เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 36 คนที่ไว้ใจได้ในครัวด้านหลัง
ตอนที่ 36 คนที่ไว้ใจได้ในครัวด้านหลัง
ได้ยินซางเทียนซั่วพูดดังนั้น พี่เลี่ยงหัวเราะเยาะ ขมวดคิ้วพูด “เหอะ ให้ตายสิ…ไอ้เด็กเวรที่ไหนวะเนี่ย นายมาจากแก๊งไหน”
ซางเทียนซั่วชี้นิ้วชี้ไปทางพี่เลี่ยง พูดว่า “เรียกใครว่าไอ้เด็กเวรวะ เอ็งนั่นแหละไอ้แก่เวร ถ้าเก่งนักก็เข้ามา จะพูดจาให้เลอะเทอะไปทำไม”
พี่เลี่ยงผงะ เป็นนักเลงมาหลายปีขนาดนี้ ย่อมเคยเจอคนหยาบคายมาบ้าง ก็ยังไม่เคยเจอคนแบบซางเทียนซั่วมาก่อน ทั้งๆ ที่โดนดักตียังแข็งกร้าวได้ขนาดนี้อยู่อีกเหรอ
“พี่เลี่ยง มัน…คงไม่ใช่พวกมีฝีมือเหมือนกันหรอกใช่ไหม” ลูกน้องคนหนึ่งถามเสียงเบา
พี่เลี่ยงขมวดคิ้วเล็กน้อย ชัดเจนว่าหวาดกลัวอยู่บ้างเช่นกัน จะอย่างไรคราวก่อนก็ยืนนิ่งๆ อยู่กลางลมหนาวไม่กล้าขยับอยู่สิบนาที จนตอนนี้ก็ยังหวาดผวาอยู่
“แก…”
เดิมพี่เลี่ยงอยากสืบหาพื้นเพของซางเทียนซั่ว คิดไม่ถึงว่าซางเทียนซั่วไม่แม้แต่จะรอให้เขาเปิดปากพูด กลับเร่งฝีเท้าเข้ามาใกล้ และยกขาถีบเท้าใส่
ลูกถีบนี้เข้ามากลางอกของพี่เลี่ยง เดิมแรงขาของซางเทียนซั่วก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ประกอบกับพี่เลี่ยงยังไม่ทันได้ตั้งรับด้วย จึงถูกถีบจนตัวลอยปลิวไปไกลถึงหนึ่งเมตรกว่า กระแทกกับพื้นอย่างแรง
“อึก…” พี่เลี่ยงหลุดเสียงเจ็บปวดออกมาทันที จับหน้าอก “แม่งเอ๊ย ไอ้เด็กเปรต เอ็งลอบกัดนี่!”
ซางเทียนซั่วเชิดหน้าขึ้นมองเขา “หุบปากไป ไอ้คนไม่มีอนาคต จะลอบกัดไม่ลอบกัดอะไร ถ้าเก่งก็ลุกขึ้นมารับหมัดข้าไปซะ!”
“แม่มันเถอะ ไอ้เด็กเวรมันสมองกลับไปหมดแล้ว จัดการพวกมัน!”
พี่เลี่ยงออกคำสั่ง ลูกน้องสองคนลังเลกันอยู่ครู่หนึ่ง ถึงแม้ว่าซางเทียนซั่วดูแล้วไม่ได้น่ากลัวเท่าชายที่ใส่เสื้อกันลมคนนั้น แต่ก็ลงมือคล่องแคล่วมากพอ ไม่เพียงแค่แรงขาดุดันยังเร็วมากอีกด้วย
แต่พี่ใหญ่ออกคำสั่งแล้ว ลูกน้องก็ไม่กล้าขัด ทั้งสองคนมองตากัน พุ่งไปทางซางเทียนซั่วทันที
ซางเทียนซั่วขมวดคิ้วแน่น ไม่รอไม่ให้อีกฝ่ายพุ่งมา ก้าวไปด้านหน้าอย่างมั่นคง ง้างหมัดก่อนจะซัดเข้าไปกลางจมูกของลูกน้องคนหนึ่ง ได้ยินเพียงเสียงร้อง ‘อ๊าก’ จากลูกน้องคนนั้น เขาย่อตัวลง ยกมือขึ้นกุมจมูก เลือดกำเดาไหลออกมาตามง่ามนิ้ว…
ส่วนลูกน้องอีกคนเห็นสถานการณ์ก็ย่อมลังเลครู่หนึ่งอยู่แล้ว แต่ในขณะที่ลังเลอยู่ ซางเทียนซั่วก็ฟาดไปที่ปากเขาด้วยหลังมือ
‘เพียะ!’
เสียงนั่นดังมาก!
ลูกน้องคนนั้นรู้สึกแค่หน้ามืดไปชั่วขณะ ในโลกที่มืดมิดไม่รู้ว่ามีดาวสีทองมากน้อยแค่ไหนกะพริบวูบวาบอยู่ตรงหน้า ตามมาด้วยร่างกายที่เริ่มซวนเซ สุดท้ายก็ยืนไม่อยู่ล้มลงกับพื้น
เพียงแค่สามครั้งเท่านั้นก็จัดการสามคนเสียเรียบ พี่เลี่ยงถลึงตาโต ในใจคิดว่า ‘คงไม่น่าจะเหนือมนุษย์ขนาดนั้นมั้ง รอบๆ ไอ้เด็กนี่แต่ละคนมีฝีมือกันหมดเลยเหรอ’
ความจริงแล้วจะพูดว่ามีฝีมือก็ไม่ใช่ เพียงแค่วันๆ ไม่มีอะไรก็ไปหาเรื่องทะเลาะวิวาทอยู่ไม่น้อย ถือว่าได้เรียนรู้จากสิ่งเหล่านี้
ตอนที่จัดการพี่เลี่ยงเป็นการอาศัยชิงลงมือก่อน ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายได้ตั้งตัวก็ออกเท้าไป อีกทั้งยังพุ่งเป้าไปที่หน้าอกด้วย พี่เลี่ยงจะลุกขึ้นมาได้อีกครั้งก็ต้องรออยู่ครู่หนึ่งก่อน ส่วนที่จัดการลูกน้องนั่นก็คืออีกฝ่ายใจไม่สู้แล้ว ตอนนี้ซางเทียนซั่วเพียงแค่ต้องดุดันมากพอ เมื่ออีกฝ่ายลนลานก็จะยิ่งเผยจุดอ่อนออกมาง่าย จึงโดนทุบตีล้มลงกับพื้น
ซางเทียนซั่วมองลูกน้องสองคนนั้น หัวเราะในลำคอ เดินไปทางพี่เลี่ยงทันที “ลุกขึ้นมา!”
“ฮะ ไม่ๆๆ ลุกไม่ขึ้นแล้ว…” พี่เลี่ยงพูดพลางส่ายหน้าอย่างแรง
“ข้าสั่งให้เอ็งลุกขึ้นมา!” ซ่งเทียนซั่วพูดคำราม
ทันทีที่เขาพูดจบ พี่เลี่ยงก็กระโดดขึ้นมาเหมือนสปริง ยืนอยู่ตรงหน้าซางเทียนซั่ว เห็นได้ชัดว่าตกใจกับเสียงของซางเทียนซั่ว
“พะ…พี่ใหญ่ วันนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด…”
“เข้าใจผิด?” ซางเทียนซั่วยกมือขึ้นตบ ตะโกนใส่หน้าพี่เลี่ยง “ทั้งที่นายมาดักตีพวกเราแท้ๆ ยังเป็นการเข้าใจผิดเหรอ”
“ใช่ๆๆ พี่ใหญ่” พี่เลี่ยงพูดพลางใช้ลิ้นดุนบาดแผลในช่องปาก เจ็บจนตากระตุก “ผมไม่ได้ดักตีพี่ เป็นเขา…”
พี่เลี่ยงพูดพลางชี้ไปทางซ่งจื่อเซวียน ซางเทียนซั่วตบด้วยหลังมืออีกครั้ง ตะคอกว่า “เพ้อเจ้อ เขาเป็นอาจารย์ของฉัน ดักตีเขาก็ดักตีฉันด้วย ไอ้แก่เวรแกเป็นบ้าไปแล้ว”
“อ่า…” พี่เลี่ยงรู้สึกว่าตอนถูกตบเมื่อครู่หน้าชาไปครึ่งซีก พลันเจ็บปวดลามเข้าไปถึงขั้วหัวใจ หัวสมองมึนงงไปชั่วขณะ “พี่…อย่าตบเลย ผมผิดไปแล้ว เจ็บมากจริงๆ…”
เห็นพี่เลี่ยงพูดพลางซวนเซ ซางเทียนซั่วจึงพูด “ไม่เจ็บตัวมันจำได้ไม่นานหรอก พูด ว่าใครสั่งให้เอ็งมา”
“ไม่ ไม่มี…” พี่เลี่ยงยึดศักดิ์ศรีสุดท้ายไว้แล้วพูดออกมา
ซางเทียนซั่วง้างมืออีกครั้ง ยังไม่ทันได้เปิดปาก พี่เลี่ยงก็พูดขึ้นว่า “ไม่สิ มีคนส่งมา!”
ซ่งจื่อเซวียนเกือบหลุดหัวเราะออกมา คิดไม่ถึงว่าเจ้าซางเทียนซั่วจะมีวิธีเค้นคำตอบ แต่ก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร ก่อนหน้านี้เขาก็ใช้ทุกวิถีทางหลอกล่อเพื่อที่จะบังคับให้ตนเองแข่งขันด้วย
จนกระทั่งตอนนี้ ซ่งจื่อเซวียนยังจำกลิ่นฉุนจากถุงเท้าของซางเทียนซั่วได้…
จากนั้น พี่เลี่ยงแทบจะบอกทุกอย่างออกมา เล่าเรื่องที่โหวจื่อ ลูกน้องของหลี่เจียหาวมาหาเขา จนถึงหลี่เจียหาวมาหาพี่เจี๋ยด้วยตัวเองจนหมด
ซางเทียนซั่วขมวดคิ้วน้อยๆ หันไปมองซ่งจื่อเซวียน “อาจารย์ พี่เจี๋ยนี่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างในย่านนี้ อาจารย์ไปยั่วยุเขาอีท่าไหนเนี่ย”
“ไม่เกี่ยวกับฉันสักหน่อย เขาก็พูดอยู่เมื่อกี้ว่าหลี่เจียหาวสั่ง” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะจัดการเขายังไงดีล่ะ” ขณะที่ซางเทียนซั่วพูดก็เผยความโหดร้ายออกมาเล็กน้อย
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “เอาเถอะ ปล่อยพวกเขาไป นายยังฆ่าพวกเขาได้ด้วยเหรอ”
“หา? ฆ่าคนเหรอ นั่นไม่ได้หรอก…”
พี่เลี่ยงได้ยินดังนั้นก็รีบพูด “พี่ซ่ง ขอร้องล่ะ เรื่องก่อนหน้านี้ผมผิดไปแล้ว ผมสาบานว่าหลังจากนี้จะไม่มาดักตีพี่อีก!”
เพิ่งพูดจบ ซางเทียนซั่วก็ขมวดคิ้ว ใช้เท้าเตะไปอีกครั้ง แต่คราวนี้เบากว่ามากอย่างเห็นได้ชัด
“แม่มันเถอะ อาจารย์ฉันนายเรียกว่าพี่ซ่งเหรอ เรียกนายท่านรองสิเฟ้ย เร็วเข้า!”
“อ้อใช่ นายท่านรอง นายท่านรอง ขอบคุณนายท่านรองที่ปล่อยพวกเราไปครับ!” พี่เลี่ยงประสานมือคารวะ
ซ่งจื่อเซวียนก็มึนงง นายท่านรองอีกแล้ว ไม่รู้ซางเทียนซั่วคนนี้คิดยังไง ยกระดับความอาวุโสของตัวเองให้สูงขึ้นเสียอย่างนั้น
จากนั้น ซางเทียนซั่วก็ปล่อยพวกพี่เลี่ยงสามคนไป ซ่งจื่อเซวียนก็เล่าเรื่องบุญคุณความแค้นระหว่างเขากับหลี่เจียหาวให้ซางเทียนซั่วฟัง
“เช็ดเข้ หลี่เจียหาวคนนั้นงี่เง่าหรือเปล่า อาจารย์แค่เตือนเขาเรื่องซื้อของปลอม เขากลับโทษอาจารย์งั้นเหรอ” ซางเทียนซั่วพูดอย่างขุ่นเคือง
“แต่ละคนมีความคิดต่างกันอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะยุ่งยากหรือเปล่า เทียนซั่ว นายคิดว่า…ฉันต้องแจ้งตำรวจไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“แจ้งตำรวจอะไร วางใจเถอะอาจารย์ ไม่กี่คนเอง ผมคนเดียวก็จัดการได้!” ซางเทียนซั่วพูดยิ้มๆ
หลังจากนั้นทั้งสองก็คุยกันต่ออีกครู่หนึ่งถึงแยกย้ายกลับบ้าน ซ่งจื่อเซวียนก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาหลินเทียนหนาน
“น้องซ่ง บังเอิญจริงๆ ฉันว่าจะโทรหานายพอดีเลย” หลินเทียนหนานพูดด้วยรอยยิ้ม
“ประธานหลินอยากคุยกับผมมีเรื่องอะไรเหรอครับ”
“ฮ่าๆ ฉันว่าจะแสดงความยินดีกับนายน่ะ ช่วงนี้นายเอาใจใส่กับต้าสือไต้มาก ไม่คิดเลยว่าเปิดกิจการแค่สองวัน นายก็ขายข้าวผัดจักรพรรดิได้ยี่สิบที่แล้ว”
“อาจจะเพราะผมโชคดีมั้งครับ ประธานหลิน คุณไม่ได้คุยเรื่องของผมกับผู้จัดการร้านใช่ไหมครับ เหมือนเขาจะไม่รู้เรื่องข้อตกลงระหว่างเราเลย” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ข้อตกลงที่น้องซ่งหมายถึงคือ…”
“เสิร์ฟข้าวผัดได้แค่ยี่สิบที่ คุณเคยรับปากเรื่องนี้กับผมไปแล้วนะครับ”
“อ้อ ใช่ๆๆ อาจจะเพราะยุ่งเกินไปถึงไม่ได้ดูแลให้ทั่วถึงน่ะ ฉันจะจัดการให้ทางร้านเข้าใจเอง แต่…น้องซ่ง ฉันก็อยากจะรบกวนนายสักเรื่องหน่อย”
ซ่งจื่อเซวียนนิ่งเงียบไปสองสามวินาที พูดว่า “เรื่องที่คุณจะพูดคือไม่ให้ผมบอกคนอื่นว่าคุณเกี่ยวข้องกับร้านนี้ใช่ไหมครับ”
“ฮ่าๆ คนฉลาดนี่เป็นคนฉลาดจริงๆ ถูกต้อง ฉัน หลินเทียนหนานทำธุรกิจจะไม่ทำให้เป็นจุดสนใจ ถ้าไม่สำเร็จแล้วคนในวงการรู้เข้า มันยุ่งยากสำหรับฉันน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า จุดนี้เขาเข้าใจ คนอย่างหลินเทียนหนานที่อยู่ในตำแหน่งนี้ ขยับตัวนิดหน่อยอาจจะกลายเป็นเรื่องครึกโครมในวงการได้ทั้งนั้น หากมีคนรู้ว่าเขาเปิดต้าสือไต้ เช่นนั้นก็จะต้องอยากร่วมมือในด้านต่างๆ กับเขาแน่ และพวกคู่แข่งในวงการก็จะใช้กลอุบายบางอย่าง ดังนั้นหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ไว้ก่อนถึงจะทำให้ต้าสือไต้เติบโตได้เร็วที่สุดอย่างไม่มีอะไรมาขวางได้
“ผมเข้าใจ แต่…ประธานหลินครับ ผมก็มีเรื่องอยากให้คุณช่วยสักหน่อยเหมือนกัน”
“น้องชายเกรงใจไปแล้ว ถ้าทำได้ฉันไม่มีทางปัดทิ้งหรอก”
ซ่งจื่อเซวียนพูดว่า “ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง ในด้านทักษะการทำอาหารมีพรสวรรค์อยู่บ้าง ผมหวังว่าเขาจะมาทำงานที่ต้าสือไต้ได้”
“หืม เหอะๆ เรื่องเล็กแค่นี้เอง นายอยากให้ฉันให้ค่าตอบแทนเขายังไงล่ะ” หลินเทียนหนานถาม ถึงอย่างไรเป็นนักธุรกิจ ความสามารถและกำไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดอยู่แล้ว และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเงินเดือนก็ขึ้นอยู่กับความสามารถ
“เท่าเทียมกับคนอื่นก็พอครับ เชฟเล็กๆ ทั่วไปได้ค่าตอบแทนยังไง เขาก็ได้อย่างนั้น” ซ่งจื่อเซวียนพูด เขารู้อยู่แล้วว่าบ้านของซางเทียนซั่วไม่ได้ขาดเงิน บางทีที่มาทำงานร้านอาหารก็แค่สนใจเท่านั้น ไม่ได้ต้องการเงินเดือนสูงอะไรหรอก
หลินเทียนหนานครุ่นคิด พูดว่า “ได้ ฉันจะให้คนจัดการ พรุ่งนี้เขาไปทำงานได้เลย”
“ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณประธานหลินแล้วครับ”
“น้องซ่ง มีเรื่องหนึ่ง…ฉันคิดว่าเรายังต้องพูดคุยกันสักหน่อย”
“คุณจะพูดเรื่องจำนวนข้าวผัดต่อวันใช่ไหมครับ”
“ถูกต้อง น้องซ่งนี่ฉลาดจริงๆ ฉัน หลินเทียนหนานชอบคุยกับคนฉลาดที่สุดเหมือนกัน การบริหารจัดการในวันที่สองแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ฉันเลือกนั้นถูกแล้ว เพราะงั้นเลยคิดจะโฆษณาข้าวผัดจักรพรรดิในช่องทางต่างๆ สร้างเรื่องอึกทึกครึกโครมในวงการอาหาร นี่เป็นสไตล์การทำธุรกิจของฉันเอง โด่งดังในชั่วข้ามคืนมักจะน่าพึงพอใจกว่าทำไปทีละขั้นตอน”
“ดังนั้นคุณเลยคิดจะให้ผมเสิร์ฟข้าวผัดมากกว่ายี่สิบที่ต่อวันใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ห้าสิบที่!”
“ขอโทษครับ ประธานหลิน ผมกลัวว่าจะตอบรับคุณไม่ได้ นี่เป็นหลักการของผม”
ได้ยินดังนั้น หลินเทียนหนานก็ชะงักไปสองสามวินาที พูดว่า “ฮ่าๆ ฉันคิดไว้แล้ว แต่น้องชาย ฉันหวังว่านายจะเข้าใจว่ากำไรคือสิ่งที่เราต้องการในการทำธุรกิจ ถ้าบางหลักการมีผลกับกำไร…เอาอย่างนี้ ขอแค่การโฆษณาไปถึงเป้า นายเพิ่มจำนวนที่จัดเสิร์ฟ ฉันจะปรับเงินเดือนให้นาย!”
ซ่งจื่อเซวียนรู้ว่าแต้มต่อของหลินเทียนหนานที่ใหญ่ที่สุดคือเงิน แต่จุดนี้กลับเป็นสิ่งที่ชายชรากำชับตนเองเอาไว้ จะเปลี่ยนหลักการไม่ได้เด็ดขาด!
“ประธานหลิน คุณเป็นนักธุรกิจ ยึดผลกำไรเป็นหลักอยู่แล้ว แต่ผมเป็นพ่อครัว หลักการสำคัญกว่ากำไร พวกเราอย่าพูดถึงปัญหานี้อีกเลยนะครับ!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็วางสาย ความจริงแล้วนี่ก็เป็นการพนันสำหรับเขา ถ้าฟางจิ่งจือพูดถูก เช่นนั้นสิ่งที่เขายึดมั่นก็จะเดินไปสู่ความสำเร็จได้ ถ้าหลินเทียนหนานเป็นฝ่ายถูก หมากตานี้ก็ผิดพลาดแน่นอน
บนตาชั่งสองข้างนี้ เขายืนหยัดอยู่ข้างฟางจิ่งจือ
ในห้องหนังสือหรูหรา โคมไฟตั้งโต๊ะกำลังส่องแสงสีเหลืองนวล หลินเทียนหนานที่สวมชุดคลุมอาบน้ำนั่งพิงเก้าอี้อยู่
มือที่ถือโทรศัพท์อยู่ค่อยๆ ตกลง สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น “เจ้าเด็กคนนี้…ดูแล้วเป็นเด็กที่ไม่ค่อยเชื่อฟังเลยจริงๆ”
บ่นพึมพำอยู่สักพัก เขาก็ยกโทรศัพท์ขึ้น “เหล่าซุน ครัวด้านหลังต้าสือไต้…มีคนที่นายไว้ใจได้อยู่บ้างไหม”
………………………………………….