เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 42 น้ำแกงหนึ่งถ้วย
ตอนที่ 42 น้ำแกงหนึ่งถ้วย
ทันทีที่ชายคนนั้นตะโกน ก็ดึงดูดสายตาของคนรอบๆ มาไม่น้อย ต้าสือไต้เปิดกิจการไม่ถึงครึ่งเดือน ตั้งแต่ข้าวผัดจักรพรรดิเริ่มขายจนถึงตอนนี้ ได้รับการยอมรับจากลูกค้าแทบจะทุกคน เป็นครั้งแรกที่มีคนคัดค้าน…
“ไม่ใช่ข้าวผัดจักรพรรดิเหรอ”
“แต่ที่เขาพูดก็มีเหตุผลอยู่หน่อยๆ นะ เธอดูข้าวผัดนั่นสิ มองไม่ออกเลยว่ามีอะไรแปลกประหลาด ก็แค่ข้าวผัดธรรมดานี่”
“หึ อย่าไปฟังเขา ข้าวผัดจักรพรรดินี่ฉันเคยกินแล้ว อร่อยจนไม่มีอะไรเทียบได้”
“ใช่ไหมล่ะ ฉันก็เคยได้ยินเพื่อนบอกว่าข้าวผัดจักรพรรดิอร่อยสุดๆ แต่แค่แพงไปหน่อย ฉันไม่มีเงินลองชิม”
“เขาเป็นใครน่ะ ทำอาชีพตรวจสอบการปลอมแปลงเหรอ หรือว่า…เป็นนักชิม?”
“นักชิมกับผีสิ เธอดูที่เขาใส่ ฉันว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์เขาอยากกินแต่ไม่ยอมจ่าย”
“ใช่ๆๆ เป็นไปได้ ฉันคิดว่ากิจการต้าสือไต้ไม่เลวเลย อาจจะเป็นคนร่วมสายงานจ้างมาหาเรื่องก็ได้”
ลูกค้าไม่น้อยเริ่มวิพากษ์วิจารณ์อยู่พักหนึ่ง แต่รวมๆ แล้วแบ่งเป็นสองฝ่าย เกินครึ่งที่บอกว่าเขาพูดซี้ซั้วล้วนเป็นคนที่เคยกินข้าวผัดจักรพรรดิมาก่อน แต่คนที่ไม่เคยกินมาก่อนส่วนใหญ่เลือกที่จะเชื่อ
พนักงานที่ยืนด้านหน้าชายคนนั้น กังวลจนตัวสั่นเล็กน้อย จะไปก็ไม่ได้ จะอยู่ก็ไม่ได้ ไม่รู้จะตอบอย่างไรอยู่ครู่หนึ่ง
ตอนนี้เอง โจวเผิงวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างไรเมื่อเกิดปัญหา หน้าที่ของผู้จัดการก็คือแก้ปัญหา
“เฮ้ย ทำไมถึงพูดมั่วๆ อย่างนี้ล่ะ นี่…นี่จะไม่ใช่ข้าวผัดจักรพรรดิได้ยังไง”
พูดตามตรง ในใจโจวเผิงก็วุ่นวาย อีกฝ่ายบอกว่าข้าวผัดจักรพรรดินี่เป็นของปลอม ความจริงแล้วเขาดีใจมาก ถึงอย่างไรถ้าหากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ซ่งจื่อเซวียนได้โชคร้ายแน่นอน แต่ถ้าเป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ก็อาจจะส่งผลกระทบต่อกิจการของต้าสือไต้
เรื่องนี้จะว่าเรื่องเล็กก็คือส่งผลกระทบต่อรายได้ของร้านอาหาร ทุกคนจะได้รับผลกระทบต่อกันเป็นทอดๆ จะว่าเรื่องใหญ่ก็คือเป็นข่าวเชิงลบในวงการอาหารซึ่งอาจจะส่งผลร้ายแรงต่อร้านอาหารร้านหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนั้น…พวกเขาทุกคนจะเผชิญกับการตกงาน
ดังนั้นตอนนี้โจวเผิงก็ทำได้เพียงยึดผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ทว่าจากถ้อยคำของเขาก็ฟังออกว่า เขาหวังให้ชายแก่คนนี้พูดว่าทำไมนี่ไม่ใช่ข้าวผัดจักรพรรดิ
แต่คำตอบของชายแก่กลับทำให้เขาหมดคำพูด…
“อะไรยังไงแม่งก็ไม่ใช่ แกรู้กับผีน่ะสิ ฉันพูดกับแกแล้วจะมีประโยชน์อะไร เรียกเชฟให้มาหาฉัน!” ชายแก่พูดพลางนั่งลงไปอีกครั้ง หยิบช้อนขึ้นมาตักเข้าปากไปคำใหญ่
ภาพนี้ทำให้ผู้คนหมดคำพูด เขาพูดว่านี่ไม่ใช่ข้าวผัดจักรพรรดิ แต่กลับกินเสียน่าอร่อย…
เห็นโจวเผิงไม่เข้าใจ ชายแก่ยัดข้าวผัดใส่ปากพลางพูด “นิ่งหาพระแสงอะไร รีบไปเรียกเชฟให้ข้าสิไป๊!”
โจวเผิงหงุดหงิด เขาจ้องชายแก่อยู่สองสามวินาทีถึงได้หันหลังเดินไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับ ใช้ให้หลัวลี่ลี่ไปเรียกตามปกติ
ไม่นานนัก ซ่งจื่อเซวียนก็เดินออกมา แต่เพิ่งจะเดินไปถึงที่โต๊ะของชายแก่ ก็รู้สึกเหมือนเคยรู้จักกับชายแก่คนนี้ เขาโค้งตัวลงมองหน้าอีกฝ่ายอย่างละเอียด ไม่นึกว่าจะเป็นคนที่เจอกันที่ตลาดโบราณคนนั้น!
“คุณเองเหรอครับ”
ชายแก่เงยหน้าขึ้นมองซ่งจื่อเซวียน สีหน้าก็แปลกใจเช่นกัน “โฮ่ ไอ้หนู ใช้ได้เลยนี่ ไม่ใช่แค่ดูของโบราณเป็น ยังทำอาหารได้ด้วยเหรอ”
“แหะๆ ดูคุณพูดสิ ข้าวผัดนี้มีตรงไหนไม่ถูกปากคุณหรือเปล่าครับ”
“ไม่ ไม่มี” ชายแก่โบกมือ “อยากจะเจอว่าคนแบบไหนทำข้าวผัดหยกทองออกมาได้แค่นั้นเอง”
ได้ยินคำพูดนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ผงะ คาดไม่ถึงว่าชายแก่คนนี้รู้จักสิ่งที่ตนเองทำด้วยว่าเป็นข้าวผัดหยกทอง
ซ่งจื่อเซวียนนั่งลงอย่างอดไม่อยู่ “ผู้อาวุโส คุณรู้จักข้าวผัดหยกทองด้วยเหรอครับ”
ชายแก่ได้ยินดังนั้นก็เชิดหน้าขึ้นหัวเราะ “ถูกต้อง ฉันยังรู้อีกด้วยนะว่าข้าวผัดจักรพรรดิไม่มีทางเทียบกับข้าวผัดหยกทองได้เลยสักนิด ข้าวผัดหยกทองน่ะมีมาตั้งแต่ยุคปลายราชวงศ์ชิง เป็นอาหารในวัง แต่ข้าวผัดจักรพรรดิน่ะยุคสาธารณรัฐ อย่างมากก็นับว่าเป็นอาหารในยุคสาธารณรัฐเท่านั้น แค่จากที่มาก็ไม่เหมือนกันแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนหรี่ตาเล็กน้อยแล้วพิจารณาชายแก่ตรงหน้าอีกครั้ง เขาพบว่าบนร่างของชายแก่มีความคล้ายฟางจิ่งจืออยู่ไม่มากก็น้อย บางทีอาจจะมีชีวิตที่โลดโผนน้อยกว่าหน่อย แต่กลับมีค่านิยมแบบเดียวกัน
จากถ้อยคำของเขา ซ่งจื่อเซวียนก็รู้สึกได้ถึงแนวคิดพื้นฐานในสมัยก่อน อีกทั้งยังแฝงความรู้เชิงลึกในบางแขนงอีกด้วย แน่นอนว่าเขาให้ความรู้สึกไม่เห็นหัวใครมากกว่าตาเฒ่าฟางบ้าง บางทีอาจจะเพราะอายุน้อยกว่าสิบกว่าปี
“อย่างนั้นคุณก็ลองพูดมาสิว่าข้าวผัดหยกทองกับข้าวผัดจักรพรรดินี่แตกต่างกันยังไง” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“แตกต่างกันยังไงเหรอ ความแตกต่างระหว่างบรรพบุรุษกับลูกหลาน ไม่มีทางเทียบกันได้เลยสักนิด”
ถึงแม้ว่าคำตอบนี้เหมือนจะไม่ได้ตอบ แต่ซ่งจื่อเซวียนก็ยังฟังความนัยออกได้ อาหารสองอย่างนี้ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันแม้แต่น้อย
“ฮ่าๆ ผมชื่อซ่งจื่อเซวียน ขอบังอาจถามผู้อาวุโส…”
“พูดได้ดี ฉันหวังเฉิงยง ไอ้หนู คราวก่อนที่ตลาดโบราณนายทำให้ฉันมองว่านายเก่งแล้วนะ วันนี้นายทำให้ฉันมองนายว่าเก่งขึ้นอีก หลายสิบปีมานี้คนที่ทำให้ฉันมองว่าเก่งได้มีไม่เยอะหรอก นายเป็นส่วนที่น้อยที่สุด” หวังเฉิงยงพูดพลางประสานหมัด
“คุณก็เกรงใจไปแล้ว ก็ด้วยคำพูดของคุณวันนี้แหละ ผมได้รับสั่งสอนแล้ว”
“ได้รับสั่งสอนก็ต้องให้ค่าเรียนด้วย อาหารมื้อนี้นายเลี้ยงไม่มีปัญหาใช่ไหม” หวังเฉิงยงพูดพลางตักข้าวผัดคำสุดท้ายเข้าปาก
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก พูดอยู่ตั้งนานแล้วให้ฉันเลี้ยงข้าวเนี่ยนะ แต่เขากลับไม่ได้รังเกียจหวังเฉิงยงคนนี้จากก้นบึ้งของหัวใจเลย ทำได้เพียงยิ้ม “ได้สิ คุณไม่ต้องกังวล มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”
“ยอดเยี่ยม ไอ้หนูอย่างนายทำดีมาก งั้นฉันไปแล้วนะ”
“ครับ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม ลุกขึ้นยืนส่งหวังเฉิงยงจากไปด้วยสายตา เดินไปที่เคาน์เตอร์ต้อนรับทันที พูดว่า “ลี่ลี่ ชายชราโต๊ะเมื่อกี้ไม่ต้องคิดเงินนะ เดี๋ยวช่วงค่ำสักหน่อยฉันจ่ายให้เขาเอง”
ซ่งจื่อเซวียนทั้งเนื้อทั้งตัวมีอยู่สามร้อยกว่าหยวน ทั้งยังเป็นเงินที่แม่ให้เขาไว้ก่อนทำงาน คราวก่อนที่ดื่มสุรากับถังหย่าฉีก็อีกฝ่ายเป็นคนจ่าย เงินบัญชีไม่ได้ขยับมาโดยตลอด ดังนั้นตอนนี้ก็มีไม่พอจ่าย ทำได้แค่หาเวลาสักครู่ออกไปกดเงินออกมา
“โอเค จริงสิ พี่จื่อเซวียน เขาเป็นอะไรกับพี่เหรอ” หลัวลี่ลี่ถามอย่างสนใจ
“หืม ฮ่าๆ ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เป็นเพื่อนล่ะมั้ง แต่เจอกันสองรอบก็ยังไม่ได้ให้ช่องทางติดต่อกันเลย”
“อะไรนะ นี่ก็เพื่อนเหรอ อย่างนั้นพี่ก็เลี้ยงข้าวเขาเหรอ”
“จะว่าไป…แค่ข้าวมื้อเดียวเอง ฮ่าๆ” ตอนที่พูดประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็เจ็บใจ ถึงแม้เขาจะรู้มาโดยตลอดว่าข้าวผัดจานละแปดเก้าเก้า แต่มาถึงตาตนเองต้องควักเนื้อออกมาจ่ายก็รู้สึกปวดตับจริงๆ
ขณะพูดคุยอยู่นั้น โจวเผิงก็เดินมา ถามว่า “เอ๊ะ ตาแก่โต๊ะนั้นเมื่อกี้จ่ายเงินหรือยัง”
“อ้อ เป็นเพื่อนของเชฟซ่งค่ะ เขาบอกว่าเขาเลี้ยงเอง”
“อะไรนะ เพื่อนเหรอ” โจวเผิงมึนงง เพื่อนคนนี้ใช้ได้จริงๆ มาแล้วก็หาเรื่องวุ่นวาย เหมือนเพื่อนของซ่งจื่อเซวียนจะไม่ปกติสักคน ไม่กุ๊ยก็ขอทาน วันนี้ตาแก่แปลกๆ ก็มาอีกคน “ให้เงินแล้วเหรอ”
“อ้อ ยังค่ะ เชฟซ่งบอกว่าเดี๋ยวให้ช่วงค่ำๆ”
“ได้ยังไง จะทำผิดกฎไม่ได้ ซ่งจื่อเซวียน นายสแกนจ่ายเลย” โจวเผิงพูดพลางชี้ไปที่คิวอาร์โค้ด
“หา?” ซ่งจื่อเซวียนมองคิวอาร์โค้ด รู้สึกตาลาย ถึงอย่างไรโทรศัพท์แบบเก่าของเขาไม่ได้มีฟังก์ชันนี้ “เอ่อ…สแกนยังไงเหรอครับ”
“ปัดโธ่ช่างเถอะค่ะ แค่เก้าร้อยหยวนเองไม่ใช่เหรอ ฉันออกให้ก่อนแล้วกัน พี่จื่อเซวียนค่อยให้ฉันตอนเลิกงานก็ได้”
“อืม”
หลัวลี่ลี่หยิบโทรศัพท์สแกนจ่ายไป โจวเผิงเดินเข้ามาใกล้ พูดว่า “ฉันว่านะลี่ลี่ เธอคงไม่ใช่ว่าเริ่มสนใจซ่งจื่อเซวียนแล้วหรอกนะ แต่นี่มันเก้าร้อยหยวนเลยนะ แต่ละเดือนเธอได้เงินเท่าไรเชียว”
“ชิ คุณสนใจทำไม ฉันยังเด็กฉันเต็มใจ ไม่เหมือนกับคุณสักหน่อยที่แบกคนทั้งครอบครัว ขี้งก”
“เธอ…”
……
เลิกงาน ซ่งจื่อเซวียนกำลังทำความสะอาดเคาน์เตอร์เตากับซางเทียนซั่ว เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เห็นว่าเป็นถังหย่าฉีโทรมา เขาก็ตื่นเต้นมาก
“ซ่งจื่อเซวียน สุดสัปดาห์วันมะรืนนี้นายพอมีเวลาไหม ตอนเย็นฉันมีงานปาร์ตี้อยากให้นายไปกับฉันด้วย นายว่ายังไง”
เผชิญหน้ากับคำเชิญชวนของถังหย่าฉี ซ่งจื่อเซวียนย่อมดีใจอยู่แล้ว แต่สำหรับธุรกิจอาหารกลับไม่มีวันได้พักผ่อน เขาใคร่ครวญ ถามว่า “อืม…กี่โมงเหรอ ทางฉันคิดว่าน่าจะต้องทำงานน่ะ”
“งั้นก็ขอไม่ไว้หน้าแล้ว ลาหยุดไปเลยให้จบๆ มะรืนนี้หกโมงเย็นที่เดรนท์ พวกเขามีอาหารใหม่มาให้ชิม ฉันคิดว่าน่าจะมีประโยชน์กับนายนะ”
ได้ยินคำพูดนี้ก็กระตุ้นความสนใจซ่งจื่อเซวียนจริงๆ สำหรับพ่อครัวแล้ว ยิ่งได้รู้จักอาหารหลากหลายสไตล์มากเท่าไรย่อมดีอยู่แล้ว เดิมเขาก็คิดจะใช้ช่วงเวลาหลังเลิกงานลองศึกษาวิธีผัดอาหารมากกว่านี้อยู่แล้ว
“อย่างนี้นี่เอง ฉันจะลองลาดู เอ่อ…เดรนท์อยู่ที่ไหนเหรอ”
“ฮ่าๆ นายรับปากก็พอแล้ว ฉันจะไปรับนายที่ร้านห้าโมงตรงเวลา พูดแล้วคืนคำไม่ได้นะ อ้อ จริงสิ จำไว้ว่าต้องใส่สูทที่ฉันเลือกให้นายชุดนั้นด้วย เป็นถึงเชฟใหญ่ก็ต้องมีมาดของเชฟใหญ่สิ”
“ก็ได้”
“ก็ได้อะไร ต้องพูดว่าได้สิ!”
“ครับๆ ได้ครับ”
หลังจากวางสาย ใจซ่งจื่อเซวียนก็ฟูฟ่อง ถึงแม้ว่าช่วงนี้จะติดต่อกับถังหย่าฉีน้อยลงบ้าง แต่กลับคิดถึงอยู่ทุกวัน นางฟ้าตัวน้อยเช่นนั้น เกรงว่าจะไม่มีผู้ชายคนไหนไม่คิดถึง
……
เวลาห้าทุ่ม
จวี้เสียนจวง ร้านอาหารเมืองตู้เหมินที่มีประวัติสี่สิบปี นับว่าเป็นร้านอาหารแนะนำของเมืองนี้
จวี้เสียนจวงมีทั้งหมดห้าชั้น ชั้นหนึ่งถึงชั้นสามเป็นร้านอาหาร ชั้นสี่เป็นโรงน้ำชา และชั้นห้าเป็นเขตสำนักงานของร้านอาหาร
ในห้องทำงานขนาดเจ็ดสิบแปดสิบตารางเมตร ควันบุหรี่ลอยอบอวล ที่โต๊ะชงชาไม้แดงกว้างหนึ่งเมตรแปดสิบเซนติเมตรมีชายคนหนึ่งอายุสี่สิบกว่าปีนั่งอยู่บนเก้าอี้เชวียนอี่[1] ยังมีชายสวมสูทสองคนยืนอยู่ด้านหลัง ชัดเจนว่าเป็นคนติดตาม
ชายคนนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกระดุมถัก ด้านนอกทับด้วยเสื้อคลุมยาวผ้าซาตินสีดำกระดุมถักแบบจีน มือซ้ายที่สวมแหวนทองคำวงใหญ่สองวงกำลังรินน้ำชา จานข้างๆ มือขวามีวอลนัตสีน้ำตาลอมแดงแวววาวกองอยู่กองหนึ่ง
จากหัวคิ้วถึงหางคิ้วยาวหนาดก ตาใต้คิ้วกลับเรียวเล็กน่าประหลาดใจ ถ้าไม่มองให้ละเอียดอาจจะคิดว่าเขาหลับอยู่ตลอดเวลา ปลายจมูกแดงมาก บนจมูกไม่รู้ว่ามีหลุมอยู่มากน้อยเท่าไร ซึ่งจุดดำๆ ในหลุมนั่นดูแล้วน่าขยะแขยงทีเดียว
เขาอ้าปากเผยให้เห็นฟันที่ไม่รู้ว่าเป็นคราบบุหรี่หรือคราบน้ำชา “โจวเผิงเอ๊ย ตอนนี้ต้าสือไต้ของพวกแกทำได้ไม่เลวเลย เพิ่งจะเปิดได้ครึ่งเดือนเมนูซิกเนเชอร์ก็เฉิดฉายแล้ว เหอะๆ ใช้ได้เลยนี่”
โจวเผิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขา ท่านั่งเก้ๆ กังๆ อย่างมาก ได้ยินดังนั้นก็เผยสีหน้าอึดอัด พูดว่า “เสี่ยซานอย่าล้อเล่นสิครับ เทียบกับจวี้เสียนจวงแล้ว ต้าสือไต้เทียบอะไรไม่ได้หรอกครับ อย่างคุณนี่ถือเป็นเสาหลักของวงการอาหารเมืองตู้เหมินไปแล้ว”
“ฮ่าๆๆ แกก็พูดเกินไป มีคนชื่นชมย่อมเป็นเสาหลัก แต่ถ้ามีคนเหยียบย่ำ…” เสี่ยซานพูดพลางยกถ้วยชาขึ้นจิบ ถึงแม้หน้าตาจะน่าเกลียด แต่ท่าทางกลับสง่างามอย่างมาก
“เสี่ยซานก็พูดไป ใครไม่รู้บ้างว่าในวงการอาหารคำพูดของคุณถือเป็นคำขาด ใครจะกล้าเหยียบย่ำคุณล่ะครับ” โจวเผิงพูด
“ไม่กล้าเหรอ ไม่แน่หรอก ข้าวผัดจักรพรรดิต้าสือไต้ของพวกนายเริ่มดังแล้ว อีกทั้งฉันคิดว่านี่ก็แค่จุดเริ่มต้น โจวเผิง แกควรรู้ไว้นะว่าวงการนี้ในเมืองตู้เหมินน่ะ…ไม่มีทางกินคนเดียวไม่แบ่งปันได้หรอก ต้องแบ่งน้ำแกงทุกถ้วยสิ…ถึงจะอยู่ยาว!”
โจวเผิงได้ยินดังนั้นก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที เสี่ยเคอซานคนนี้คิดจะปล้นอย่างโจ่งแจ้งน่ะสิ!
………………………………………………..
[1] เก้าอี้เชวียนอี่ (圈椅) เป็นเก้าอี้ที่มีลักษณะพนักพิงและที่เท้าแขนเชื่อมกันเป็นวงโค้งๆ คล้ายเกือกม้า หรือที่เรียกว่า Horseshoe Chair