เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 33 ทำให้นายยุ่งมากพอแล้วจริงๆ
ตอนที่ 33 ทำให้นายยุ่งมากพอแล้วจริงๆ
ตั้งแต่เล็กจนโตซ่งจื่อเซวียนมีเพื่อนไม่เยอะ บางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับฐานะทางบ้านถึงทำให้เขามีปมด้อยที่เปลี่ยนแปลงยากแบบนี้
โดยเฉพาะตอนที่พูดคุยกับเด็กผู้หญิง เขามักจะเขินอายอยู่เสมอ กระทั่งกลัวว่าอีกฝ่ายจะถามถึงฐานะทางบ้าน จึงกลายเป็นอุปสรรคในการพูดคุยกับเด็กสาวภายหลังเช่นกัน
รวมถึงตอนที่คุยกับถังหย่าฉี เขาก็เหมือนจะพูดถ้อยคำบางอย่างที่แม้แต่ตัวเองก็ไม่เข้าใจออกไป
แต่ต้องพูดเลยว่า ถังหย่าฉีเป็นเด็กผู้หญิงที่สวยที่สุดที่เขาเคยเจอมาจริงๆ อีกทั้งไม่ใช่แค่ภายนอก การพูดคุยแลกเปลี่ยนสามครั้งก็ทำให้เขารู้สึกถึงความน่ารักและใจดีของอีกฝ่าย
การพูดคุยวันนี้สำหรับเขาแล้วเหมือนกับฝันไป แม้สีหน้ายังรักษาความเย็นชาไว้ได้ แต่ในใจยุ่งเหยิงตั้งนานแล้ว อย่าว่าแต่เขาเลย ต่อให้เป็นผู้ชายที่มั่นใจตัวเอง เจอกับนางฟ้าอย่างถังหย่าฉีเข้า จะไม่เกิดระลอกคลื่นในใจเลยจริงๆ เหรอ
“ก็ว่าจะนอนแล้ว มีอะไรเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนรวบรวมความกล้าตอบกลับไป
“ฮิๆ นายรู้เหรอว่าฉันเป็นใคร”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มออกมา
“แน่นอน ถึงบ้านแล้วเหรอ”
“ถึงนานแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะรบกวนนายนะ เอ่อ…ซ่งจื่อเซวียน ข้าวผัดที่นายทำสุดยอดมากจริงๆ นะ นายรู้ไหม คืนนี้เดินกับนายอยู่ตั้งนานขนาดนั้น ฉันไม่รู้สึกเหนื่อยเลย อย่างกับข้าวผัดของนายเพิ่มพลังให้ฉันแน่ะ”
“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นอะไรเนี่ย ที่ฉันทำนั่นไม่ใช่ยาสักหน่อย” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
“เอาเถอะ แต่ชอบมากจริงๆ นะ ฉันเพิ่งโพสต์ลงโมเมนต์[1]ในวีแชต เพื่อนบอกว่าจะไปลองชิมดูเยอะเลยล่ะ ฉันส่งที่อยู่ร้านให้พวกเขาแล้ว นายคงไม่โกรธฉันใช่ไหม”
“ฮะ จริงเหรอ ฉันจะโกรธทำไมล่ะ ฉันขอบคุณเธอแทบไม่ทันแน่ะ ฉันเพิ่งมาทำงานที่นี่ ต้องหวังว่าข้าวผัดจะขายได้แน่อยู่แล้ว แต่…ก็เป็นเพราะมันแพงเกินไป ไม่รู้ว่าคนเขาจะคิดเห็นกันยังไง”
“จะแพงก็แพงอย่างมีเหตุผล ได้สัมผัสกับอาหารรสเลิศต้องใช้เงินประมาณนี้อยู่แล้ว วางใจเถอะ นายต้องมั่นใจในตัวเองนะ!”
คำพูดของถังหย่าฉีทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกอบอุ่น คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะขายของให้ตัวเองจริงๆ
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจดี ข้าวผัดหนึ่งที่ราคาเก้าร้อยหยวนมีคนไม่มากนักที่จะยอมชิมดูแน่นอน แต่ในใจกลับขอบคุณถังหย่าฉีจากใจจริง
ไม่รู้ว่าทั้งสองคุยกันนานเท่าไร จนกระทั่งโทรศัพท์ของซ่งจื่อเซวียนแบตใกล้หมดถึงได้วางสาย ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าตีหนึ่งกว่าแล้ว
การดำรงชีวิตประจำวันของซ่งจื่อเซวียนนั้น แทบจะไม่เคยนอนดึกขนาดนี้มาก่อน แต่เมื่อเอนตัวนอนบนเตียงเขากลับไม่มีความง่วงเลย หัวนอนหนุนแขนสองข้าง จนกระทั่งหลับรอยยิ้มบนใบหน้าก็ไม่ได้จางหายไป
เช้าวันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนก็นั่งรถโดยสารมาถึงที่ต้าสือไต้ ยังไม่ได้เข้าประตู รถยี่ห้อฟอร์ดสีเหลืองคันหนึ่งก็มาจอดอยู่หน้าประตู บีบแตรส่งเสียงสองที ซ่งจื่อเซวียนต้องหยุดอย่างช่วยไม่ได้
คนเปิดประตูลงจากรถมาเป็นโจวเผิงนั่นเอง เขาล็อกรถเรียบร้อยก็เดินมาหาซ่งจื่อเซวียน “อรุณสวัสดิ์เชฟซ่ง”
ซ่งจื่อเซวียนลอบยิ้ม โจวเผิงทักทายเขาก่อนเนี่ยนะ ท่าทางต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิงเลย
เขาไม่มีทางคิดอยู่ว่าแล้วโจวเผิงมาทำดีด้วยเพราะเมื่อวานตนขายข้าวผัดจักรพรรดิได้ แต่อีกฝ่ายแสดงมารยาทออกมาก็ต้องตอบกลับสักประโยค
“อรุณสวัสดิ์ครับ ผู้จัดการโจว”
“เหอะๆ เชฟซ่ง เมื่อวานทำได้ไม่เลวเลยนะ ขายข้าวผัดจักรพรรดิออกหนึ่งที่แน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ก็ร้านอาหารนี่ครับ ต้องขายเปิดประเดิมอยู่แล้ว”
“ฮ่าๆๆ นายคงไม่ได้นึกว่าร้านอาหารจะขึ้นอยู่กับที่นายขายเปิดประเดิมหรอกใช่ไหม ภัตตาคารของพวกเราใหญ่ขนาดนี้ รายได้วันหนึ่งไม่รู้กี่หมื่นหยวน ข้าวผัดของนายนั่น…เหอะๆ จะได้สักเท่าไรกันเชียว”
ความหมายในคำพูดของโจวเผิงชัดเจนมาก ข้าวผัดของนายแพงมากไม่ผิด แต่สำหรับร้านอาหารแล้วไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ กระทั่งพูดได้ว่ากระจ้อยร่อยด้วยซ้ำ!
แน่นอนว่าซ่งจื่อเซวียนฟังเจตนาออก พูดตอบไปว่า “ใช่ครับ เพราะงั้นผมถึงต้องขยัน หวังว่าจะขายได้มากกว่านี้”
“ฮ่าๆ ช่างเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีจริงๆ ขอให้นายโชคดีแล้วกัน!”
โจวเผิงตบไหล่ซ่งจื่อเซวียน เดินเข้าร้านอาหารไป
ด้านซ่งจื่อเซวียนไม่ได้สนใจ เดินตรงเข้าไปครัวด้านหลัง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากให้ใครมาส่งผลกระทบกับสภาพจิตใจแต่เช้าตรู่
วันนี้แตกต่างจากเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง สำหรับซ่งจื่อเซวียนเมื่อวานมีแค่เคาน์เตอร์เตาเป็นของตัวเองเท่านั้น กระทั่งเครื่องครัวสักอย่างก็ไม่มี แต่วันนี้เครื่องครัวครบชุดจัดวางอยู่บนเคาน์เตอร์ เขามีเหมือนกับเชฟคนอื่นได้แล้ว สามารถจัดวางเช็ดถูเครื่องครัวของตนเองได้ตั้งแต่เช้า
ความจริงแล้วงานที่เขาต้องตระเตรียมมีไม่เยอะ ร้านอาหารใหญ่ๆ อาจจะไม่ต้องตระเตรียมจากคืนก่อนทั้งหมด ข้าวผัดก็ใช้ข้าวสวยหุงใหม่ ส่วนไข่ที่ใช้ผัดก็ไม่ต้องเตรียมอะไร ดังนั้นเขาจึงนั่งพักข้างๆ เหมือนเคย ตรงข้ามเหล่าคนที่กำลังยุ่งวุ่นวายอยู่อย่างชัดเจน
เวลาสิบโมงกว่า เจิ้งฮุยมาถึงครัวด้านหลัง อย่างไรสำหรับทีมเชฟด้านหลังที่รู้จักมักจี่กัน หัวหน้าเชฟก็ไม่จำเป็นต้องจดจ้องกับการเตรียมงาน นอกเสียจากจะต้องเตรียมอะไรเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่ต้องมาถึงเช้ามากนัก
ทันทีที่เข้าประตูมา เขามองซ่งจื่อเซวียนแวบหนึ่ง ในสายตาแฝงแววกีดกันบางส่วน เดินเข้าไปใกล้หลี่เทาทันที พูดว่า “เทาจื่อ เตรียมของเป็นยังไงบ้าง”
“วางใจเถอะครับพี่เจิ้ง ผมดูอยู่พี่ก็ยังไม่วางใจเหรอ”
“อืม ดูท่าฉันจะคาดคะเนการจัดซื้อตอนแรกไว้ต่ำไป จากปริมาณอาหารที่ทำออกไปเมื่อวาน ฉันเตรียมวัตถุดิบไว้สำหรับสามวันเหลือไม่ถึงวันครึ่ง สมแล้วที่เป็นภัตตาคารใหญ่ เปิดประเดิมวันแรกก็ใช้วัตถุดิบปริมาณเท่านี้” เจิ้งฮุยพูด
พวกหลี่เทาฟังความหมายของคำพูดเขาออก นั่นก็คือต้องเพิ่มปริมาณการจัดซื้อ สำหรับเจิ้งฮุยที่มีอำนาจการจัดซื้ออยู่ในมือ นี่คือแหล่งที่มาของรายได้อย่างแน่นอน แต่เขาคือหัวหน้าเชฟ ใครก็ค้านไม่ได้
หลี่เทาพยักหน้า “ใช่ครับลูกพี่ ร้านอาหารก่อนหน้านี้ของพวกเราเปิดครึ่งเดือนกว่าจะได้ใช้วัตถุดิบปริมาณเท่านี้”
“ดังนั้น ภัตตาคารขนาดใหญ่ก็เป็นเวทีที่แสดงความสามารถดียิ่งกว่า พวกนายทุกคนก็ต้องลงแรงให้มากขึ้น วันนี้คำนวณการจัดซื้อใหม่อีกสักรอบแล้วมาแจ้งกับฉัน!”
“ครับลูกพี่!” หลี่เทาพูดจบ ก็ไปทำงานต่อ
เจิ้งฮุยเห็นทุกคนทำงาน ในใจก็มีความสุข เพราะนี่เป็นทีมที่เขาปั้นขึ้นมาเองกับมือ จากนั้นก็หันไปมองซ่งจื่อเซวียน เขาเดินเข้าไปใกล้แล้วพูดว่า “เป็นยังไงล่ะ เชฟซ่งผู้ยิ่งใหญ่ ได้คำนวณการจัดซื้อที่ต้องแจ้งกับฉันไว้ไหม อะแฮ่ม…จริงสิ ลืมบอกนายไป ครัวด้านหลังของพวกเรามาจากหัวหน้าเชฟ หรือก็คือฉันเป็นคนรวบรวมการจัดซื้อเอง นายคงไม่คัดค้านใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนรู้ว่าเจิ้งฮุยกำลังเยาะเย้ยตนเอง เขาทำแค่ข้าวผัด อีกทั้งข้าวผัดจักรพรรดิไม่ได้ต้องการวัตถุดิบอย่างอื่นนอกจากไข่ไก่และข้าวสวย เดิมไม่มีการคำนวณอะไรอยู่แล้ว อีกทั้งขณะเดียวกันเจิ้งฮุยก็บ่งบอกถึงอำนาจของหัวหน้าเชฟกับตนเองอีกครั้ง
“ไม่มี” เผชิญหน้ากับถ้อยคำยาวเป็นพรืดของเจิ้งฮุย ซ่งจื่อเซวียนตอบกลับเพียงแค่สองคำ อีกทั้งไม่ได้เงยหน้ามองเจิ้งฮุยสักแวบ
“ไอ้หนู นายนี่เจ๋งมาจากไหนวะ นายคงไม่คิดว่าเมื่อวานนายทำข้าวผัดออกไปที่หนึ่งก็เป็นบ้าไปแล้วหรอกใช่ไหม ฉันจะบอกนายให้นะ ไม่มีภัตตาคารที่ไหนสนใจรายได้จากข้าวผัดที่หนึ่งหรอกเว้ย ต่อให้มันจะราคาสูง นายมีความสามารถที่จะขายออกอีกหนึ่งที่ในวันนี้เหรอ”
เจิ้งฮุยตะคอกด่าด้วยความโกรธ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีใครกล้าตั้งข้อสงสัยกับตำแหน่งของเขา ซ่งจื่อเซวียนเป็นคนแรกอย่างแน่นอน
แต่ขณะที่สิ้นเสียงของเจิ้งฮุย ก็ได้ยินเสียงออร์เดอร์อาหารดังมา เชฟคนหนึ่งหยิบออร์เดอร์แล้วหันมาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“หัว…หน้าหน้าเชฟครับ ข้าวผัดจักรพรรดิหนึ่งที่…”
“อะไรนะ” เจิ้งฮุยวิ่งไปสองสามก้าว ไม่เพียงแค่เพราะตื่นตกใจที่มีคนสั่งข้าวผัดจักรพรรดิ อีกทั้งเมื่อครู่เขาก็เพิ่งพูดจบ หักหน้ากันเกินไปแล้ว…
แต่ตอนที่เขาเห็นข้าวผัดจักรพรรดิพิมพ์ไว้บนใบออร์เดอร์ ถึงที่สุดก็ยอมรับความเป็นจริง เขาหันหน้ามาจ้องซ่งจื่อเซวียน พูดว่า “ไอ้หนู นายนี่ดีจริงๆ ไปทำเถอะ!”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม เดินไปที่เคาน์เตอร์เตาของตนเอง “เหล่าอู๋ รบกวนแล้ว ข้าวสวยกับไข่ครับ”
“ได้เลย” งานของเหล่าอู๋ก็คือส่งส่วนผสม นี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น
โถงด้านหน้า โจวเผิงที่พิงเคาน์เตอร์แคชเชียร์อยู่ก็ชะงักไป พูดกับตัวเองว่า “แปลกแล้ว นี่เพิ่งจะเปิดร้านก็มีคนสั่งอาหาร อีกทั้งยัง…เป็นข้าวผัดจักรพรรดิ”
“บางทีซ่งจื่อเซวียนอาจจะผัดอร่อยมากจริงๆ ก็ได้ เมื่อวานก็มีคนสั่ง มีอะไรแปลกใหม่กันนะ” ในเคาน์เตอร์แคชเชียร์ หลัวลี่ลี่พูดขึ้นมา
โจวเผิงหันไปทั้งตัวชำเลืองมองเธอแวบหนึ่ง “เธอเคยชิมงั้นเหรอ อีกอย่างข้าวผัดจะอร่อยได้ถึงไหนกันเชียว”
“ไม่แน่หรอกค่ะ ฉันได้ยินมาว่าอาหารเลิศรสที่อร่อยที่สุดไม่จำเป็นต้องมีส่วนผสมที่ซับซ้อนเสมอไป ของที่ยิ่งเรียบง่ายเท่าไรก็ยิ่งรสชาติดีเมื่อบรรลุจุดสูงสุด”
“เหอะๆ งั้นเธอคิดว่าอร่อยก็พอแล้ว ยังไงเจ้าของสิ่งนั้นฉันชิมไม่ลงหรอก มาถึงภัตตาคารอย่างต้าสือไต้สั่งข้าวผัด…ไม่เข้าใจ” โจวเผิงพูด
หลัวลี่ลี่ลอบกลอกตา ในใจคิดว่า ‘ยังไม่ทันกินองุ่นก็พูดว่าองุ่นเปรี้ยวเสียแล้ว นี่ยังเป็นผู้จัดการได้อีกเนาะ…’
คนที่สั่งข้าวผัดจักรพรรดิครั้งนี้ก็เป็นเด็กสาวเหมือนกัน รูปลักษณ์ไม่ได้สวยจนน่าตกใจเหมือนถังหย่าฉี แต่บอกว่าเป็นสาวสวยคนหนึ่งก็ไม่เกินไป อีกทั้งยังสวมเสื้อผ้าไม่ธรรมดาเหมือนกัน
โจวเผิงงุนงง ทำไมคนที่มากินข้าวผัดจักรพรรดิเป็นเด็กสาวอายุไม่มากทั้งนั้นเลยล่ะ อีกทั้งดูแล้วยังรวยมากอีกด้วย…
เด็กสาวคนนั้นสั่งข้าวผัดกับผัดผักอย่างละหนึ่งที่ ตั้งแต่เสิร์ฟอาหารให้ก็เริ่มรับประทานโดยไม่ได้หยุดมือ กระทั่งเสียงแจ้งเตือนโทรศัพท์ดังก็ไม่ได้หันไปมองเลย
ปฏิกิริยานี้ทำให้พนักงานข้างๆ ค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน ถึงอย่างไรตอนสิบโมงกว่า ในร้านก็ไม่ได้มีลูกค้าท่านอื่น ดังนั้นเด็กสาวคนนี้จึงโดดเด่นเป็นพิเศษ
สิ่งที่ทำให้พนักงานไม่เข้าใจที่สุดก็คือตอนที่เธอกินข้าวผัดที่อยู่ตรงหน้าด้วยคำใหญ่ๆ จนหมด ส่วนผัดผักจนท้ายที่สุดก็ไม่ได้แตะแม้แต่นิด ราวกับกลัวว่ากินเข้าไปสักคำจะส่งผลกระทบกับรสชาติของข้าวผัด
จนกระทั่งกินข้าวผัดหมด เธอจึงหยิบตะเกียบเขี่ยผัดผัก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้กินเข้าไปสักคำแล้วลุกขึ้นไปคิดเงิน
เนื่องจากเมื่อคืนคุยกับซ่งจื่อเซวียนดึกเกินไป ถังหย่าฉีถึงได้ตื่นจากฝันตอนสิบเอ็ดโมงเช้า ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากบนหมอน เธอก็แตะโทรศัพท์ขณะยังหลับตาอยู่
“หย่าฉี ข้าวผัดนั่นที่เธอบอกฉันไปกินมาแล้วนะ น่าตกใจเกินไปแล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตฉันไม่เคยกินอาหารที่อร่อยขนาดนี้มาก่อนเลย!”
ได้ยินดังนั้น ถังหย่าฉีลืมตาขึ้นมองนาฬิกา “ฮ่าๆ ฉันก็บอกแล้วว่าอร่อย แต่…พี่สาว นี่เธอกินข้าวเช้าหรือข้าวเที่ยงกันแน่เนี่ย”
“โธ่ ไม่สนแหละ เห็นที่เธอโพสต์ในโมเมนต์เมื่อวานฉันก็อยากกินแล้ว ฉันก็ว่าอาหารอะไรถึงทำให้คุณหนูใหญ่หย่าฉีของพวกเราชื่นชมขนาดนั้นได้ ฮ่าๆๆ ไม่ทำให้ฉันผิดหวังเลยจริงๆ จริงสิ ฉันโพสต์ลงโมเมนต์แล้ว รีบไปกดไลก์ให้ฉันเร็ว!”
พูดจบ เด็กสาวก็วางสาย ถังหย่าฉีหัวเราะ กดไลก็ให้อีกฝ่ายในโมเมนต์ แต่ก็พบว่าโพสต์ในโมเมนต์ที่ตนเองโพสต์ดังระเบิดระเบ้อแล้วจริงๆ อย่างน้อยก็มีสิบกว่าคนที่บอกว่าวันนี้ต้องไปชิมดูให้ได้…
ด้วยฐานะทางบ้านของถังหย่าฉี เพื่อนรอบตัวจึงเป็นทายาทเศรษฐีเสียส่วนใหญ่ สำหรับอาหารรสเลิศธรรมดาๆ คนพวกนี้เบื่อหน่ายกันไปนานแล้ว อาหารหายากต่างๆ ก็กลายเป็นอาหารธรรมดา
ดังนั้นอาหารรสเลิศที่สามารถทำให้ทายาทบริษัทอาหารอย่างถังหย่าฉีกดไลก์ได้ จึงดึงดูดพวกเขาให้ติดตามไปได้โดยปริยาย…
ต้องพูดเลยว่า ความเร็วในการเผยแพร่บนอินเตอร์เน็ตยุคปัจจุบันนี้เร็วกว่าเมื่อก่อนมาก ถังหย่าฉีสูดลมหายใจลึก นั่งลงสางผมที่ยุ่งเหยิงหลังจากที่ตื่นนอนทันที พูดกับตัวเองว่า “ซ่งจื่อเซวียน ฮิๆ วันนี้ทำให้นายยุ่งมากพอซะแล้ว”
………………………………….
[1] โมเมนต์ หรือ Moment (朋友圈) คือหน้าไทม์ไลน์ในแอปพลิเคชันวีแชตของจีน มีไว้สำหรับโพสต์เรื่องราวที่อยากโพสต์เพื่อแชร์เรื่องราวกับเพื่อน