เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 39 นกหวีด
ตอนที่ 39 นกหวีด
ณ ตอนนี้ลูกค้าที่มากินข้าวที่ภัตตาคารเริ่มเยอะแล้ว พนักงานวิ่งไปวิ่งมายุ่งกับงานไม่จบไม่สิ้น หงหยวนเซินเรียกอยู่หลายครั้ง มีพนักงานตอบรับอยู่หลายเสียง แต่กลับไม่ได้ไปเรียกเชฟมา
หงหยวนเซินทอดถอนใจ ลุกขึ้นยืนเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ “สาวน้อย ช่วยอะไรผมสักอย่างจะได้ไหม”
“หืม คุณหงว่ามาได้เลยค่ะ” หลัวลี่ลี่ยุ่งกับการคิดบัญชีพลางพูดตอบ
“ผมอยากลองเจอเชฟของพวกคุณดูสักหน่อย เชฟที่ทำข้าวผัดจักรพรรดิคนนั้นน่ะ”
ได้ยินประโยคนี้ หลัวลี่ลี่ก็เงยหน้าขึ้น เห็นพนักงานคนอื่นกำลังยุ่งกันหมด ทำได้แค่เรียก “ผู้จัดการโจวคะ คุณผู้ชายท่านนี้อยากเจอเชฟซ่งค่ะ”
ทันทีที่โจวเผิงได้ยินก็กลอกตา ต้องพูดเลยว่านี่เป็นเรื่องที่เขาไม่ยินยอมที่จะทำที่สุดแล้ว ต่อให้สั่งให้เขาช่วยอะไรทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น ให้เรียกซ่งจื่อเซวียน…เขาไม่ยินดีจากก้นบึ้งของหัวใจ
แต่หลัวลี่ลี่ก็พูดแล้ว อีกทั้งชัดเจนว่าหงหยวนเซินจะต้องรออยู่ตรงนั้น เขาก็ได้แต่ต้องทำตาม
ไม่นานนัก ซ่งจื่อเซวียนก็เดินออกมาจากครัวด้านหลัง โจวเผิงคร้านจะพาไป ทำแค่ชี้ไปที่โต๊ะหงหยวนเซิน ซ่งจื่อเซวียนก็เดินไปหา
“คุณผู้ชายเรียกหาผมเหรอครับ”
หงหยวนเซินมองซ่งจื่อเซวียน อดเผยท่าทางแปลกใจออกมาไม่ได้ “ข้าวผัดนี่…คุณเป็นคนทำเหรอ”
“ครับ มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่ๆๆ ไม่มีปัญหาอะไร สมบูรณ์แบบมาก คิดไม่ถึงว่าอาหารที่รสชาติเยี่ยมขนาดนี้จะมาจากรสมือของคนหนุ่ม น่าเหลือเชื่อจริงๆ”
“คุณผู้ชายชมเกินไปแล้วครับ คุณทานอาหารอย่างมีความสุขก็ดีแล้ว” ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนก็จำหงหยวนเซินได้แล้ว พูดต่อว่า “อ้อ จริงสิ เมื่อวานเป็นคุณที่ไม่ได้ทานข้าวผัดสินะครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”
“ฮ่าๆๆ ไม่เป็นไร เพื่ออาหารรสเลิศแบบนี้ให้รอวันถัดไปก็คุ้ม!” หงหยวนเซินพยักหน้าเจือรอยยิ้มบาง สายตาแฝงไว้ด้วยความชื่นชมอย่างชัดเจน
“ขอบคุณสำหรับคำรับรองของคุณครับ”
“เชฟซ่ง ผมอยากจะถามคุณสักหน่อย คุณ…รู้ความเป็นมาของข้าวผัดจักรพรรดิไหม”
ได้ยินคำถามนี้ “ซ่งจื่อเซวียนก็สัมผัสได้ทันทีว่าสถานะของอีกฝ่ายอาจจะไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็รู้ประวัติความเป็นมาของข้าวผัดจักรพรรดิ อาศัยเพียงจุดนี้ก็สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่ใช่ลูกค้าที่มาทานข้าวธรรมดาๆ
“พอได้ยินมาบ้างครับ”
“เหอะๆ พอได้ยินมาบ้างเหรอ แต่คำแนะนำอาหารบนเมนูกลับเขียนซะละเอียดมาก เชฟซ่ง ข้าวผัดของคุณเรียนรู้มาจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนคิดเล็กน้อย ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มบางเบา “ขอโทษด้วยครับคุณผู้ชาย เรื่องนี้…”
“อืม…ผมเข้าใจ เป็นผมที่ไม่ระวังคำพูดเอง ไม่ควรถามคำถามนี้” หงหยวนเซินพูดพลางหยิบนามบัตรขึ้นมา ประคองสองมือยื่นให้ซ่งจื่อเซวียน พูดต่อว่า “เชฟซ่ง นี่เป็นนามบัตรของผมเอง ธุรกิจของผมก็เกี่ยวกับอาหารนี่แหละ ถ้ามีเวลาผมอยากจะพูดคุยกับคุณให้ละเอียดสักหน่อย”
อาศัยแค่จุดนี้ ก็อธิบายได้ว่าหงหยวนเซินให้เกียรติซ่งจื่อเซวียนมากกว่าเดิมอย่างชัดเจน ต้องรู้ว่าตอนที่เขาให้นามบัตรโจวเผิงเป็นการยื่นให้ด้วยมือข้างเดียว
ซ่งจื่อเซวียนรับนามบัตรมาดู พยักหน้าแล้วพูดว่า “ครับ คุณหง”
“แหะๆ ผมขอช่องทางติดต่อคุณไว้สักหน่อยได้ไหม” หงหยวนเซินถาม
จากนั้นซ่งจื่อเซวียนก็ให้เบอร์โทรศัพท์ของตัวเองกับหงหยวนเซินไปเช่นกัน ถึงอย่างไรคนเขาให้นามบัตรมาแล้ว การแลกช่องทางติดต่อกันก็คือมารยาทอย่างหนึ่ง
หลังจากซ่งจื่อเซวียนเดินไป หงหยวนเซินก็จัดการกินข้าวผัดตรงหน้าจนเกลี้ยง แต่ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ เขากินช้ามาก เหมือนกับกำลังละเลียดชิมอยู่
กินข้าวผัดเสร็จ หงหยวนเซินก็สวมเสื้อสูทให้เรียบร้อย เดินสาวเท้าออกจากภัตตาคารต้าสือไต้ไป
เห็นแผ่นหลังของหงหยวนเซิน หลัวลี่ลี่อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “สมแล้วที่เป็นคนของซานเหม่ยกรุ๊ป ออร่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
โจวเผิงที่ข้างๆ ได้ยินเข้าจึงถามว่า “ซานเหม่ยกรุ๊ป? มันคืออะไรล่ะนั่น”
พูดจบ เขาก็กวาดสายตามองไปที่นามบัตรใต้เคาน์เตอร์ เป็นนามบัตรใบที่หงหยวนเซินให้ไว้นั่นเอง
“อ้อ คนแก่คนนั้นน่ะเอง เธอรู้จักบริษัทนี้เหรอ”
หลัวลี่ลี่ยิ้ม “ใช่ค่ะ ความจริงแล้วมีคนเยอะแยะที่รู้จักพวกเขา เพียงแต่ไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของบริษัทพวกเขาเท่านั้นเอง”
“หืม ลองพูดให้ฟังหน่อยสิ ฉันไม่รู้ได้ยังไงกัน” โจวเผิงครุ่นคิดพลางพูด
“หึๆ คุณไม่เคยได้ยินเรื่องสมาคมอาหารเลิศรสจุนเค่อเหรอคะ”
ได้ยินประโยคนี้ โจวเผิงก็ชะงักไปชั่วขณะ หรือจะพูดว่าตัวแข็งเป็นหินไปแล้ว…
สมาคมอาหารเลิศรสจุนเค่อ เป็นองค์กรอาหารภาคประชาชนอย่างไม่เป็นทางการที่ใหญ่ที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่ ก่อตั้งเมื่อสามปีที่แล้ว ระหว่างนั้นเพราะเป็นองค์กรผิดกฎหมายจึงถูกเรียกมาลงโทษ ต่อมาคนในองค์กรนั้นก็ก่อตั้งบริษัท เยี่ยนจิงซานเหม่ยดาต้าเทคโลยี จำกัดเป็นบริษัทควบคุมดูแลสมาคม
“จุน…จุนเค่อ?” โจวเผิงรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ไม่อยากจะคิดว่าเขาจะพลาดผู้สูงศักดิ์ที่แท้จริงไปแล้วคนหนึ่ง ต้องรู้ว่าถ้าเขาสามารถสานสัมพันธ์กับสมาคมอาหารเลิศรสจุนเค่อได้ อนาคตจะต้องไร้ขีดจำกัดในวงการอาหารอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นด้วยรัศมีของหงหยวนเซินคนนั้น แค่มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่พนักงานตัวเล็กๆ ในบริษัท…
“ลี่ลี่ เธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง”
หลัวลี่ลี่ที่ถูกถามก็ผงะ “เอ่อ…ฉันเข้าอินเทอร์เน็ตบ่อยน่ะค่ะ อีกอย่างก็ดูพวกอาหารอร่อยๆ จากในคอมมูนิตี้ของพวกเขา คุณไม่ได้ดูเหรอคะ”
“ฉัน…” ความจริงแล้วเขาก็ปัดไปเจอแอปพวกนั้นเป็นครั้งคราว แต่ไม่ได้สังเกตรายละเอียดพวกนี้ บางทีอาจจะเคยเล็งเห็นชื่อของซานเหม่ยกรุ๊ป แต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก
จะไล่ตามไปตอนนี้แน่นอนว่าไม่ทันแล้ว เดิมวันนี้เขาก็ไม่ได้ต้อนรับดี อีกทั้งเมื่อครู่คนเขาก็เดินออกไปต่อหน้าต่อตาแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น หากตอนนี้ไล่ตามไป จะต้องดูเสแสร้งอย่างเห็นได้ชัดแน่นอน
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ครัวด้านหลังต้าสือไต้นับว่าสามัคคีกันอย่างหาได้ยาก ซ่งจื่อเซวียนมีออร์เดอร์ข้าวผัดจักรพรรดิสองสามที่จนถึงสิบกว่าที่ทุกวัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ฮอตฮิตอีก แต่ก็นับว่ามั่นคง อีกทั้งเริ่มมีลูกค้าประจำแล้วด้วย
ต้องรู้ว่าสไตล์อาหารอย่างข้าวผัดจักรพรรดิที่ราคาเท่านี้มีลูกค้าประจำได้นั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ
พริบตาเดียวก็จะเลิกงานแล้ว ซางเทียนซั่วนับออร์เดอร์ในมือแล้วพูดว่า “อาจารย์ วันนี้ได้เก้าที่ ถือว่าใช้ได้อยู่ใช่ไหม”
“อืม พอไปวัดไปวาได้ ความจริงแล้วที่เชฟเจิ้งพูดก็ไม่ผิดหรอก ความหมายของอาหารซิกเนอเชอร์ขึ้นอยู่กับการขับเคลื่อนอาหารทั่วไป ขอแค่ขับเคลื่อนได้ก็จะปรากฏผลลัพธ์” ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าพลางพูด
“แต่ผมคิดว่าข้าวผัดยังดังได้อีกนะครับ วัฒนธรรมของเมืองตู้เหมินส่วนใหญ่ก็คือวัฒนธรรมด้านอาหาร ประชาชนรักการกิน กินเก่ง ถึงแม้ว่าราคาของข้าวผัดจักรพรรดิจะแพง แต่คงจะดึงดูดลูกค้าที่เข้าใจเรื่องกินมาได้มากกว่าเดิม”
“เหอะๆ หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ”
ซางเทียนซั่วยิ้ม ขยับเข้าใกล้ “อาจารย์ นี่ก็หลายวันแล้ว อาจารย์สอนเคล็ดลับผมสักอย่างสองอย่างได้ไหม”
ได้ยินคำพูดนี้ ซ่งจื่อเซวียนปวดหัวอยู่เล็กน้อย ความจริงแล้วนี่ก็เป็นเรื่องที่เขากลัวที่สุดเหมือนกัน เขาอยากสอนซางเทียนซั่ว แต่…ไม่มีอะไรจะสอนได้จริงๆ
เขาคงเอาสูตรอาหารวังราชวงศ์ชิงมาให้ซางเทียนซั่วอ่านไม่ได้หรอก อย่างนั้นตาเฒ่าได้กินหัวตนแน่…
“เอ่อ…สอนนายเหรอ”
“ใช่สิ อาจารย์เป็นอาจารย์ผมนะ” ซางเทียนซั่วพูดพลางทำหน้าประจบ
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มแหย “จริงด้วย อาจารย์…ต้องสอนอะไรสักหน่อย เอาอย่างนี้ นายทนอีกสองวัน ฉันจะลองคิดดูว่าควรจะสอนนายยังไง”
“ตกลงครับ ไม่มีปัญหา ผมจะฟังอาจารย์”
ซ่งจื่อเซวียนลอบถอนหายใจ ความจริงแล้วตนเองก็ยังไม่รู้ว่าจะสอนอะไร ถึงแม้ว่าจะไม่เคยรับปากว่าต้องสอนซางเทียนซั่วมาก่อน แต่เห็นท่าทางตั้งตารอคอยของเขา ในใจก็รู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย…
หลังจากเลิกงาน ทั้งสองโดยสารรถประจำทางจากไป หลายวันมานี้ ซางเทียนซั่วเคยชินกับการนั่งรถประจำทางกับอาจารย์แล้ว ระหว่างเดินทางยังพูดคุยได้มากมาย ถึงแม้ว่าซางเทียนซั่วจะค่อนข้างร่ำรวย เดิมก็มีลูกน้องเป็นของตนเอง แต่ความจริงแล้วไม่ได้มีเพื่อนที่แท้จริงอะไรเลย จะว่าซ่งจื่อเซวียนเป็นอาจารย์ แต่ความจริงแล้วก็เป็นเพื่อนคนเดียวที่เขาพูดคุยด้วยได้
ลงจากรถ ทั้งสองก็เดินทอดน่องไปยังบ้านของซ่งจื่อเซวียน ซ่งจื่อเซวียนพูดว่า “เทียนซั่ว ความจริงแล้วนายไม่จำเป็นต้องกลับเป็นเพื่อนฉันทุกวันก็ได้ รบกวนเวลานายด้วย”
“เหอะๆ ไม่เป็นไร ตัวผมเอง…ก็ไม่มีอะไรทำ” ซางเทียนซั่วพูดพลางทอดถอนใจ
ซ่งจื่อเซวียนหรี่ตามองเขา จู่ๆ ในใจก็ปวดแปลบ ดูท่าแล้วทายาทรุ่นสองคนนี้ก็อาจจะไม่ได้มีชีวิตที่มีความสุขเท่าไร…
“โธ่ ไม่เจอกันนาน ไม่รู้ว่าพี่รองกับหลานชายคนโตเป็นยังไงบ้างแล้ว”
ทั้งสองคนหยุดฝีเท้าลง ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ฟังแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นกู่เสี่ยวเป่า แต่มองไปรอบๆ กลับไม่เห็นใคร
“ใครน่ะ เด็กขอทานหรือเปล่า อยู่ที่ไหน คนจริงเขาไม่พูดจากำกวมหรอกนะ” ซางเทียนซั่วตะโกนเรียกไปรอบทิศ
“ตะโกนอะไร มองลงมาสิ!”
ทั้งสองก้มหน้ามอง กู่เสี่ยวเป่าอยู่ใต้เชิงกำแพงใกล้ๆ เขาที่นอนอยู่ตรงนี้กลางดึกดูไม่สะดุดตาจริงๆ…
“เสี่ยวเป่า หลายวันนี้นายไปไหนมา” ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปใกล้ พูดพร้อมรอยยิ้ม
กู่เสี่ยวเป่ายันกับกำแพงกระโดดลุกขึ้นยืน ปัดฝุ่นที่ก้น พูดด้วยรอยยิ้ม “ขอทานทั่วสารทิศ แก้ไขปัญหากินอิ่มนอนอุ่น อากาศเย็นแล้วหาเสื้อบุนวมให้ตัวเองเพิ่มน่ะ”
“เสื้อบุนวมนายนี่…เกรดดีนะเนี่ย!” ซางเทียนซั่วมองเสื้อบุนวมที่ปุยฝ้ายหลุดลุ่ย อดหัวเราะออกมาไม่ได้
กู่เสี่ยวเป่ากลอกตาใส่เขา “หลานชายคนโต ทำไมถึงพูดมากขนาดนี้”
“คะ ใครเป็นหลานชายคนโตของนายกัน” ซางเทียนซั่วพูดหน้าแดง
“พูดเพ้อเจ้อ นายเป็นลูกศิษย์ของพี่รองของฉัน จะไม่ใช่หลานของฉันได้ยังไง”
ซางเทียนซั่วรู้สึกเหมือนมีหมั่นโถวลูกหนึ่งจุกอยู่ที่คอหอย ทำได้เพียงก้มหน้าลงไม่พูดอะไรอีก ถึงอย่างไรที่กู่เสี่ยวเป่าแย้งเรื่องลำดับอาวุโสก็ไม่ผิดจริงๆ
“ให้ตายสิ อยู่กับขอทาน จะมีความสามารถอะไรได้ แค่นี้พวกนายก็จัดการไม่ไหวอีกเหรอ”
ทั้งสามกำลังพูดคุยกัน ก็ได้ยินเสียงผู้ชายดังมาจากด้านหลัง
ซ่งจื่อเซวียนหันหน้าไปมอง ผู้ชายเจ็ดแปดคนยืนอยู่ด้านหลังพวกเขา คนที่เป็นผู้นำรูปร่างกลางๆ ผมสั้นเสยไปด้านหลัง ถึงแม้ว่าหน้าตาจะไม่ได้โดนเด่นอะไร แต่สายตาโหดเหี้ยมมาก
ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ แต่กลับรู้จักคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา เป็นพี่เลี่ยงที่เคยถูกซางเทียนซั่วจัดการเมื่อหลายวันก่อนนั่นเอง!
“บัดซบ แกยังมีหน้ามาอีกเหรอ ดูท่าแล้วหลายวันก่อนข้าควรจะทำให้เอ็งพิการไปเสีย!” ซางเทียนซั่วมองแวบเดียวก็จำพี่เลี่ยงได้ จึงชี้ไปที่เขา
พี่เลี่ยงสีหน้าจนปัญญา แต่กลับไม่กล้าพูดอะไร ถึงอย่างไรพี่เจี๋ยก็เป็นลูกพี่ ลูกพี่สั่งให้มาเขาก็จนหนทาง ความจริงแล้วก่อนหน้านี้เขาก็แกล้งป่วยบอกว่าไม่มา แต่พี่เจี๋ยถลึงตาใส่ เขาก็ไม่กล้าแล้ว
“พูดจาวางโตซะจริง ไอ้หนู คราวที่แล้วแกตีพวกมันใช่ไหม” พี่เจี๋ยชี้ใส่ซางเทียนซั่ว
“ใช่ ทำไม เอ็งมาลองดูสักหมัดบ้างไหมล่ะ!” ซางเทียนซั่วตะคอก
พี่เจี๋ยแค่นหัวเราะ หยิบบุหรี่มาจุด สูดเข้าปอดลึกๆ เฮือกหนึ่งทันที “ให้ตายสิ ก่อนที่ฉันจะสูบบุหรี่มวนนี้หมด พวกแกจัดการพวกมันสามคนซะ!”
พี่เจี๋ยพูดจบ ลูกน้องหลายคนด้านหลังก็พุ่งไป มีเพียงพี่เลี่ยงคนเดียวที่ยืนอยู่ที่เดิม อยากจะสาวเท้าไป…แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ก้าวออกไป
ถ้าพูดว่าครั้งที่แล้วซางเทียนซั่วลงมือก่อน อีกทั้งอาศัยข้อได้เปรียบด้านจิตใจจัดการพวกพี่เลี่ยงทั้งสามคนด้วย เช่นนั้นครั้งนี้ก็ไม่ได้ง่ายดายเท่าเดิมแล้ว เพราะอีกฝ่ายพุ่งออกมาพร้อมกันหกคน
อย่างไรเสียสองหมัดก็ไม่เท่าสี่มือของศัตรู ซางเทียนซั่วเดินขึ้นหน้าเพื่อเอาเปรียบเล็กน้อย ประเคนหมัดให้อีกฝ่ายสองหมัด แต่ไม่นานนักอีกฝ่ายสี่คนก็กดเขาลงกับพื้นพร้อมกัน
อีกด้าน ถึงซ่งจื่อเซวียนจะวิวาทไม่เป็น แต่ก็ง้างหมัดขึ้นปล่อยไปมั่วๆ ทว่าสุดท้ายไม่ได้มีประสบการณ์มายมายอะไร ทำให้หมัดของอีกฝ่ายชกมาที่หน้าอก ยันตัวเขาติดกับกำแพง
“แม่มันเถอะ ไอ้เด็กเวรนี่โม้ใส่ฉันเหรอ” พูดพลาง พี่เจี๋ยก็เดินไปใกล้ ดึงผมของซ่งจื่อเซวียนขึ้น “แกคือซ่งจื่อเซวียนใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนจ้องเขาอย่างดุดัน กัดฟันพูด “ใช่ ทำไมล่ะไอ้กระจอก ถ้าเจ๋งก็กระทืบฉันให้ตายสิ!”
“บัดซบ อาจารย์ โคตรแมนเลยว่ะ ฮ่าๆ!” ซางเทียนซั่วที่ถูกกดอยู่กลับยังยิ้มได้อย่างสบายอกสบายใจ
กู่เสี่ยวเป่าใกล้ๆ ก็ขมวดคิ้ว หยิบก้อนหินก้อนเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อบุนวม หินก้อนเล็กรูปร่างเหมือนนกน้อยตามธรรมชาติ เห็นเพียงเขาแตะลงบนริมฝีปาก เสียงนกก็ร้องหวีดออกมาอย่างเหนือความคาดหมาย…
………………………………………