เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 41 รู้กับผีน่ะสิ!
ตอนที่ 41 รู้กับผีน่ะสิ!
“ปู่ ปู่…เป็นอะไร” ซ่งจื่อเซวียนรีบถาม
ฟางจิ่งจือถอนหายใจ “โธ่…เหล้านี่น่ะ ฉันไม่ได้ดื่มคนเดียวสักหน่อย มีเขาด้วย”
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก มองไปยังทางที่ตาเฒ่าฟางชี้ที่ไม่มีใครเลย พูดว่า “ตาเฒ่า ปู่หมายความว่ายังไงเนี่ย ดึกดื่นป่านนี้แล้วยังไม่ปล่อยให้คนเขาไปนอนอีกนะ”
เห็นแค่ฟางจิ่งจือส่ายหน้าเบาๆ ยกแก้วสุราขึ้นพูด “พี่ซีเฉิง ฉันล่ะคิดถึงพี่จริงๆ ไม่ได้เจอมาสี่สิบปีแล้ว นี่คือลูกศิษย์ของฉันเอง ให้เขาไปกับพี่ด้วยคนนะ”
พูดจบ เขาก็ส่งแก้วให้ซ่งจื่อเซวียน และซ่งจื่อเซวียนก็เคร่งขรึมขึ้นมา รับแก้วมาคารวะไปยังที่ที่ไม่มีใครสักคนตรงนั้นหนึ่งครั้ง แล้วดื่มสุราในแก้วลงไปจนหมด
เขานั่งบนตั่ง ถามว่า “ปู่ นี่หมายความว่ายังไงกัน”
“นึกถึงตอนอยู่ที่ปักกิ่งตอนนั้น ฉันกับพี่ซีเฉิงเจอหน้ากันห้าครั้ง ดื่มเหล้ากันสี่รอบ ชีวิตนี้…เกรงว่าจะไม่มีสหายแบบนี้อีกแล้วล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่ซีเฉิง? คือพี่ที่ปู่เคยเล่าให้ฟังว่าแค่ได้เจอครั้งแรกก็รู้สึกสนิทสนมเหมือนเพื่อนเก่าน่ะเหรอ ที่ว่าตอนแรกบรรพบุรุษของปู่คือพ่อครัวในวังราชวงศ์ชิงแล้วบรรพบุรุษของเขาคือทหารรักษาพระองค์ใกล้ชิดคนนั้นน่ะเหรอ”
“ถูกต้อง ไอ้หนู แกจำไว้นะ เป็นผู้ชายต้องมีสัจจะ การหาเพื่อนแท้ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ…”
ซ่งจื่อเซวียนเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง “ปู่ ผมจะจำไว้”
แต่ไม่นานนักซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกไม่ปกติ ถึงแม้ว่าจะเป็นการรำลึกถึงพี่ชาย แต่สุราที่พร่องไปกว่าครึ่งนี่ใครเป็นคนดื่มล่ะ
“เอ๊ะ ตาเฒ่านี่ผิดปกตินะ ปู่บอกว่าดื่มกับพี่ชายปู่ แต่พี่ชายปู่ไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ เมื่อกี้นี่ ปู่ดื่มเหล้าของเขาแทนใช่ไหม”
ฟางจิ่งจือได้ยินดังนั้น ก็พูดเบาๆ “ก็มันมีเหตุผลนี่นา”
“มีเหตุผลอะไรเล่า เอาล่ะ ปู่ไม่ควรจะดื่มอีกแล้วนะ ดื่มไปซะเยอะ พอเห็นผมมาก็เล่นละครแบบนี้เลยเหรอ แถมยังมีน้ำตาอีก ปัดโธ่ ผมจะพูดกับปู่ยังไงดีล่ะ อายุปูนนี้แล้วปู่ยังมีฝีมือการแสดงอะไรนี่อีกเหรอ”
ฟางจิ่งจือมองเขา นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาไปหลายสิบวินาที อดกลั้นอยู่นานถึงพูดว่า “อ้อ ฉันดื่มเพลินไปหน่อยไม่ระวังเอง หลานเอ๊ย อู่เหลียงเย่นี่รสชาติดีกว่าสิบห้าหยวนนะแกว่าไหม”
“ปู่ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่องเลย ยังไงก็ห้ามดื่มแล้ว ผมจะดื่มคลายโมโหเอง”
พูดพลาง เขาก็เทสุราให้ตัวเองแล้วดื่มลงไป และกินไก่ย่างบนโต๊ะไปคำหนึ่ง “เอ๊ะ ใครเป็นคนเอาไก่ย่างมาเหรอ”
“ฉันซื้อมาเองแหละ ทำไม”
“แข้งขาปู่นี่ออกไปเดินเตร็ดเตร่ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ อยากกินอะไรก็บอกผมสิ จริงด้วย ตาเฒ่า วันนี้ที่ผมมาความจริงแล้วมีเรื่องอยากจะปรึกษาปู่หน่อย” ซ่งจื่อเซวียนกัดขาไก่พลางพูด
“ไม่เอาล่ะ เมื่อกี้แกก็มาโกรธฉัน ฉันไม่อยากจะสนใจแก” พูดพลาง ฟางจิ่งจือก็พิงกับตั่งแล้วหันหลังให้
ซ่งจื่อเซวียนก็จนปัญญา ถึงยังไงตาเฒ่าคนนี้ก็อายุแปดสิบกว่าปี ความจริงแล้วเป็นแค่ชายชราที่ทำตัวเป็นเด็กน้อย มีนิสัยถ้าโกรธขึ้นมาก็รับมือได้ยาก พอรับมือได้ยากแล้วเขาก็ไม่รู้จะง้ออย่างไร…
“ก็ได้ ให้ปู่อีกแก้วหนึ่งโอเคไหม แต่ให้แค่แก้วเดียวนะ วันนี้ปู่ดื่มเยอะไปแล้ว”
“ดีจริง งั้นถือว่าล้างปากแล้วกัน” ได้ยินคำพูดนี้ ฟางจิ่งจือก็หันหลังกลับมาแล้วค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง “พูดมาสิหลานเอ๊ย มีเรื่องอะไรจะถามปู่แกเหรอ”
“ปู่ก็รู้ว่าผมรับลูกศิษย์มาคนหนึ่ง”
“โฮ่ ถ้าแกไม่พูดฉันคงลืมไปแล้วนะเนี่ย ไอ้หนูนั่นไม่เลวเลย ถ้าเขาว่างๆ ก็ให้มาหาบ้างสิ” ฟางจิ่งจือพูดพลางซดสุราจนหมดแก้ว
“พอเลยปู่ ปู่อยากดื่มอู่เหลียงเย่ของคนอื่นเขาน่ะสิ จากนี้ถ้าอยากดื่มผมจะซื้อให้ปู่เองได้ยินไหม” ตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนได้เงินเดือนเดือนละแปดหมื่น จะให้ซื้ออู่เหลียงเย่มาเอาใจตาเฒ่าจริงๆ ก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรอยู่แล้ว
“จริงเหรอ” ฟางจิ่งจือเงยหน้าขึ้นถามทันที ถึงแม้ว่าจะอายุเยอะแล้ว แต่พอได้ยินว่ามีสุรา ดวงตาก็เริ่มลุกวาวฉับพลัน
“ผมจะหลอกปู่ทำไม แต่พูดตามตรงเลยนะ ตอนนี้ซางเทียนซั่วบอกให้ผมสอนเขาทำอาหาร ปู่ก็รู้ว่าผมทำได้แค่ข้าวผัดหยกทอง ผมควรสอนเขายังไงดี ตอนที่ผมอยู่ที่ร้านอาหารชุนเซียงก็เรียนมาแค่ผัดเนื้อ”
ได้ยินดังนั้น ฟางจิ่งจือก็ยิ้ม คีบข้าวสวยใส่ปาก “เด็กอย่างแกเนี่ยน้า พอฉลาดขึ้นมาก็คล่องแคล่วว่องไวอย่างกับลิง แต่พอบทจะโง่…ก็อย่างกับปัญญาอ่อนอย่างไรอย่างนั้น”
“เฮ้ย ตาแก่อย่างปู่ก็ช่วยหน่อยไม่ได้เหรอ จะต้องแขวะผมสักสองประโยคก่อนถึงจะมีความสุขงั้นสิ” ซ่งจื่อเซวียนกลอกตาใส่ฟางจิ่งจือ ดื่มไปอีกแก้ว
“แกนี่นะ เดี๋ยวไปลองดูสูตรอาหารอีกรอบสิ ข้าวผัดหยกทองในสูตรอาหารนี่เป็นอาหารเมนูแรก หรือก็คือพื้นฐานนั่นแหละ แต่แกน่ะ…คิดว่านั่นเป็นแค่ข้าวผัดจริงเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนสูดลมหายใจ เหมือนเข้าใจความหมายที่ฟางจิ่งจือจะสื่อแล้ว เขาลุกขึ้นยืนทันที ถือขวดสุราเดินไปที่ชั้นหนังสือ หยิบสูตรอาหารมาอ่าน
ฟางจิ่งจือยิ้ม “ไอ้เด็กเวร ไม่ยอมปล่อยเหล้าจากมือจริงๆ แต่แกต้องจำไว้นะ สูตรอาหารเล่มนี้มีแกอ่านได้แค่คนเดียว อีกอย่างต่อให้สอน ก็บอกเนื้อหาสูตรอาหารกับคนอื่นไม่ได้เด็ดขาดนะ”
ขณะอ่านสูตรอาหาร หลังจากชายชราได้ชี้แนะให้ ตัวอักษรที่มีแต่เดิมก็เหมือนจะมีความหมายใหม่ ซ่งจื่อเซวียนอดยิ้มไม่ได้ ยังไงขิงแก่ก็ยังคงเผ็ดอยู่
เนื่องจากแม่ไม่อยู่บ้าน ซ่งจื่อเซวียนอ่านจนตีหนึ่งกว่าถึงได้เก็บสูตรอาหาร ฟางจิ่งจือก็ไม่ได้อยู่ดูเขา หลับไปนานแล้ว
ล็อกประตูลานบ้านเรียบร้อยแล้ว ระหว่างซ่งจื่อเซวียนเดินกลับบ้านก็นึกถึงเนื้อหาสูตรอาหารตลอดทาง
ถูกต้อง ข้าวผัดก็เป็นแค่อาหารอย่างหนึ่งที่ใช้วิธีการผัด ใช้วิธีผัดวิธีเดียวกัน แต่ใช้ส่วนผสมและเครื่องปรุงไม่เหมือนกัน ก็สามารถทำอาหารสไตล์อื่นออกมาได้ อีกทั้งรสชาติจะต้องยอดเยี่ยมกว่าวิธีผัดปกติร้อยเท่า!
ความลับของเมนูที่หนึ่งในสูตรอาหารวังราชวงศ์ชิงก็คือใช้กำลังภายในมาทำอาหาร ขอแค่มีพลังนี้ ข้าวผัดที่มีส่วนผสมธรรมดาก็สามารถกลายเป็นอาหารที่มีรสชาติหาไม่ได้จากที่ไหนในโลกใบนี้ได้ เช่นนั้นอาหารอย่างอื่นจะทำไม่ได้ได้อย่างไรกัน
แต่ซ่งจื่อเซวียนก็เข้าใจ ในเมื่อข้าวผัดหยกทองเป็นสูตรอาหารเมนูที่หนึ่ง อย่างนั้นวิธีการผัดแบบนี้อาจจะเหมาะสมกับข้าวผัดหยกทองที่สุด ถ้าใช้วิธีการนี้มาทำอาหารอย่างหมูผัดเต้าเจี้ยวปรุงรส[1]หรือว่าหมูสองไฟ ถึงแม้ว่าจะสามารถเพิ่มรสชาติของอาหารให้อร่อยยิ่งขึ้นได้ แต่อาจจะไม่ได้ถึงขนาดน่าตกใจอย่างข้าวผัดหยกทอง
ส่วนพวกอาหารบ้านๆ ทั่วไปซ่งจื่อเซวียนก็พอทำได้ แต่แค่การใส่เครื่องปรุงและการควบคุมไฟยังเทียบกับพ่อครัวที่มีประสบการณ์และคุณสมบัติเต็มเปี่ยมไม่ได้ เขาตัดสินใจว่าจะหาเวลาลองและศึกษาผสานกับวิธีการที่หยางต้าฉุยสอนดู ตอนนี้มีเคาน์เตอร์เตาเป็นของตัวเองแล้ว ก็คงจะสะดวกมากขึ้น
วันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้รีบผัดอาหารนัก ถึงแม้ว่าท่าทางของเจิ้งฮุยตอนนี้อาจจะไม่ได้ทำให้เขาลำบากแล้ว แต่เขาก็ไม่ได้หวังว่าจะทำตัวเด่นมากเกินไป เขายอมลองผัดนั่นผัดนี่ในห้องครัวดูหลังจากเลิกงานมากกว่า
ช่วงนี้จำนวนเสิร์ฟข้าวผัดจักรพรรดิค่อนข้างมั่นคง อย่างน้อยมีเจ็ดแปดที่ต่อวัน มากสุดสิบกว่าที่ ระหว่างนั้นก็มีสองวันที่จำนวนออร์เดอร์มายี่สิบที่กะทันหัน
ส่วนต้าสือไต้ก็เริ่มคุ้นชินกับอาหารซิกเนเชอร์แล้ว ถึงแม้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะไม่เคยทำให้คนในร้านกินมาก่อน แต่เห็นระดับความพึงพอใจของเหล่าลูกค้า คนไม่น้อยก็เริ่มยอมรับข้าวผัดจักรพรรดิ
แต่ซ่งจื่อเซวียนรู้ดีว่าเรื่องนี้ได้ประโยชน์จากถังหย่าฉีไม่น้อย ถึงแม้ว่าหลายวันมานี้จะไม่ได้เจอหน้ากัน แต่ยังส่งข้อความหากันเป็นครั้งคราว ซ่งจื่อเซวียนไม่ลืมขอบคุณเสียทุกครั้งไป ก็นับว่าติดต่ออยู่ตลอด
ทว่าสิ่งที่ทำให้ซ่งจื่อเซวียนประหลาดใจคือถึงแม้ท่าทางของเจิ้งฮุยช่วงนี้จะผ่อนลงแล้ว แต่ก็มากเกินไปอยู่บ้าง มักจะมาพูดคุยกับเขา บางครั้งเคยคุยหัวข้อนี้ไปแล้วก็ยังจะเอากลับมาพูดอีกรอบ โดยเฉพาะตอนที่เขาทำข้าวผัดจักรพรรดิ
ช่วงพีคของมื้อเย็น ลูกค้าในโถงด้านหน้านั่งโต๊ะเต็มไปแล้วกว่าครึ่ง โจวเผิงกำลังมองหลัวลี่ลี่คำนวณยอดขาย ก็มีมือข้างหนึ่งตบลงบนเคาน์เตอร์
โจวเผิงกับหลัวลี่ลี่มองไปพร้อมกัน ชายคนหนึ่งอายุห้าสิบกว่าปียืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ผมสีดอกเลายุ่งเหยิงเล็กน้อย เสื้อด้านในเป็นผ้าลินินดูเก่ามากแล้ว อีกทั้งสีขาวที่เป็นพื้นหลังก็สวมจนเปลี่ยนเป็นสีเทา ด้านล่างกางเกงที่เปรอะดินเป็นรองเท้าผ้าใบที่ไม่รู้ว่าสวมมานานเท่าไรแล้ว รองเท้าผ้าใบสีดำซักแล้วดูขาวขึ้นบ้าง
“คุณมาทานข้าวเหรอครับ” โจวเผิงถามอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ในเมื่อจะดูอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่เหมือนคนที่จะมากินข้าวที่ต้าสือไต้ได้
“เอ้า ไม่กินข้าวฉันคงมาล้างเท้ามั้ง ร้านพวกนายเปลี่ยนเป็นร้านทำเล็บแล้วหรือไง”
โจวเผิงชะงัก “ทำไมคุณถึงพูดอย่างนี้ล่ะครับ”
“ไร้สาระ ไม่มากินข้าวแล้วจะมาทำอะไรที่นี่เล่า”
โจวเผิงเริ่มหงุดหงิด แต่หลัวลี่ลี่รีบพูดว่า “เชิญคุณผู้ชายด้านในเลยค่ะ ด้านนี้มีเมนูอาหาร คุณดูก่อนได้นะคะ”
“ไม่ต้อง ฉันได้ยินมาว่าที่นี่มีเมนูซิกเนเชอร์อย่างข้าวผัดจักรพรรดิใช่ไหม เอามาที่หนึ่งฉันจะลองชิม” ชายคนนั้นพูดพลางหรี่ตาลงเล็กน้อย ถ้าพูดให้ถูกคือตั้งแต่ที่เขาเดินเข้าประตูมาก็ไม่ได้ลืมตาจนสุด คำพูดคำจาก็รู้สึกว่าเหยียดหยามคนอื่นอยู่ไม่น้อย
“เอามาที่หนึ่งเหรอ คุณจะลองชิม? เหอะๆ คุณผู้ชาย ข้าวผัดแปดร้อยนั่นเก้าสิบเก้าหยวนเลยนะ”
ชายคนนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อยพูดว่า “ทำไมถึงพูดมากขนาดนี้ ฉันไม่มีเงินจ่ายแล้วมันยังไง เร็วๆ เข้า ฉันจะดูว่าข้าวผัดอะไรถึงขายราคานี้ ถ้าหลอกลวงละก็ ข้าไม่ใช่แค่ไม่จ่ายเงินนะ จะฟ้องพวกนายด้วย”
“เฮ้อ คนแก่อย่างคุณนี่…มาก่อกวนใช่ไหม” โจวเผิงถาม
ชายคนนั้นไม่ได้สนใจเขาเลยสักนิด เดินปรี่ไปที่โต๊ะตัวหนึ่ง “รีบเอามาเสิร์ฟให้ฉันได้แล้ว ได้ยินไหม”
โจวเผิงสูดลมหายใจลึกๆ เขารู้สึกเหมือนว่าหลังจากมาทำงานที่ต้าสือไต้ นอกจากเงินเดือนจะสูงกว่าแต่ก่อนแล้ว อย่างอื่นก็ไม่มีอะไรดีเลย ตั้งแต่ซ่งจื่อเซวียนจนถึงซางเทียนซั่ว กระทั่งตาแก่นี่อีกก็โกรธจวนจะตายอยู่แล้ว…
“อย่างนั้นจะยังสั่งอยู่ไหมคะ” หลัวลี่ลี่ถาม
“สั่งไปเถอะ เธอดูสิว่าตาแก่นั่นแข็งกร้าวขนาดนั้น เกิดทำไม่ดีร้องเรียนฟ้องร้องกันขึ้นมาจริงๆ จะยิ่งวุ่นวาย” โจวเผิงขมวดคิ้วพลางเดินไปอีกด้านหนึ่ง
ชายคนนั้นนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหาร ยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาเหยียบบนเก้าอี้ข้างๆ ยังไม่ลืมถอดรองเท้าผ้าใบมาเคาะสองสามที ก็มีลูกค้าใกล้ๆ บางคนหยุดกินในทันที
“เอ๊ะ ตาแก่ เป็นบ้าหรือไง ฉันกินข้าวอยู่นะ”
“กินๆๆ กินบ้านแกสิ ฉันสั่งไม่ให้แกกินหรือไง” เขาพูดพลางเหลือบตามองคนคนนั้น ทำเหมือนคนอื่นผิดอย่างไรอย่างนั้น
แฟนสาวของคนคนนั้นห้ามปรามทันที พูดว่า “เอาเถอะ นายดูเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่สิ จะทักเขาทำไม…”
ชายคนนั้นมองไปรอบๆ เห็นด้านหน้ามีโต๊ะสองคนสั่งกับข้าวมาหลายอย่าง และยังมีข้าวผัดจานหนึ่งด้วย เขาลุกขึ้นเดินไปถามว่า “นี่ข้าวผัดจักรพรรดิเหรอ”
“ใช่ ทำไมเหรอ” แขกโต๊ะถัดไปพูดอย่างรังเกียจอยู่บ้าง
ชายคนนั้นพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรก็กลับไปนั่ง
“เอ๊ะ นายว่าข้าวผัดจักรพรรดินี่ทำไมถึงอร่อยขนาดนี้ล่ะ”
“ถึงได้…จานละเก้าร้อยหยวนไง ถ้าไม่อร่อยจะทำให้ใครกินล่ะ”
ได้ยินอย่างนั้น ชายคนนั้นก็กลอกตาใส่ทั้งสองคน พูดพึมพำ “ไอ้พวกโลกแคบเอ๊ย…”
“นายว่าคำแนะนำบนเมนูอาหารเป็นเรื่องจริงไหม ข้าวผัดนี่เป็นอาหารรสเลิศในยุคสาธารณรัฐจริงเหรอ น่าเหลือเชื่อเกินไปมั้ง”
“ฮ่าๆ เป็นลูกเล่นทั้งนั้นแหละ พวกเขาคงแต่งขึ้นมาเอง แต่รสชาติไม่เลวเลยนะ แต่ก็คงไม่ได้โด่งดังขนาดทั่วทั้งจีนแผ่นดินใหญ่หรอกมั่ง”
ได้ยินเสียงพูดคุยของโต๊ะถัดไป ข้าวผัดจักรพรรดิก็ยกมาเสิร์ฟที่เบื้องหน้าของชายคนนี้ พนักงานพูดว่า “ข้าวผัดจักรพรรดิค่ะ ขอคุณผู้ชายทานให้อร่อย”
ชายคนนั้นคิดจะพูดอะไรบางอย่าง นาทีที่ได้กลิ่นข้าวผัดก็แข็งค้างไปทั้งตัว เขาขยับเข้าไปดมใกล้ๆ อีกรอบ “นี่มัน…อะไรกัน”
พนักงานได้ยินดังนั้นก็ชะงัก “หืม ขะ…ข้าวผัดจักรพรรดิไงคะ!”
ชายคนนั้นลุกขึ้นยืนฉับพลัน ชี้ไปที่คนคนนั้น “รู้กับผีน่ะสิ นี่ไม่ใช่ข้าวผัดจักรพรรดิสักนิดเลยเว้ย!”
………………………………………….
[1] หมูผัดเต้าเจี้ยวปรุงรส (鱼香肉丝) คืออาหารของมณฑลเสฉวนที่เห็นได้ตามร้านอาหารทั่วไป เป็นการทำหมูหั่นเป็นเส้นๆ แล้วนำมาผัดกับเห็ดหูหนู หน่อไม้ แครอท และเครื่องปรุงต่างๆ