง่ายมาก เดี๋ยวขึ้นรถแล้วฉันจะสอนนายเอง”
พูดจบ ถังหย่าฉีแอบส่งวีแชตหาคนขับรถ
ไม่นานนัก รถเมอร์เซเดส เบนซ์ เอสคลาสก็กลับรถด้านนอกลานจอดรถรอบหนึ่ง ขับมาด้านหน้าทั้งสองคน ถังหย่าฉีพูดว่า “รถมาแล้ว ไปกันเถอะ!”
“หรู…ขนาดนี้เชียว…” ซ่งจื่อเซวียนอ้าปากพูด ความจริงแล้วเขาเคยเห็นรถหรูมาก่อน ไม่ใช่แค่บนถนน รถเบนซ์คันนั้นของพ่อแท้ๆ ของตัวเอง เขาก็เคยเห็นมาไม่น้อยกว่าหนึ่งครั้ง เพียงแต่ในความคิดของเขา รถคันนั้นไม่ได้เป็นของเขา
บนถนน ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันเยอะ บางทีเมื่อครู่นี้อาจจะหยิบยืมประโยชน์จากฤทธิ์แอลกอฮอล์ทั้งสองถึงได้พูดต่อปากต่อคำกันได้ยาวเหยียด แต่ตอนนี้ ลมยามค่ำคืนพัดลอดกระจกรถเข้ามาถึงได้สร่างบ้างแล้ว
โดยเฉพาะถังหย่าฉี เธอรู้อยู่แล้วว่าตนเองไม่ได้ใช้แอปพลิชันเรียกรถ ที่นั่งอยู่ก็ไม่ใช่รถแท็กซี่ ไต้ทงที่ขับรถอยู่เป็นทั้งคนขับรถและบอดีการ์ดโดยเฉพาะ แน่นอนว่ามีความระมัดระวังอยู่เล็กน้อย
ตอนใกล้จะถึงที่หมาย ซ่งจื่อเซวียนพูดว่า “โชเฟอร์ครับ รบกวนเลี้ยวขวาแยกหน้าแล้วจอดรถที่หน้าปากซอยก็ได้ครับ ด้านในขับรถเข้าไปยาก”
ไต้ทงยังไม่คุ้นเคยกับการถูกเรียกว่าโชเฟอร์อย่างเห็นได้ชัด ผ่านไปครู่หนึ่งถึงตอบกลับ “อ้อ ครับ”
ถังหย่าฉีกัดริมสีปากเชอร์รี่เบาๆ สุดท้ายก็เอ่ยปาก “เอ่อ…นายเอาโทรศัพท์มาให้ฉันหน่อย”
“หืม โทรศัพท์เหรอ”
“ใช่สิ ฉันจะสอนนายใช้แอปเรียกรถไง”
“แอปเหรอ ไม่ต้องแล้วมั้ง ฉันโบกเองตามถนนก็ได้” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ความจริงเขาก็ไม่ได้คิดแบบนี้ แม้ว่าหลักๆ ตนเองจะมีแปดหมื่นหยวนแล้ว เขายังหวังว่าจะรักษานิสัยมัธยัสถ์เอาไว้ได้ เอาเงินไปใช้ในบ้าน ใช้กับร่างกายของแม่ ส่วนตนเอง…ยังคงเหมือนก่อนหน้านี้ก็พอแล้ว
ไม่ว่าจะทำงานที่ต้าสือไต้ต่อไปได้หรือไม่ กระทั่งว่าจะได้เงินเดือนเดือนที่สองที่ยังไม่รู้จำนวนแน่ชัดหรือไม่ สำหรับการเรียกแท็กซี่…ยังยากมากที่ซ่งจื่อเซวียนจะสุรุ่ยสุร่ายขนาดนั้น
แต่ถึงเขาจะคิดอย่างนี้ ถังหย่าฉีกลับโกรธอยู่เล็กน้อย!
คนโง่ก็ดูรู้ว่าจุดประสงค์ของถังหย่าฉีไม่เพียงแค่จะสอนซ่งจื่อเซวียนใช้แอปพลิเคชันเรียกรถเท่านั้น แต่ที่หญิงสาวต้องการโทรศัพท์ก็คือบอกเป็นนัยๆ ว่ายินยอมให้ช่องทางติดต่ออีกด้วย โจ่งแจ้งถึงขนาดนี้แล้ว แต่ซ่งจื่อเซวียนคนนี้กลับปฏิเสธอย่างซื่อบื้ออีก…
“จะเรียกหรือไม่เรียกก็เรื่องของนาย เอาโทรศัพท์ของนายมา ฉันติดตั้งให้นายไปก่อนก็ได้ไม่ใช่เหรอ” เสียงถังหย่าฉีแฝงความโกรธไว้อย่างเห็นได้ชัด
“อ้อๆ งั้นก็ได้” เห็นน้ำเสียงถังหย่าฉีไม่ปกติ ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่พูดอะไรอีก หยิบโทรศัพท์ส่งให้อีกฝ่าย
แต่ตอนที่รับโทรศัพท์มา ถังหย่าฉีชะงักค้างไปจริงๆ เผชิญหน้ากับโทรศัพท์หน้าจอสีเขียวแบบนี้ เธอรู้สึกว่าตนเองเหมือนอยู่ที่ตลาดโบราณอีกครั้ง…
“นายล้อฉันเล่นอยู่ใช่ไหม ซ่งจื่อเซวียน นี่โทรศัพท์ของนายเหรอ” ถังหย่าฉีพูดพลางเบิกตาโต กะน้ำหนักโทรศัพท์ยี่ห้อโนเกียร์ในมืออย่างจริงจัง โทรศัพท์ยี่ห้อโนเกียร์รุ่นก่อนๆ เป็นก้อนอิฐได้แน่นอน…
“ใช่สิ พี่สาวซื้อให้ฉันตอนที่ยังเรียนอยู่น่ะ ทำไมเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนรู้อยู่แล้วว่าโทรศัพท์ของตัวเองคุณภาพต่ำ แต่พื้นฐานของที่บ้านไม่สามารถซื้อสมาร์ทโฟนอย่างพวกหัวเหว่ยหรือผลไม้ได้อย่างเด็กคนอื่นๆ ดังนั้นพอได้ยินคำพูดนี้ของถังหย่าฉี เขารู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างทันที จู่ๆ น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา
ถังหย่าฉีรับรู้สิ่งที่ซ่งจื่อเซวียนคิด พูดว่า “ฉันไม่ได้มีความหมายอื่นนะ แต่โทรศัพท์เครื่องนี้ติดตั้งแอปไม่ได้”
“อ้อ” ซ่งจื่อเซวียนตอบรับเสียงหนึ่ง มองออกไปนอกหน้าต่างทันที
ถังหย่าฉีก็ลำบากใจที่จะพูดอะไรอีก เพียงแค่แอบหยิบโทรศัพท์ของซ่งจื่อเซวียนมากรอกเบอร์โทรศัพท์ของตนเองลงไป ก็ถือเป็นการทิ้งช่องทางติดต่อไว้
ไม่นานนัก รถก็จอด ซ่งจื่อเซวียนลงจากรถ พูดบอกลาประโยคหนึ่ง และไม่ได้หันหน้ากลับมาอีก
เห็นแผ่นหลังของซ่งจื่อเซวียน จู่ๆ ถังหย่าฉีก็เกิดความรู้สึกที่พูดไม่ออก เหมือนว่าจะเป็น…เงียบเหงา เจ็บปวด
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทั้งสองเพิ่งเจอกันแค่สามครั้ง เป็นเพราะเด็กหนุ่มคนนี้พิเศษมากเหรอ หรืออาจจะเป็นเพราะตนเองรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อยมั้ง
เห็นท่าทางของถังหย่าฉีผ่านกระจกมองหลัง ไต้ทงก็พูดว่า “คุณหนู เด็กผู้ชายคนนั้น…ห่างชั้นกับคุณหนูไปมากนะครับ”
ถังหย่าฉีมองไปที่กระจกมองหลังฉับพลัน ตอนที่สายตาทั้งสองประสานกันในกระจก ไต้ทงก็รู้สึกถึงความเย็นชาในสายตาของถังหย่าฉี
“ขับรถของนายให้ดีเถอะ!”
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว” ไต้ทงเม้มปาก สตาร์ทรถ
เดินเข้าไปในซอย ซ่งจื่อเซวียนแกว่งถุงใส่สุราและปิ้งย่างเสียบไม้ที่จะเอามาฝากชายชราในมือ แต่ความคิดกลับเหมือนยังอยู่บนรถ
ถ้าพูดถึงครั้งก่อนที่ได้ใกล้ชิดกับหยางเสวี่ยทำให้ซ่งจื่อเซวียนคิดว่าเป็นความรู้สึกใจชา ถ้าอย่างนั้นวันนี้ความรู้สึกของเขากลับมีความสุขเหมือนอยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ เด็กสาวทั้งสองมีนิสัยต่างกัน หยางเสวี่ยกระตือรือร้นเหมือนไฟ แต่ถังหย่าฉีกลับทำให้รู้สึกว่าไร้เดียงสา ละเอียดและล้ำลึก…
เทียบกันแล้ว วันนี้ซ่งจื่อเซวียนถึงรู้สึกใจเต้นจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ตรงกลับบ้าน แต่ไปที่บ้านฟางจิ่งจือก่อน นัดไว้แล้วว่าจะซื้อสุราไปให้ก็ย่อมต้องเป็นไปตามที่นัดไว้ อีกทั้งเขาก็คิดไว้ว่าจะไปลองอ่านสูตรอาหารเล่มนั้นด้วย ถึงอย่างไรฟางจิ่งจือก็พูดไว้ว่า เพียงแค่เขาตระหนักอาหารเมนูที่สองได้ ก็จะเอาตะหลิวลายฟีนิกซ์นั่นให้เขาดูกับตาตัวเอง
แต่ยังไม่ทันเดินถึงบ้านฟางจิ่งจือ ซ่งจื่อเซวียนก็หยุดเท้าลงฉับพลัน ตอนที่หันหลังไป เงาร่างของคนคนหนึ่งก็ยืนอยู่ด้านหน้าของตนแล้ว!
……………………………………