เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 34 ผมเลิกงานแล้ว
ตอนที่ 34 ผมเลิกงานแล้ว
พอเช้าข้าวผัดจักรพรรดิก็ขายออกทันที บรรยากาศทั้งครัวด้านหลังจึงอึดอัดอยู่บ้าง ความจริงแล้วไม่ใช่เพราะทุกคนเกลียดซ่งจื่อเซวียน หลักๆ ก็คือเจิ้งฮุยและหลี่เทาเป็นผู้นำของครัวด้านหลัง ความรู้สึกของพวกเขาจึงส่งผลกับบรรยากาศไปโดยปริยาย
จนกระทั่งช่วงเที่ยง บรรยากาศน่าอึดอัดถึงได้ค่อยๆ จางหายไปตามความยุ่งวุ่นวาย เสียงทำอาหารในครัวด้านหลังก็เติมเต็มความเงียบก่อนหน้านี้แล้ว
เจิ้งฮุยจุดบุหรี่มวนหนึ่ง มองซ่งจื่อเซวียนที่นั่งอยู่ พูดเสียงเย็น “ฉันไม่เชื่อว่าไอ้เด็กนั่นจะเชิดหน้าชูตาได้ตลอดหรอก สองวันมานี้นับว่าแปลกมาก!”
“ใช่เลยครับพี่เจิ้ง พอพี่ว่าแบบนี้ก็แปลกๆ ข้าวผัดที่หนึ่งเก้าร้อยหยวนยังมีคนสั่ง…พวกเขาคงไม่ได้น้ำเข้าสมองใช่ไหมครับ” หลี่เทาที่อยู่ข้างๆ พูด
“ก็อาจจะเป็นไปได้ พวกคนรวยว่างกันจะตาย จะกุ้งมังกรหรือหอยเป่าฮื้อคงกินจนเอียนแล้ว ถึงได้สั่งข้าวผัดราคาสูงๆ มาลองชิม” เจิ้งฮุยพูดยักไหล่พลางหัวเราะเยาะ “แต่นายเชื่อไหม คนพวกนั้นไม่มีทางสั่งเป็นรอบที่สองแน่”
“นั่นแน่อยู่แล้วครับ ต่อให้มีเงินคงไม่ผลาญเงินเล่นหรอกมั้ง ข้าวผัดนั่นไม่มีอะไรเลยนอกจากข้าวสวยกับไข่ไก่ ขนาดพี่ยังว่ามันแปลก คงไม่ใช่ว่าเถ้าแก่ของพวกเราบ้าหรอกนะ นึกไม่ถึงเลยว่าจะเอาอาหารแบบนี้มาเป็นซิกเนเชอร์”
เจิ้งฮุยแค่นหัวเราะ “ใครจะรู้ล่ะ ฉันสงสัยอยู่ว่าเถ้าแก่ของพวกเราอาจจะเป็นมือใหม่ ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำธุรกิจอาหารมาก่อน ไอ้อาหารซิกเนเชอร์นี่มันยุ่งยากขนาดนั้นเลยเหรอ นี่มันทำลายชื่อเสียงชัดๆ นายรอก่อนเถอะ ไม่นานจะต้องเกิดเรื่องเพราะไอ้ข้าวผัดนี่แน่!”
“ผมก็คิดว่าอย่างนั้นครับ แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ…ไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องเลวร้ายก็ได้ เหอะๆ!” หลี่เทาหัวเราะ
“ฮ่าๆ นั่นแน่นอนอยู่แล้ว ถึงตอนนั้น…เขาก็ต้องมาขอร้องฉัน!” เจิ้งฮุยเชิดหน้าขึ้นน้อยๆ ในแววตามีความมั่นใจวาดผ่าน
เห็นว่าเที่ยงกว่าแล้ว ครัวด้านหลังทำงานกันอย่างกระตือรือร้น มีเพียงซ่งจื่อเซวียนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ใช่ว่าเขาสงบนิ่งจริงๆ เพียงแต่ไม่มีใครสั่งข้าวผัดจักรพรรดิต่างหาก เขาถึงทำได้แค่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างไม่มีทางเลือก…
หลี่เทาทำอาหารในมือเสร็จ หยิบผ้าขนหนูขึ้นเช็ดหน้า พูดว่า “เสี่ยวซ่ง วันนี้ไม่เลวเลยนะ เปิดประเดิมได้ตั้งแต่เช้าตรู่ แต่…หลังจากนั้นเหมือนว่าจะไม่มีวี่แววอะไรเลย”
“ฮ่าๆ นั่นสิ นี่เรียกว่าขึ้นอย่างหงส์ลงอย่างหมาหรือเปล่านะ” เชฟคนหนึ่งพูดสมทบ
พูดจบ คนไม่น้อยก็พากันหัวเราะออกมา ถึงอย่างไรครัวด้านหลังก็เป็นของเจิ้งฮุย ทุกคนก็ต้องว่าตามหลี่เทาที่เป็นคนสนิทอยู่แล้ว
ซ่งจื่อเซวียนหันหน้าไปชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง “นายยุ่งมากแต่เช้าใช่ไหมล่ะ ทำไปเยอะขนาดนั้นถึงเก้าร้อยหยวนหรือยังล่ะ”
“นาย…” หลี่เทาขุ่นเคือง เพราะที่ซ่งจื่อเซวียนพูดก็ถูกต้อง เขายุ่งมาครึ่งวัน นับๆ ดูแล้วก็ทำไปสิบกว่าอย่างเพิ่งจะได้หกร้อยเจ็ดร้อยหยวนเท่านั้น เทียบกับรายรับของอาหารที่ซ่งจื่อเซวียนเสิร์ฟออกไปหนึ่งจานไม่ได้เลย อีกทั้งเทียบต้นทุนกัน ข้าวผัดที่ซ่งจื่อเซวียนทำยังถูกกว่ามาก
มีหลายคนแอบยิ้มกับคำพูดนี้ของซ่งจื่อเซวียน ถึงอย่างไรในใจของพวกเขาก็อาจจะไม่ได้คล้อยตามเจิ้งฮุยกับหลี่เทาไปเสียหมด เพียงแค่ยอมจำนนต่ออำนาจเพื่อความอยู่รอดเท่านั้น…
ความจริงแล้วเวลาปกติ เจิ้งฮุยมีอำนาจเด็ดขาด แต่หลี่เทาหยิบยืมอำนาจนี้มารังแกคนอื่นอยู่ไม่น้อย จะเรื่องทำตัวเป็นโจรลักเล็กขโมยหรือยืมเงินไม่คืนก็ทำอยู่บ่อยครั้ง ทุกคนรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว
ดังนั้นคำพูดนี้ของซ่งจื่อเซวียนทำให้หลี่เทาหายใจติดขัดทันที และช่วยระบายความโกรธของพวกเขาด้วย
แต่ตอนนี้เอง เจิ้งฮุยโยกลำคอแล้วพูดว่า “เอาราคามาวัดความสำเร็จถือเป็นข้อห้ามของวงการอาหาร จำนวนของอาหารราคาสูงที่เสิร์ฟออกไปจะเทียบกับอาหารธรรมดาทั่วไปได้ยังไง ไม่มีร้านอาหารไหนเอาตัวรอดด้วยการพึ่งพาอาหารราคาสูงหรอกนะ นี่เป็นความรู้พื้นฐานที่รู้กันทั่วไป”
ขณะที่พูด เจิ้งฮุยพลางจ้องมองเชฟคนอื่นๆ ไปด้วย ชัดเจนว่าขณะที่ช่วยหลี่เทาพูดก็แสดงให้เห็นถึงตำแหน่งของตนไปด้วย
ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ ไม่ได้สนใจ
เจิ้งฮุยขมวดคิ้ว “อาหารราคาสูงในภัตตาคารไหนๆ ก็เป็นมุกตลกกันทั้งนั้นแหละ ต่อให้ลูกค้าจะสั่งอาหารอย่างกุ้งมังกรหรือตะพาบก็ต้องสั่งอย่างอื่นควบคู่ไปด้วย ยิ่งไปกว่านั้นก็เป็นแค่ข้าวผัดจานหนึ่งเท่านั้นเองไม่ใช่เหรอ ไม่เห็นจะมีลูกค้าโต๊ะไหนสั่งข้าวผัดไข่เลยนี่”
หลี่เทาอดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เป็นบ้าไปแล้วเหรอ ขายได้สองที่ก็โชคดีไม่หยอกแล้ว แถมยังสั่งแค่โต๊ะเดียวเองไม่ใช่เหรอ คนโต๊ะนี้ต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ!”
เขาพูดจบ ผู้คนก็หัวเราะออกมาอีกครั้ง ส่วนจะหัวเราะจริงหรือฝืนหัวเราะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรู้
“ข้าวผัดจักรพรรดิสามที่ เชฟซ่ง รบกวนเร่งมือหน่อยนะ!”
ขณะที่กำลังหัวเราะกัน เสียงพูดจากปากหลัวลี่ลี่ก็ดังเข้ามาในครัวด้านหลัง สายตาของทุกคนที่มองไปตื่นตะลึงกันหมด
ต้องพูดว่าสั่งอาหารสามอย่าง พวกเขาคงไม่ตกใจแน่นอน ต่อให้เป็นสามสิบอย่างก็เข้าใจได้ แต่ข้ามผัดสามที่…อีกทั้งยังเป็นข้าวผัดจักรพรรดิราคาแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวนสามที่ โต๊ะนี้บ้าไปแล้วมั้ง
ครั้งนี้เจิ้งฮุยปิดปากโดยไม่รู้ตัว ในใจคิดว่าตนเองปากอัปมงคลเกินไปแล้วมั้ง สองครั้งก่อนพูดว่าข้าวผัดซ่งจื่อเซวียนจะขายไม่ออก ครั้งนี้ก็พูดว่าคงไม่มีใครสั่งข้าวผัดสักโต๊ะ กลับตรงข้ามทั้งหมด…
แต่เขาก็ยังคงไม่เชื่อ เดินไปดูที่เครื่องสั่งอาหาร พูดว่า “เสี่ยวหลัว ล้อเล่นอะไรเนี่ย ตรงนี้ไม่มีออร์เดอร์สักหน่อย”
“โธ่ พวกคุณรีบก็รีบหน่อยสิคะ เครื่องสั่งอาหารมีปัญหา เคาน์เตอร์ต้อนรับทางนั้นก็ทำอะไรไม่ได้เลย ผู้จัดการบอกว่าเสิร์ฟอาหารก่อนค่อยว่ากัน”
พูดจบ หลัวลี่ลี่ก็มองไปที่ซ่งจื่อเซวียน “รบกวนด้วยนะ เชฟซ่ง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าด้วยยิ้มบางๆ เดินไปที่เคาน์เตอร์เตาท่ามกลางสายตาของทุกคนที่กำลังจับจ้อง
ในโถงด้านหน้า โจวเผิงเท้าคางมองหนึ่งในบรรดาโต๊ะเหล่านั้นด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ เขาคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจว่าทำไมสามคนนี้ถึงได้สั่งข้าวผัดกันคนละจาน…
“ผู้จัดการคะ ฉันไปแจ้งเรียบร้อยแล้ว เชฟซ่งเริ่มทำแล้วค่ะ” หลัวลี่ลี่เดินกลับไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับพลางพูด
โจวเผิงพยักหน้าเหมือนหุ่นยนต์ ไม่ได้เปิดปากพูด
“ผู้จัดการโจว…คุณได้ยินที่ฉันพูดไหมคะ” หลัวลี่ลี่พูดเพิ่มเสียงให้ดังขึ้นอีกรอบ
“ได้ยินแล้ว” โจวเผิงเดาะลิ้น พูดว่า “ลี่ลี่ เธอว่า…เป็นเพราะสมองของพวกเขามีปัญหาหรือว่าทัศนคติการบริโภคของเขามีปัญหากันแน่นะ”
หลัวลี่ลี่ได้ยินดังนั้นก็มองไปที่โต๊ะสามคนนั้น ก่อนถามว่า “ผู้จัดการหมายถึงคุณผู้หญิงสามคนนั้นที่สั่งข้าวผัดเหรอคะ”
“ใช่สิ! สั่งข้าวผัดสามจานไม่ได้แปลกอะไรหรอก แต่ไม่ควรจะมาสั่งที่ต้าสือไต้หรือเปล่า ไปกินข้าวผัดสามที่ที่ร้านอาหารเล็กๆ หรือร้านราเม็งเป็นเรื่องปกติมากๆ แต่มาถึงร้านของพวกเราเพื่อสั่งข้าวผัดราคาเก้าร้อยหยวนสามที่…นี่คงจะไม่กลายเป็นวิธีอวดร่ำอวดรวยในอนาคตหรอกใช่ไหม”
หลัวลี่ลี่ป้องปากหัวเราะ “ใครจะรู้ล่ะคะ จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นในวงการอาหารก็เป็นไปได้ทั้งนั้น อาหารรสเลิศสักอย่างจะโด่งดังขึ้นมาในชั่วข้ามคืนยังได้ วันแรกยังไม่ได้สร้างชื่อ วันที่สองก็โด่งดังไปทั้งตรอกซอกซอยแล้ว”
โจวเผิงเหลือบมองเธอแวบหนึ่ง “ทำไมเธอประเมินวงการอาหารได้เชี่ยวชาญจังเลย คราวก่อนก็เหมือนกัน เธอรู้เรื่องพวกนี้เยอะเหรอ”
“คะ? ฉันเนี่ยนะ ฉันรู้เรื่องที่ไหนกัน ก็พูดไปเรื่อย แต่…ฉันคิดว่าข้าวผัดของเชฟซ่งจะต้องไม่ธรรมดาแน่ เหอะๆ ถ้ามีโอกาสฉันก็จะลองชิมดูเหมือนกัน” หลัวลี่ลี่พูดพลางเผยแววตาวาดหวังเล็กน้อยออกมา
“ไม่มีแววเอาเสียเลย ก็แค่ข้าวผัดเอง…”
ไม่นานนัก ข้าวผัดสามที่ก็มาเสิร์ฟที่โต๊ะ เด็กสาวสามคนนี้ก็เหมือนกับเด็กสาวที่สั่งข้าวผัดตอนข้าวตรู่ แรกเริ่มยังสุภาพเรียบร้อยมาก แต่พอกินไปได้หนึ่งคำก็เริ่มกินไม่หยุด เสียกิริยาท่วงท่าการกินอย่างเทพธิดาไปชั่วขณะ
โจวเผิงงุนงง ทำงานด้านอาหารมาตั้งหลายปีขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่พบเจอกับสถานการณ์ที่อธิบายไม่ได้อย่างสิ้นเชิงแบบนี้…
และเรื่องถัดมา ก็ทำให้เขายิ่งอธิบายไม่ได้ไปกันใหญ่
ตั้งแต่เที่ยงเป็นต้นมาจนถึงตอนบ่าย คนที่สั่งข้าวผัดแทบจะมาไม่ขาดสาย ถึงแม้ว่ามีทั้งชายและหญิง แต่มากสุดก็อายุยี่สิบต้นๆ เป็นคนอายุไม่มากทั้งสิ้น
จนกระทั่งหนึ่งทุ่มสิบห้านาที ข้าวผัดจักรพรรดิก็เสิร์ฟไปทั้งหมดยี่สิบที่เต็มๆ จำนวนนี้แม้แต่ซ่งจื่อเซวียนเองก็คิดไม่ถึงเช่นกัน ต้องรู้ว่านี่เป็นขีดจำกัดของจำนวนที่เขากำหนดเอาไว้แล้ว ตอนแรกเขาตกลงกับหลินเทียนหนานไว้แล้วว่ามากสุดยี่สิบที่ต่อวัน ตีให้ตายเขาก็ไม่มีทางเชื่อว่าวันที่สองจะเป็นจริงขึ้นมาแล้ว…
และในครัวด้านหลังต้าสือไต้ก็อึดอัดจนถึงขีดสุด ถึงแม้ว่าจะยังทำงานเสิร์ฟอาหารไปด้านหน้าอยู่ แต่เจิ้งฮุยและหลี่เทาไม่พูดไม่จามาตั้งแต่บ่าย เหตุผลง่ายมาก วันที่ตบหน้าพวกเขาขนาดนี้ จะมีหน้าไปพูดคุยที่ไหนได้อีก
ด้านซ่งจื่อเซวียนก็ยังคงเหมือนก่อนหน้า มีออร์เดอร์มาก็ไปทำ ตอนที่ไม่มีก็นั่งอยู่ในที่ของตัวเองนิ่งๆ หยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมาเล่นเกมงูกินหางสองเกมเป็นครั้งคราว แน่นอนว่าโทรศัพท์เขามีเกมนี้แค่เกมเดียว…
จนกระทั่งทำข้าวผัดที่สุดท้ายเสร็จ เขาก็ถอดชุดเชฟเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าของตัวเอง ตามที่ตกลงกันไว้ตอนนี้เขาเลิกงานแล้ว
แน่นอนว่าตอนที่ใกล้จะเลิกงานเขาก็ไม่ลืมที่จะส่งข้อความไปหาถังหย่าฉี ‘ถังหย่าฉี ขอบคุณเธอนะ งานวันนี้คงจะเป็นเพื่อนเธอสนับสนุนทั้งหมดเลยสินะ’
ไม่นานนัก ถังหย่าฉีก็ตอบกลับ ‘ฮิๆ วันนี้ยุ่งแย่เลยใช่ไหม แต่ขอบคุณแค่ปากไม่มีความจริงใจเอาซะเลย ว่างๆ ต้องเลี้ยงเหล้าฉันนะ!’
‘ได้ ไม่มีปัญหา’ ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว สถานการณ์เช่นวันนี้แทบจะพูดได้เลยว่าเป็นก้าวแรกที่ทำให้เขาจับเงินเดือนแปดหมื่นหยวนได้มั่นมากขึ้น เพียงแค่มีคนสั่งข้าวผัดจักรพรรดิทุกวัน เชื่อว่าหลินเทียนหนานก็จะพอใจกับผลงานของเขา
และก้าวแรกที่สมบูรณ์แบบนี้ เป็นเพราะความช่วยเหลือจากถังหย่าฉีจริงๆ ซ่งจื่อเซวียนรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว
ตอนนี้โถงด้านหน้ายังคงยุ่งอยู่เช่นเคย แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับเมื่อวานก็คือมีลูกค้าหลายโต๊ะที่อาหารเรียบง่ายเป็นพิเศษ มีเพียงข้าวผัดหนึ่งที่หรือสองสามที่เท่านั้น
พนักงานก็ยุ่งกันขาขวิดเช่นกัน เห็นลูกค้าใหม่เข้ามา หลัวลี่ลี่ก็ปรี่ออกไปรับออร์เดอร์ลูกค้าด้วยตัวเอง
ลูกค้าท่านหนึ่งดูแล้วอายุประมาณห้าสิบกว่าปีดูเมนูอาหาร เขาสวมชุดสูท สวมแว่นกรอบสีทอง ดูแล้วสุภาพมาก ท่วงท่าที่ดูเมนูก็ตั้งใจมาก
“ข้าวผัดจักรพรรดิ อาหารรสเลิศที่หายสาบสูญไปเมื่อหลายปีก่อนปรากฏออกมาในยุทธภพอาหารรสเลิศอีกครั้งเหรอ เหอะๆ พวกคุณแนะนำอาหารนี่น่าสนใจมากนะ”
หลัวลี่ลี่พยักหน้า “ใช่ค่ะ คุณดูสิคะ ลูกค้าหลายท่านก็สั่งข้าวผัดนี้กันหมด”
ชายคนนั้นหันมองรอบๆ มีคนไม่น้อยติดอยู่กับการกินข้าวผัดจานหนึ่งจริงๆ เขาพูดว่า “เหอะๆ น่าสนใจ ข้าวผัดแปดร้อยเก้าสิบเก้าหยวนยังขายได้ สมแล้วที่เป็นเมนูซิกเนเชอร์นะ ถ้าอย่างนั้น…ฉันจะลองชิมดูด้วยดีไหมนะ”
“ดีสิคะ คุณลองชิมดูเถอะค่ะ นี่เป็นอาหารที่ฮิตที่สุดของพวกเราในตอนนี้เลยนะคะ!” หลัวลี่ลี่พูดประดับรอยยิ้มบางๆ เห็นได้ชัดว่ามีมารยาทเหมาะสม
สุดท้ายชายคนนั้นก็สั่งข้าวผัดจักรพรรดิ ผัดผักและซุปอย่างละที่ เนื่องจากเครื่องสั่งอาหารมีปัญหา ประกอบกับโถงด้านหน้าก็ยุ่งมาก โจวเผิงจึงทำได้เพียงถือออร์เดอร์เดินเข้าไปในครัวด้านหลังอีกครั้ง
“เชฟซ่ง ข้าวผัดจักรพรรดิหนึ่งที่ ยังมีผักกวางตุ้งลวกกับซุปเสฉวน[1]อย่างละที่ด้วยนะหัวหน้าเชฟ”
โจวเผิงพูดจบก็ชะงักไป เพราะซ่งจื่อเซวียนตอนนี้เปลี่ยนเสื้อผ้า ท่าทางเหมือนเลิกงานแล้วอย่างไรอย่างนั้น
“ซ่งจื่อเซวียน นี่มัน…หมายความว่ายังไง”
“ขอโทษด้วยนะครับผู้จัดการโจว ผมเลิกงานแล้ว”
พูดจบ ทั้งครัวด้านหลังก็ตะลึงค้างกันหมด คนคนนี้เจ๋งเกินไปหน่อยแล้วมั้ง หัวหน้าเชฟยังไม่ประกาศให้เลิกงาน ผู้จัดการก็ไม่ได้บอกให้เลิกงานเช่นกัน อีกทั้งจริงๆ แล้วก็ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานเลยด้วย จะเลิกงานเลยได้ยังไง…
โจวเผิงชะงักค้าง ตอนนี้กำลังยุ่งสุดๆ นายจะเลิกงานได้ที่ไหนกัน
…………………………………………………
[1] ซุปเสฉวน (醋椒汤) เป็นเมนูอาหารประจำภัตตาคารจีน มีรสเปรี้ยวจากน้ำส้มสายชูและรสเผ็ดร้อนจากพริกเสฉวน