เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 35 ใครหนีคนนั้นเป็นไอ้อ่อน
ตอนที่ 35 ใครหนีคนนั้นเป็นไอ้อ่อน
กำลังถึงช่วงพีคของมื้อเย็น ซ่งจื่อเซวียนก็มาใช้ไม้นี้อีก แน่นอนว่าโจวเผิงจะต้องร้อนรนอยู่แล้ว ตะคอกว่า “เลิกงานแล้วอะไร ใครให้นายเลิกงาน นายเป็นแค่เชฟ มีสิทธิ์อะไรมาตัดสินใจว่าจะเลิกงานเอง ที่นี่คำพูดของฉันถือเป็นคำขาด!”
ขณะที่เผชิญหน้ากับเสียงตะคอกของโจวเผิงอย่างกะทันหัน ทุกคนก็ผงะกันหมด ต้องรู้ว่าโจวเผิงใส่ชุดสูทมาตรฐาน อีกทั้งยังมาพร้อมกับท่าทางอ่อนโยนเล็กน้อยมาตลอด แต่ไหนแต่ไรมาทุกคนยังไม่เคยเห็นเขาโกรธเกรี้ยวแบบนี้
“ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายให้คุณฟังครับ ผมเลิกงานแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางหันหน้าเดินไปข้างนอก
ความจริงแล้วหากท่าทีของโจวเผิงดีสักหน่อย บางทีซ่งจื่อเซวียนคงจะอธิบายสักสองสามประโยคอย่างใจเย็น แต่เจอเข้ากับคำพูดสุดท้ายของโจวเผิง เขาก็แอบไม่พอใจอย่างมาก
“นาย…ถ้านายกล้าก็ลองเดินต่อไปดูสิ ฉันจะทำให้หลังจากนี้นายไม่ต้องมาทำงานอีก!”
เห็นได้ชัดว่าคำขู่ของโจวเผิงไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ซ่งจื่อเซวียนไม่แม้แต่จะสนใจก็เดินปรี่ออกไปเลย
เจิ้งฮุยใกล้ๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ฮ่าๆ ดูท่าแล้วไม่ใช่แค่ผมที่ควบคุมเขาไม่ได้ แม้แต่ผู้จัดการอย่างคุณก็ควบคุมคนเขาไม่ได้เลย สมแล้วที่ขายเมนูซิกเนเชอร์ น่าหงุดหงิดจริงๆ!”
สิ่งที่เจิ้งฮุยจะสื่อชัดเจนมาก นั่นก็คือต้องการกระตุ้นโจวเผิง ในเมื่อหัวหน้าเชฟอย่างเขาทำอะไรกับซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ ก็ส่งให้ผู้จัดการแล้วกัน
“นายหุบปากไปเหล่าเจิ้ง พูดอะไรแทงใจ ถ้าวันนี้ฉันจัดการเขาไม่ได้ ฉันก็เสียทีที่ทำงานเป็นผู้จัดการแล้ว!”
พูดพลาง โจวเผิงก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟไล่ตามไป
ขณะที่ซ่งจื่อเซวียนเดินถึงโถงใหญ่แล้ว โจวเผิงก็ตะโกนเรียก “ซ่งจื่อเซวียน นายถูกไล่ออกแล้ว!”
เสียงตะโกนนี้ทำให้พนักงานในโถงด้านหน้าหันมามองกันหมด กระทั่งลูกค้าบางคนก็หันมามองทางนี้เช่นกัน โจวเผิงก็ไม่สนใจ ถ้าวันนี้หน้าผู้จัดการอย่างเขายังรักษาไว้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำงานมันแล้ว
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินดังนั้นก็หยุดเท้า หันหลังไปมองโจวเผิง “ผู้จัดการโจว ผมไม่ได้โม้นะครับ คุณไล่ผมออกไม่ได้หรอก!”
“นาย…ได้ งั้นเรามาลองดูกัน”
ขณะที่ทั้งสองคนคุยกัน หลัวลี่ลี่ก็วิ่งมา “นี่เกิดอะไรกันขึ้นคะ เชฟซ่ง ทำไมนายถึง…”
“ฉันเลิกงานแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“เลิกงาน?” หลัวลี่ลี่ชะงัก ถึงอย่างไรนี่ก็ยังไม่ถึงเวลาเลิกงาน “แต่ตอนนี้…”
“ข้าวผัดจักพรรดิจะเสิร์ฟได้มากสุดยี่สิบที่ต่อวันเท่านั้น นี่คือข้อตกลงของฉันกับต้าสือไต้” ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้พูดถึงหลินเทียนหนานตรงๆ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากจะหาเรื่องให้อีกฝ่ายเดือดร้อน
“เอ่อ…ข้อตกลงอะไรกัน แต่…” หลัวลี่ลี่มองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธของโจวเผิง แล้วมองไปทางซ่งจื่อเซวียนอีกรอบ “เชฟซ่ง คือโถงใหญ่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ตอนนี้มีลูกค้าสั่งมา จะไปอธิบายยังไงล่ะ”
หลัวลี่ลี่พูดพลางชี้ไปที่ชายอายุห้าสิบกว่าที่สั่งข้าวผัดเมื่อครู่ ซ่งจื่อเซวียนมองตามนิ้วของเธอที่ชี้ไปทางนั้น พยักหน้า “โอเค ฉันไปอธิบายเอง”
พูดจบเขาก็เดินไป และหลัวลี่ลี่ก็เดินตามหลังเขาไปติดๆ
เดินไปถึงโต๊ะนั้น ซ่งจื่อเซวียนค้อมตัวไปด้านหน้า แม้จะค้อมไม่ต่ำนัก แต่ก็ถือว่านอบน้อมแล้ว
“สวัสดีครับคุณผู้ชาย ผมเป็นเชฟที่รับผิดชอบข้าวผัดจักรพรรดิครับ ขอเรียนว่าข้าวผัดจักรพรรดิของเราขายได้แค่วันละยี่สิบที่เท่านั้น ดังนั้น…ต้องขออภัยจริงๆ ครับ”
ชายคนนั้นได้ยินก็มองซ่งจื่อเซวียน “ขายแค่ยี่สิบที่เหรอ เหอะๆ คุณหมายความว่ายี่สิบที่นี้ขายหมดแล้วเหรอ”
“เป็นอย่างนั้นครับ” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
ชายคนนั้นครุ่นคิดก่อนยิ้มน้อยๆ “เหอะๆ อย่างนั้นก็โชคร้ายจริงๆ ดูแล้วคงทำได้แค่มากินวันอื่นสินะ”
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับ” ซ่งจื่อเซวียนค้อมตัวลงอย่างนอบน้อมอีกครั้ง หันหลังจากไปทันที
หลัวลี่ลี่รีบพูด “ขอโทษคุณผู้ชายด้วยนะคะ นี่เป็นเมนูซิกเนเชอร์ของทางร้านเราจึงมีจำนวนจำกัด ก่อนหน้านี้ไม่ได้แจ้งให้คุณทราบแน่ชัด ต้องขอโทษคุณด้วยจริงๆ ค่ะ”
ชายคนนั้นยิ้ม “คุณคือ…”
“อ้อ ฉันเป็นพนักงานที่แคชเชียร์ค่ะ”
“ฮ่าๆ ไม่เลวเลยจริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคุณสักหน่อย คุณก็แค่รับหน้าที่สั่งอาหารให้ผมเพราะทุกคนยุ่งมากเท่านั้นเอง ตอนนี้ยังรู้จักมาขอโทษขอโพยผมอีก แสดงให้เห็นว่าคุณมีความรับผิดชอบมากนะ สาวน้อย มีอนาคตนะเนี่ย”
ได้ยินดังนี้ หลัวลี่ลี่ก็ยิ้มอย่างเขินอาย “คุณผู้ชายชมเกินไปแล้วค่ะ ไม่อย่างนั้น…ให้ฉันช่วยเปลี่ยนอาหารให้คุณดีไหมคะ”
“ไม่รบกวนหรอก ผู้จัดการของพวกคุณอยู่ไหม”
“เอ๊ะ ค่ะ ฉันจะไปเรียกให้นะคะ”
ไม่นานนัก โจวเผิงก็เดินมา พูดว่า “สวัสดีครับ ผมเป็นผู้จัดการภัตตาคาร วันนี้ทำให้คุณทานอาหารไม่สะดวกแล้ว กระผมต้องขออภัยอย่างสุดซึ้งครับ”
ถึงอย่างไรโจวเผิงก็ทำงานเป็นผู้จัดการร้านอาหารมาหลายปี พูดจาสุภาพเหมาะสม ประสบการณ์เต็มเปี่ยม
“เหอะๆ พวกคุณขอโทษไปแล้วล่ะ ผมอยากจะถามพวกคุณดูหน่อยว่าทำไมภัตตาคารของพวกคุณถึงตั้งข้าวผัดจานนี้ให้เป็นเมนูซิกเนเชอร์ล่ะ”
เจอเข้ากับคำถามนี้ สิ่งที่โจวเผิงทำเป็นอย่างแรกคือพิจารณาชายตรงหน้านี้ใหม่อีกรอบ สูทสีเทาเข้มเรียบร้อยมาก นอกจากกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดแล้วก็ติดครบทุกเม็ด แว่นกรอบสีทองดูแล้วราคาก็ไม่ธรรมดา โดยเฉพาะเพชรสองสามเม็ดที่ติดอยู่บนกรอบแว่นนั้นสะท้อนแสงแวววาว เขาก็รับรู้ได้ทันทีว่าภูมิหลังของอีกฝ่ายไม่ใช่เล็กๆ แน่ อีกทั้งคำถามนี้ยังกำหนดเป้าอย่างชัดเจนมาก ดีไม่ดี…อาจจะเป็นชนชั้นผู้นำในวงการเดียวกัน
“อ้อ คืออย่างนี้ครับ ภัตตาคารของเราเพิ่งเปิดร้านได้สองวัน เมนูอาหารเป็นเถ้าแก่ที่กำหนดลงมาครับ ส่วนเมนูซิกเนเชอร์นี่…ผมคนนี้ยังคิดว่าอาจจะไม่เหมาะสมเช่นกัน”
“ฮ่าๆๆ อาจจะไม่เหมาะสมเหรอ จัดจำหน่ายจำกัดอยู่ที่ยี่สิบที่ วันที่สองก็ขายหมดเกลี้ยง ผมว่าเถ้าแก่ของพวกคุณนี่มีระดับมากนะ” ชายคนนั้นพูดพลางหัวเราะ
โจวเผิงหัวเราะแห้ง “บางทีคุณอาจจะพูดถูกครับ แต่ผมก็ไม่เข้าใจ”
“ไม่เข้าใจ? เป็นไปได้ยังไง คุณเป็นผู้จัดการที่นี่นะ” ชายคนนั้นพูด
“พูดแล้วก็ละอายใจ พูดแบบไม่ปิดบังเลยนะครับ ทีมงานของพวกเราไม่มีประสบการณ์ทำงานกับเชฟคนนี้มาก่อนเลย ดังนั้นพอต้องจัดการก็ค่อนข้างลำบาก คุณดูสิครับ เมื่อครู่ผมยังไม่ทันตอบรับเขาก็เลิกงานแล้ว”
โจวเผิงจงใจระบายความทุกข์ใจ ถึงอย่างไรหากอีกฝ่ายเป็นผู้ดีอะไรขึ้นมาจริงๆ ตัวเองอาจจะมีโอกาสผูกมิตรได้
“อ๋อ อย่างนี้นี่เอง ก็เห็นไม่บ่อยจริงๆ นั่นแหละ เชฟคนหนึ่งไม่ฟังคำสั่งจากผู้จัดการ เรื่องนี้คุณต้องระวังนะ”
“ที่คุณผู้ชายพูดมาก็ถูกครับ ผมก็คิดว่าจะรายงานเรื่องนี้ให้เถ้าแก่สักหน่อยด้วย”
ชายคนนั้นพยักหน้า “แต่…คุณคิดว่าเป็นไปได้ไหมที่เชฟคนนั้นจะมีญาติหรือเพื่อนสนิทคอยสนับสนุนอยู่ ถึงยังไงพวกคุณก็เพิ่งจะเปิดกิจการได้สองวัน ข้าวผัดราคาเก้าร้อยนี่ก็ขายได้ตั้งยี่สิบที่ คุณไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ”
คำพูดนี้ทำให้โจวเผิงเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน พูดขึ้นว่า “จริงด้วย เอ่อ…ผมคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ผมคิดว่าจะตัดความเป็นไปได้นี้ออกไปไม่ได้”
“เหอะๆ ผมก็แค่เดาเท่านั้น เอาอย่างนี้แล้วกัน” ชายคนนั้นพูดพลางหยิบนามบัตรออกมาจากกระเป๋าในเสื้อสูท พูดต่อว่า “นี่เป็นนามบัตรของผมเอง พรุ่งนี้ผมจะมาอีก ตอนนี้ก็จองข้าวผัดจักรพรรดิหนึ่งที่แล้วกันนะ”
โจวเผิงพูดอย่างไม่เข้าใจ “หืม คุณเป็นคนสงสัยว่าเขาจะเป็นคนหาหน้าม้ามาช่วยสนับสนุนนะครับ ทำไมถึงอยากชิมล่ะ ไม่กลัวว่าจะผิดหวังกับรสชาติเหรอ”
“ฮ่าๆๆ ผมเป็นคนยอมชิมเอง ถ้าไม่ชิมด้วยตัวเอง ผมก็ไม่มีทางแน่ใจ ไว้เจอกันพรุ่งนี้นะ!”
พูดจบ เขาก็ยืนขึ้นหยิบเสื้อโค้ตของตัวเองเดินออกไปนอกร้าน
โจวเผิงก้มมองนามบัตร ‘หงหยวนเซิน บริษัท เยี่ยนจิงซานเหม่ยเทคโนโลยี จำกัด’
เขาขมวดคิ้ว ชื่อนี้ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรเลย อีกทั้งชื่อบริษัทนี้ก็เหมือนว่าจะไม่เคยได้ยินมาก่อน คิดถึงตรงนี้ เขาก็โยนนามบัตรทิ้งลงบนเคาน์เตอร์
“ลี่ลี่ นี่เป็นนามบัตรของคนเมื่อกี้ จองข้าวผัดจักรพรรดิหนึ่งที่พรุ่งนี้” น้ำเสียงของโจวเผิงราบเรียบมาก นี่ก็เป็นเรื่องปกติ อย่างไรเสียเขาก็มองว่าซ่งจื่อเซวียนขัดหูขัดตาเหมือนกับเจิ้งฮุย ตอนนี้มีคนมาสนใจแล้ว เขาย่อมไม่สบายใจแน่นอน
“เอ๊ะ พูดแบบนี้…เชฟซ่งได้ออร์เดอร์ล่วงหน้าในวันพรุ่งนี้เหรอคะ” หลัวลี่ลี่ถาม
“ตกลงเธออยู่ข้างใครกันแน่ ข้าวผัดจักรพรรดิขายออกนี่เธอดีใจมากใช่ไหม แล้วก็…เหมือนเมื่อกี้จะเป็นเธอที่แนะนำข้าวผัดจักรพรรดิให้กับชายแก่คนนั้นด้วยนี่นา เธอชอบไอ้เด็กนั่นใช่ไหม”
หลัวลี่ลี่ยักไหล่ “ไม่สนใจหรอกค่ะ ร้านอาหารก็ไม่ใช่ของฉัน ฉันจะอยู่ฝั่งไหนมันมีประโยชน์ยังไงเหรอคะ”
พูดจบ หลัวลี่ลี่หยิบนามบัตรขึ้นมาดู เห็นเพียงจู่ๆ ตาสองข้างของเธอก็หรี่ลง เหมือนต้องการดูตัวอักษรบนนามบัตรให้ชัดเจนกว่าเดิมสักหน่อย เธอกวาดตามองโจวเผิงแวบหนึ่งทันทีแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
ออกจากภัตตาคาร ซ่งจื่อเซวียนก็นั่งรถโดยสารประจำทางกลับบ้าน บนรถ เขารู้สึกดีมากจริงๆ เปิดกิจการวันที่สองก็จบงานได้อย่างสมบูรณ์แบบและได้เลิกงานก่อน ช่างเป็นช่วงเริ่มต้นที่เหมือนกับความฝันที่สวยงามเสียจริง
สำหรับซ่งจื่อเซวียน เกรงว่าตอนนี้จะไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้อีกแล้ว เพียงแค่สามารถจับเงินเดือนแปดหมื่นหยวนให้มั่นได้ ชีวิตครอบครัวเขาสามคนจะต้องดีขึ้นมาได้แน่นอน
ถ้าเทียบกับเศรษฐี ด้วยกำลังทรัพย์นี้เกรงว่ายังห่างกันเป็นพันลี้ แต่ในบรรดาประชากรทั่วไป นี่เป็นชีวิตที่เขาไม่แม้แต่จะกล้าคิดโดยสิ้นเชิง แน่นอนว่าเขาก็สามารถทำให้ตาเฒ่าฟางดื่มสุราดีๆ อาหารดีๆ ได้มากกว่าเดิม
ดูแลตาเฒ่าฟางยามแก่ชราก็เป็นเรื่องที่ซ่งจื่อเซวียนตัดสินใจเมื่อเกือบสองสามปีก่อนแล้ว
ลงจากรถ ซ่งจื่อเซวียนเดินเอ้อระเหยไปที่ประตูบ้าน แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็ถูกตบเข้าที่ไหล่ เขาพลันหันหน้ากลับไป เห็นเป็นซางเทียนซั่วถึงได้ผ่อนลมหายใจ
“พี่ชาย นายต้องใช้วิธีนี้โผล่หน้ามาทุกครั้งเลยหรือไง” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างโมโหชุดใหญ่
“ฮ่าๆ อาจารย์ตกใจอีกแล้วเหรอ ทำไมอาจารย์ถึงขี้ขลาดขนาดนี้เนี่ย” ซางเทียนซั่วหัวเราะอย่างกระอักกระอ่วน
“ยังจะพูดว่าฉันขี้ขลาดด้วย? มีที่ไหนโผล่หน้ามาแบบนี้ทุกครั้งเล่า”
“ฮิๆ อาจารย์ งานของผมเป็นยังไงบ้าง” ซางเทียนซั่วถาม
“เอ่อ…ฉัน เหมือนฉันจะลืมน่ะ พรุ่งนี้ฉันจะโทรถามให้นะ”
“ได้เลย ผมจะรอฟัง”
ทั้งสองคนพูดพลางเดินไปทางบ้านของซ่งจื่อเซวียน แต่กลับไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีดวงตาสองสามคู่กำลังจับจ้องที่พวกเขาอยู่ไม่ไกล
“พี่เลี่ยง ใช่เขาไหม”
“ถูก ไอ้เด็กนั่นแหละ คราวก่อนฉันจับตัวเขาไว้ ฉันจำได้”
“แต่พี่เลี่ยง ข้างๆ มีคนอยู่ด้วยนะ”
พี่เลี่ยงสูดลมหายใจ มองอย่างละเอียด “หึ ไม่เป็นไร นั่นไม่ใช่คนที่ใส่เสื้อกันลมตอนนั้น”
“พี่…แน่ใจนะ?” ชัดเจนว่าลูกน้องที่พูดใจไม่สู้อยู่บ้าง
“เพ้อเจ้อ ทำให้ข้ายืนอยู่กลางลมหนาวๆ ไม่กล้าขยับอยู่ตั้งนานขนาดนั้น ฉันจะจำไม่ได้ได้ยังไง วันนี้หนี้แค้นต้องชำระ ไป เข้าไปในซอยดักพวกเขาไว้!”
ในซอยกว้างประมาณสองเมตร พี่เลี่ยงพาลูกน้องสองคนยืนอยู่ด้านหนึ่ง กอดอกเชิดหน้าขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมถอย
และอีกด้าน ซ่งจื่อเซวียนและซางเทียนซั่วก็หยุดฝีเท้า ซ่งจื่อเซวียนพูดขึ้นว่า “พวกนายอีกแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนก็จำพี่เลี่ยงได้ตั้งแต่แวบแรกเหมือนกัน
ซางเทียนซั่วถามว่า “อาจารย์ นี่ใครเหรอ”
“ไม่รู้ คงจะเป็นคนที่หลี่เจียหาวที่หามาให้ดักตีฉันน่ะสิ คราวที่แล้วก็มาดักรอฉันที่นี่แต่ไม่สำเร็จ มีพี่ชายคนหนึ่งช่วยฉันไว้”
“หา? หลี่เจียหาวคือใครอีกล่ะ”
“นายคิดว่าตอนนี้ฉันมีเวลามานั่งอธิบายให้นายฟังสักนิดไหมล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ซ่งจื่อเซวียน เหอะๆ คราวที่แล้วปล่อยให้นายหนีไปได้ วันนี้…นายคงหนีไม่รอดแล้วมั้ง คนเราคงไม่โชคดีบ่อยขนาดนั้นหรอก”
ซางเทียนซั่วแค่นหัวเราะ ถ่มน้ำลายไปที่พื้นทันที แล้วไปยืนข้างหน้าซ่งจื่อเซวียน “ใครมันอยากหนีล่ะวะ วันนี้ใครหนีคนนั้นเป็นไอ้อ่อน อาจารย์ถอยไปหน่อย เดี๋ยวเลอะเลือด”
…………………………………