เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 40 อวี่เหวินเซียว
ตอนที่ 40 อวี่เหวินเซียว
ได้ยินเสียงเป่าของกู่เสี่ยวเป่า คนตรงนั้นก็ยกมือขึ้นป้องหูเป็นอย่างแรก เสียงนกร้องนี่เสียดหูเกินไป…
“ไอ้เด็กขอทาน ทำอะไรของแกเนี่ย อย่าเป่าสิเว้ย!” พี่เจี๋ยตะโกน ขณะเดี๋ยวกันก็เดินเข้ามาคว้ามือของกู่เสี่ยวเป่า ถึงทำให้เสียงเสียดหูนั่นหยุดลงได้
หลังจากนั้น พี่เจี๋ยก็ยกมือขึ้นตบหน้ากู่เสี่ยวเป่า ซ่งจื่อเซวียนที่เห็นเหตุการณ์นั้นก็ถลึงตา ดิ้นกระเสือกกระสนเหมือนกับเป็นบ้าขึ้นมา
อย่างไรกู่เสี่ยวเป่าก็ยังเป็นเด็ก ถ้าซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วถูกทุบตีสักสองสามทีอาจจะไม่เป็นอะไร แต่ถ้ากู่เสี่ยวเป่าถูกพี่เจี๋ยทุบตี…จะต้องเจ็บตัวแน่
เทียบกันเรื่องพละกำลัง ซ่งจื่อเซวียนอาจจะเทียบกับนักเลงพวกนี้ไม่ติด แต่ถ้าคนเราสู้สุดชีวิตอย่างบ้าคลั่งขึ้นมาจริงๆ ไม่มีทางฉุดรั้งเอาไว้ได้อย่างแน่นอน
สลัดนักเลงข้างหลังจนหลุดแล้ว ซ่งจื่อเซวียนก็พุ่งตรงไปที่พี่เจี๋ย
ตึง!
เดิมซ่งจื่อเซวียนที่หนักประมาณหกสิบห้ากิโลกรัมไม่มีทางจะเทียบกับพี่เจี๋ยได้อยู่แล้ว แต่ทันทีที่พุ่งเข้าชนเต็มแรงเช่นนี้ น้ำหนักทั้งตัวบวกกับเรี่ยวแรงทั้งหมดก็ล้วนโถมใส่ร่างของอีกฝ่าย
ประกอบกับพี่เจี๋ยไม่ได้เตรียมตัวตั้งรับเลย ถูกซ่งจื่อเซวียนพุ่งชนมาจังๆ แบบนี้จึงกระแทกกับกำแพงอย่างแรง
“แม่มันเถอะ พวกแกกินอะไรกันเข้าไปเนี่ย” พี่เจี๋ยลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าเจ็บปวด หันไปตะคอกใส่ลูกน้องว่า “จับมัน ข้าจะทุบตีไอ้เด็กเวรนี่ให้เละเลย”
ลูกน้องสองคนในนั้นพุ่งมาจับซ่งจื่อเซวียนไว้อีกครั้งทันที กู่เสี่ยวเป่าจึงตะคอกด้วยความโกรธ “พวกแกลองกล้าแตะเขาดูสิ ฉันจะทำให้พวกแกเสียใจแน่!”
“จริงเหรอ ฉันจะดูว่าใครจะเสียใจก่อนกัน!”
พูดพลาง พี่เจี๋ยก็ซัดหมัดเข้าไปที่แก้มซ้ายของซ่งจื่อเซวียน เห็นเพียงแค่สีหน้าเจ็บปวดของซ่งจื่อเซวียน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ส่งเสียงร้องออกมาสักแอะ!
“อาจารย์…” เส้นเลือดที่ขมับซางเทียนซั่วตึงปูดออกมาแล้ว ตะคอก “แม่มันเถอะ ข้าจะจัดการพวกแก!”
ซางเทียนซั่วใช้กำลังทั้งหมดดิ้นรนทันที แต่ถึงแม้เรี่ยวแรงของเขาจะมีมากว่าซ่งจื่อเซวียน ทว่ากลับถูกนักเลงสี่คนกดเอาไว้อยู่ ในเมื่อเป็นแบบนี้จึงยากที่จะสลัดให้หลุดได้
ซ่งจื่อเซวียนสะบัดหน้า พยายามเรียกสติตัวเอง ต้องพูดเลยว่าหมัดนี้ของพี่เจี๋ยหนักจริงๆ ตอนที่ซัดมา ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกมึนงง เหงื่อก็ซึมออกมาทันที
พี่เจี๋ยยักไหล่ พูดกลั้วหัวเราะ “ไอ้หนู กล้าลงมือกับฉันไหมล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบตามองพี่เจี๋ย พูดว่า “ฉันรู้ว่าหลี่เจียหาวเป็นคนสั่งให้พวกแกมา แต่…วันนี้ฉันจะเอาบัญชีแค้นนี้ฝังไว้ในกะลาหัวแกแน่”
“ฮ่าๆๆ น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะ หน้านายนี่ชาโคตรแล้วใช่ไหม ไม่กลัวเจ็บเหรอ ข้าจะให้โอกาสแกอีกรอบ เรียกฉันว่าพ่อสิ ฉันก็ไม่กระทืบแกแล้ว”
พี่เจี๋ยพูดพลางถูข้อมือข้างขวา เห็นได้ชัดว่าถ้ามีครั้งต่อไปจะหนักยิ่งขึ้น
ถุย!
ซ่งจื่อเซวียนถ่มน้ำลายใส่หน้าพี่เจี๋ย “ฉันสิพ่อแก!”
“บัดซบ วันนี้ข้าจะเล่นแกให้ตาย!”
พูดพลาง พี่เจี๋ยก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง แต่ไม่ทันที่มือเขาจะซัดลงมาก็ได้ยินเสียง ‘ฟิ้ว’ ดังขึ้นข้างหู ไม่ได้มีแค่พี่เจี๋ยที่ไม่ได้สังเกตเห็น ทุกคนรอบๆ ก็ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น แต่วินาทีถัดมา ก็ได้ยินเสียงพี่เจี๋ยร้องโหยหวนขึ้นมา…
“อ๊าก…”
เห็นเพียงผู้ชายคนหนึ่งใส่ชุดลำลองสีดำโผล่พรวดพราดมาต่อหน้าทุกคน เพราะแสงไฟมืดสลัวจึงแทบมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของเขา แต่รังสีอันตรายที่แผ่ออกมาจากสายตาสังหารคู่นั้นกลับชัดเจนกว่าสิ่งใด
นักเลงพวกนั้นที่เห็นสถานการณ์ก็ผงะกันหมด บ้างก็กระทั่งปล่อยมือ ซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วจึงสลัดการจับกุมหลุดทันที และมองไปทางชายชุดดำคนนั้นในฉับพลัน
สีหน้าทุกคนตะลึงกันหมด มีเพียงกู่เสี่ยวเป่าคนเดียวที่สงบนิ่ง กระทั่งยังแฝงความมีวุฒิภาวะที่ไม่ค่อยเข้ากับคนวัยนี้เท่าไร เขาแค่นหัวเราะทันที “ฉันบอกแล้วว่าพวกแกจะเสียใจ!”
พี่เจี๋ยชะงัก มองกู่เสี่ยวเป่าทันที “แกเป็นคนเรียกมาเหรอ”
“โอ๊ย…” เขาเพิ่งจะเปิดปาก ชายชุดดำคนนั้นก็ใช้แรงบิดข้อมือเขาทันที เจ็บจนพี่เจี๋ยเปล่งเสียงร้องตัวแอ่นไปข้างหลัง
“ยังคิดจะขยับอยู่อีกเหรอ” กู่เสี่ยวเป่าพูด
“ไม่ขยับแล้วๆ ขอ…อ้อไม่สิ พี่ชายตัวน้อย ผมเนี่ยมีตาแต่ไม่มีแววเอาซะเลย พี่บอกให้เขาหยุดเถอะนะ” พี่เจี๋ยเปลี่ยนเป็นขี้ขลาดตาขาวอย่างรวดเร็ว
“หยุดเหรอ ที่นายต่อยพี่รองของฉันเมื่อกี้นี่จะนับยังไงดีล่ะ” กู่เสี่ยวเป่าเชิดหน้าขึ้นพูด
“พี่รอง?” พี่เจี๋ยอดมองไปที่ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ “ผม…ไม่รู้ว่าเขาเป็นพี่รองของพี่น่ะ”
กู่เสี่ยวเป่าแค่นหัวเราะ “เอาเถอะ ฉันจะบอกให้นายรู้ตอนนี้แหละ!”
พูดพลาง กู่เสี่ยวเป่าก็เดินเข้าไปชกที่แขนพี่เจี๋ย แต่พอซัดหมัดนี้ลงไป พี่เจี๋ยแทบจะไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบสนองเลย ผ่านไปสองวินาทีถึงได้ส่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา…
กู่เสี่ยวเป่าโมโห คนคนนี้เสแสร้งอย่างเห็นได้ชัด ถ้าเจ็บจริงๆ คงร้องตั้งแต่ตอนแรกแล้ว…
ซางเทียนซั่วเดินไปชี้ที่ชายชุดดำ พูดว่า “ว้าว ขอทานตัวน้อย นายนี่ก็ใช้ได้นะเนี่ย นายมีลูกพี่คอยปกป้องอยู่ด้วยเหรอ”
กู่เสี่ยวเป่ากลอกตาใส่เขา “อยากรู้เหรอ ชกเขาสักหมัดสิ เดี๋ยวฉันบอก ก็ถือเป็นการช่วยล้างแค้นให้อาจารย์นายด้วยแล้วกัน”
“นายไม่ต้องสั่งฉันก็จะทำอยู่แล้วน่า!”
ซางเทียนซั่วว่าจบก็เดินเข้าไป ง้างหมัดชกไปที่หน้าของพี่เจี๋ย พละกำลังของหมัดนี้ไม่แพ้หมัดที่ชกซ่งจื่อเซวียนเมื่อครู่เลยแม้แต่นิดเดียว อีกทั้งยังชกไปที่สันจมูกอย่างไม่ลังเลสักนิด
กร๊อบ…
เสียงกระดูกหักดังตามมาติดๆ ทั้งหน้าของพี่เจี๋ยเสียรูป เสียงร้องเจ็บปวดครั้งนี้ไม่ดังมาก แต่กลับดังมาจากกระดูก เหมือนว่าในสภาพที่เจ็บปวดรุนแรงนี้ มีเพียงเสียงที่เค้นออกมาจากช่องปาก ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงจะกรีดร้องออกมาแล้ว
“ไอ้หมาเอ๊ย กล้าดียังไงมาต่อยอาจารย์ฉัน แกลองแตะเขาอีกรอบดูไหมล่ะ” ซางเทียนซั่วตะคอก
พี่เจี๋ยตอนนี้เลือดกำเดาไหลออกมาเรียบร้อยแล้ว เขาสะบัดหัวด้วยแววตาเซื่องซึม “ไม่กล้าแล้ว…”
ซางเทียนซั่วกลอกตาใส่เขา หันหน้าไปมองพวกนักเลง “ยังมีพวกแกอีก แม่มันเถอะ จำหน้านายท่านรองของพวกแกไว้ให้ดีๆ คราวหน้าเดินตามทางต้องหลบด้วย!”
“คะ ครับ…”
“พวกเราทราบแล้วครับ เดินหลบครับ”
ทุกคนพากับตอบกลับ
กู่เสี่ยวเป่าพูด “พี่รอง จัดการยังไงดีล่ะ”
“ช่างเถอะ ไม่ใช่ว่าซัดไปแล้วเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ได้ยินดังนั้น กู่เสี่ยวเป่าก็ลอบยกนิ้วโป้งขึ้น กับผู้จัดการคนที่ห้างคราวก่อน ถือว่าซ่งจื่อเซวียนแก้แค้นจนถึงตาย เพราะอีกฝ่ายคือคนไม่ดี แต่ถึงแม้วันนี้จะโดนต่อยไปหนึ่งหมัดกลับเป็นให้อภัยได้ก็ให้อภัยไป เนื่องจากคนพวกนี้ส่วนมากนับว่าไม่ได้มีความรู้
“เข้าใจแล้วอวี่เหวินเซียว พวกเราไปกันก่อนนะ ที่นี่ให้นายจัดการแล้วกัน”
“ครับ แต่ว่า…จัดการยังไงล่ะครับ” ชายที่ชื่ออวี่เหวินเซียวคนนั้นถาม
ได้ยินเสียงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ผงะ เขาจำเสียงนี้ได้ดีว่าเป็นของผู้ชายใส่เสื้อกันลมที่ช่วยเขาวันนั้น!
“นายเองเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถามอวี่เหวินเซียว
“ครับ คุณซ่งจะจัดการพวกเขายังไงดีครับ” น้ำเสียงของอวี่เหวินเซียวสุขุมมากและเย็นชามากในขณะเดียวกัน
“เรื่องนี้…” ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรไปชั่วขณะ อดมองไปที่กู่เสี่ยวเป่าไม่ได้
กู่เสี่ยวเป่ายิ้ม “เมื่อกี้พวกเขาเกือบจะทำให้ฉันเจ็บตัวแล้ว เป็นพี่รองของฉันที่ช่วยฉันไว้ จัดการตาวิธีของนายก็พอแล้ว”
พูดจบ กู่เสี่ยวเป่าก็หันหลังเดินเข้าไปในซอย “พี่รอง พวกเรารีบไปกันเถอะ เรื่องนี้ปล่อยให้เขาจัดการไปน่ะดีแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วมองตากัน เดินตามไปทันที แต่ยังคงหันหน้ากลับมาเมียงมองอวี่เหวินเซียวกับพวกพี่เจี๋ยเป็นครั้งคราว
อวี่เหวินเซียวยังไม่ได้ขยับ ยังคงยืนรักษาท่วงท่าดังเดิมอยู่ตรงนั้น ส่วนพวกนักเลงก็ยิ่งไม่กล้าขยับ ส่วนใหญ่ยังนิ่งค้างอยู่ที่เดิมกัน
ซางเทียนซั่วพูดว่า “โอ้โห ขอทานน้อย คนคนนั้นคอยปกป้องอยู่ใช่ไหมน่ะ ฉันดูแล้วเขาเหมือนจะเป็นลูกน้องนายเลย”
“เหอะๆ อย่าพูดไปเรื่อยสิ เด็กขอทานอย่างฉันจะมีลูกน้องได้ยังไง แต่ว่า…นายอย่าเรียกอาชีพฉันบ่อยๆ แบบนั้นได้ไหม จากนี้เรียกฉันว่าอาเล็กก็พอแล้ว”
“ไสหัวไป พวกเรามาตกลงเรื่องนี้กันดีกว่า เขาเป็นอาจารย์ของฉัน นายเป็นน้องของเขา แต่ฉันเป็นพี่ของนายเป็นไง” ซางเทียนซั่วพูด
“ไม่ยังไงทั้งนั้น หลานชายคนโต!”
กู่เสี่ยวเป่าพูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะออกมา แต่เมื่อทั้งสามเดินมาถึงหัวโค้งก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนเจ็บปวดไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไรดังมาจากทิศทางเมื่อครู่ ถึงแม้จะไม่ได้ไปดูก็รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ซางเทียนซั่วหรี่ตาลงเล็กน้อย “ท่วงท่ารวดเร็วว่องไว ดุดันมาก เป็นยอดฝีมือคนหนึ่งเลย เสี่ยวเป่า ตกลงว่านายเป็นใครกันแน่เนี่ย”
ได้ยินดังนั้น กู่เสี่ยวเป่าก็หยุดเท้า “หมายความว่ายังไง”
“เหอะๆ นายไม่ธรรมดา” ซางเทียนซั่วแค่นหัวเราะ มองไปที่กู่เสี่ยวเป่าทันที “เด็กขอทานอย่างนาย จะไปมียอดฝีมืออยู่ข้างกายได้ยังไง อีกอย่างเขาก็ไม่ได้ใส่ชุดขอทานด้วย แถมยังเชื่อฟังนายขนาดนั้น…”
“แล้วยังไง” กู่เสี่ยวเป่าถามหน้าเหยียดๆ แต่ท่าทางยังแฝงความไม่พอใจอยู่อย่างเห็นได้ชัด
“ดังนั้น…เหอะๆ นายก็แค่ใช้ภาพลักษณ์ขอทานปิดบังเอาไว้ ไม่ให้คนรู้ฐานะที่แท้จริงของนาย ยอดฝีมือของนายสิถึงจะเป็นสถานะของนายที่แท้จริง” เขาพูดพลางเดินไปด้านหน้ากู่เสี่ยวเป่า “บอกมา ตกลงที่นายเข้าใกล้อาจารย์ของฉันมีเป้าหมายอะไร”
พรืด…ซ่งจื่อเซวียนแทบจะสำลัก เรื่องนี้เกี่ยวกับฉันได้ยังไงกัน ต่อให้เขามีเจตนาอะไรก็คงไม่ได้สนใจกับคนจนๆ อย่างฉันหรอกน่า!
“นายคิดว่าไงล่ะ” กู่เสี่ยวเป่าพูด
“นายก็คิดจะคารวะอาจารย์เหมือนกันใช่ไหม แต่น่าเสียดายมันสายไปแล้ว ฉันเข้าสำนักอาจารย์เรียบร้อยแล้ว ต่อให้อาจารย์ของฉันเมตตารับนายเข้ามา อย่างมากนายก็เป็นได้แค่ศิษย์น้อง!”
พรืด! พรืด! พรืด!
ครั้งนี้กู่เสี่ยวเป่ามึนงงไปแล้ว ท่าทางกับโทนเสียงของซางเทียนซั่วเมื่อครู่เหมือนกับนักสืบอย่างสิ้นเชิง แต่พูดจนถึงตอนท้ายสุดก็กลับไปไร้สมองเหมือนกับตอนแรกเสียอย่างนั้น ไม่ต่างจากคนติงต๊องเลยสักนิด…
“หลานชายคนโต นายต้องรู้ด้วยนะว่าฉันรู้จักกับพี่รองก่อนที่นายจะคารวะเสียอีก ถ้าฉันคิดจะเข้าสำนักอาจารย์ฉันเข้าไปนานแล้ว จะรอให้เวียนมาถึงนายทำไม อีกอย่างนายอย่าลืมสิว่านายคารวะอาจารย์ได้ก็เป็นเพราะอาเล็กอย่างฉันส่งเสริมน่ะ” กู่เสี่ยวเป่าพูดเสียงดัง
“หืม ที่นายพูดก็เหมือนจะมีเหตุผลอยู่นะ…” ซางเทียนซั่วหรี่ตาครุ่นคิดแล้วสูดลมหายใจ
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “เอาล่ะๆ ฉันถึงบ้านแล้ว พวกนายแยกย้ายเถอะ”
พูดจบ เขาก็เดินเข้าไปในลานบ้านของฟางจิ่งจือ กู่เสี่ยวเป่ามองซางเทียนซั่ว หัวเราะเยาะทีหนึ่งก่อนเดินไป ส่วนซางเทียนซั่วเหมือนจะพิจารณาอะไรอยู่ที่เดิมครู่หนึ่งถึงจากไป
เดินเข้ามาในลานบ้านเล็กๆ ของฟางจิ่งจือ ซ่งจื่อเซวียนก็ได้กลิ่นสุราเข้มข้น เขาเดินเข้าไปพลางพูดว่า “ใครมันไม่เชื่อฟังขนาดนี้กันนะ นี่ไม่ใช่กลิ่นเหล้าแค่ขวดสองขวดแล้ว”
“ไสหัวไป ไอ้เด็กเปรต ปู่ดื่มอยู่นะ อย่าเลอะเทอะ”
ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปในประตู มองฟางจิ่งจือที่นั่งอยู่บนตั่งไกลๆ บนโต๊ะตัวเล็กมีขวดสุราสองขวดวางอยู่ อู่เหลียงเย่ข้างๆ ก็เหลือเพียงครึ่งขวดแล้ว
“เฮ้ยๆๆ ตาเฒ่า ปู่ดื่มไปเท่าไรแล้วเนี่ย ไม่ใช่ว่าเราคุยกันแล้วเหรอว่าสามวันหนึ่งขวดน่ะ” ซ่งจื่อเซวียนสาวเท้าไวๆ เข้าไปหยิบขวดสุราขึ้นดู
แต่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจก็คือเขาเพิ่งสังเกตเห็นว่าท่าทางของตาเฒ่าฟางเคร่งขรึมจริงจัง เหมือนว่าในดวงตายังมีน้ำตาคลอหน่วยอยู่ด้วย
…………………………………………….