เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 43 โคมไฟสีชมพูดวงน้อย
ตอนที่ 43 โคมไฟสีชมพูดวงน้อย
ความจริงแล้วโจวเผิงก็ถูกเสี่ยเคอซานถามแบบงงๆ เขาเลิกงานกำลังจะกลับ ก็ถูกลูกน้องของเสี่ยเคอซาน ‘เชิญ’ มา กระทั่งไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่ายด้วยซ้ำ แน่นอนว่าไม่ได้เตรียมตัวว่าจะตอบสนองอย่างไรเลยเช่นกัน
ถึงเสี่ยเคอซานจะไม่ได้นับว่าเป็นแนวหน้าในวงการอาหารในตู้เหมิน แต่ในเขตเฉิงซีกลับมีตำแหน่งที่สั่นคลอนไม่ได้
แรกสุดเขาเริ่มทำจากร้านเล็กๆ ก็คือระดับที่เรียกกันทั่วไปว่าร้านแผงลอยหรือร้านอาหารในซอยประเภทนั้น เรียกกันในตู้เหมินว่าร้านอาหารหมา
ในเวลาไม่กี่ปี เนื่องจากเป็นอาหารราคาถูกและไม่แพง จึงทำเป็นธุรกิจแฟรนไชส์สี่ห้าร้าน ขณะเดียวกันเสี่ยเคอซานก็มีชื่อเสียงในวงการอันธพาลไม่น้อย ด้วยความช่วยเหลือจากพี่น้องหลายทาง ถึงได้เปิดภัตตาคารขนาดกลางได้ จนถึงตอนนี้มูลค่าทรัพย์สินก็ไม่น้อยเลย
โจวเผิงครุ่นคิด ถามว่า “เสี่ยซาน แบ่งผลประโยชน์ที่คุณหมายถึงนี่…”
“เหอะๆ โจวเผิง นายเป็นคนฉลาด ทำไมถึงได้มาผิดทางขนาดนี้ ต้าสือไต้ของพวกนายกำลังโด่งดัง แต่เสี่ยเคอซานอย่างฉัน…จะอดตายแล้ว” เคอซานว่าพลางลูบผมตัวเอง
ทรงผมของเคอซานดูน่าสนใจ เขาเป็นคนอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว รอบๆ หัวโกนทั้งหมด เหลือผมไว้เพียงเจ็ดแปดเซนติเมตรพาดอยู่บนหนังศีรษะ ดูแล้วเหมือนฝากาน้ำ…
“ที่เสี่ยซานพูดนี่อดตายตรงไหนเหรอครับ ใครไม่รู้บ้างว่าอย่างน้อยคุณก็ครอบครองหนึ่งในสามของวงการอาหารตู้เหมินนี่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
ความจริงแล้วคำพูดของโจวเผิงก็โอเวอร์ไป เคอซานจะประสบความสำเร็จสักแค่ไหนก็เป็นชนชั้นรากหญ้า เทียบกับภัตตาคารใหญ่ๆ หรือร้านอาหารแฟรนไชส์ทั้งประเทศเหล่านั้นไม่ได้ แต่ถ้าไม่ได้ประจบประแจงเขาขนาดนี้ โจวเผิงก็รู้ดีว่าไม่ง่ายที่จะคุยต่อ
“ฮ่าๆๆ หนึ่งในสามก็ดี ครึ่งหนึ่งก็แล้วไป เมืองตู้เหมินมีผู้คนมากมายขนาดนั้นก็จริง ถ้าพวกเขาไปที่ต้าสือไต้ของนายหมดก็แน่นอนอยู่แล้วไม่มีใครมาที่จวี้เสียนจวงของฉันเลยน่ะสิ ถึงตอนนั้นจะไม่ร้างในชั่วข้ามคืนเหรอ”
“เอ่อ…เสี่ยซาน ต้าสือไต้ไม่ใช่กิจการของผม ผมตัดสินใจเองไม่ได้หรอกครับ” โจวเผิงพูดสีหน้าลำบากใจ
“จริงเหรอ อย่างนั้นก็ได้ นายไม่อยากจะเป็นผู้จัดการต้าสือไต้แล้ว ฉันก็จะไม่ทำให้นายลำบากใจ”
“ฮะ”
“ทุกคนอยู่ในวงการอาหาร ทำไมจะต้องสร้างภาพกับฉันด้วยล่ะ โจวเผิง ตอนนี้นายเป็นผู้จัดการของต้าสือไต้ นายกล้าพูดเหรอว่านายไม่มีอำนาจน่ะ” เคอซานยักไหล่ด้วยรอยยิ้ม
“ผม…จะพูดกับคุณอย่างเปิดเผยเลยนะครับเสี่ยซาน ผมทำงานในวงการอาหารมาหลายปีขนาดนี้ ยังเจอแบบต้าสือไต้เป็นครั้งแรก ตอนนี้ผมไม่มีอำนาจเลยจริงๆ ครับ” โจวเผิงพูด
“หืม หมายความว่ายังไง”
โจวเผิงรู้ตำแหน่งของเคอซานในเขตเฉิงซีอยู่แล้ว ไม่ใช่แค่วงการอาหารเท่านั้น ทั้งยังพอมีน้ำหนักอยู่ในโลกใต้ดินอยู่บ้าง ถ้าหากไปยั่วยุเขา อย่าว่าแต่จะไม่มีงานทำเลย ใช้ชีวิตอยู่ก็ลำบากด้วย ดังนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามไปยั่วยุเขา
และวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ย่อมเป็นผลักภาระให้คนอื่นเสีย อย่างเช่น…ซ่งจื่อเซวียน!
ข้าวผัดจักรพรรดิมาจากฝีมือของเขา และเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่อยู่ใต้อาณัติของโจวเผิง คนแบบนี้จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“เสี่ยซาน ผมก็เป็นผู้จัดการภัตตาคารมาหลายปีแล้ว ยังไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ข้าวผัดจักรพรรดิของพวกเราต้าสือไต้มีเชฟทำโดยเฉพาะ เชฟคนนี้ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของผมอย่างสิ้นเชิง กระทั่งรายชื่อก็ไม่ได้อยู่ในมือผม เวลาเลิกงานของทุกวันก็ไม่แน่นอน คิดจะไปก็ไป ทำข้าวผัดได้มากสุดแค่ยี่สิบที่ ผมไม่รู้กระทั่งว่าเขาได้เงินเดือนเท่าไรด้วยซ้ำ แต่…”
“แต่อะไร” เคอซานถาม
“แต่มีข่าวลือมาว่า เงินเดือนเขาหลายหมื่นอยู่ครับ”
“จริงเหรอ หัวหน้าเชฟของต้าสือไต้น่าจะได้เงินเดือนประมาณสองหมื่นใช่ไหม เขาจะได้สักกี่หมื่นเชียว”
“นั่นแหละครับเสี่ยซาน ตอนนี้คุณจะให้ผมทำอะไร ผมตัดสินใจเองไม่ได้หรอก เมนูซิกเนเชอร์ของต้าสือไต้ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของผมเลย น้ำแกงถ้วยนี้ของคุณ…ผมจะแบ่งยังไง”
ได้ยินคำพูดนี้ เคอซานก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เล่นป้านจื่อซา[1]ในมือ ลูบฝากา แล้วลูบผมของตนเองเบาๆ
“ดูท่าแล้ว…เรื่องนี้จัดการยากอยู่นิดหน่อย แต่อยู่กับเสี่ยซานไม่มีอะไรยากเกินไปหรอก โจวเผิง ที่นายพูดมามันเรื่องจริงเหรอ นายน่าจะรู้ว่าถ้าหลอกเสี่ยซานของนายแล้วจุดจบจะเป็นยังไงใช่ไหม”
โจวเผิงลุกขึ้นยืนอย่างห้าวหาญ พูดด้วยสีหน้าจริงใจ “เสี่ยซาน ผมพูดเรื่องจริงทุกคำ ต่อให้คุณมอบความกล้าให้ผมแปดอย่างผมก็ไม่กล้าหลอกคุณหรอก นอกเสียจากผมจะไม่อยากมีชีวิตอยู่ในตู้เหมินบนโลกนี้แล้วน่ะ”
เคอซานพยักหน้าเบาๆ “รู้ก็ดี ถึงเสี่ยซานจะใช้ชีวิตอยู่ในเขตเฉิงซี แต่เพื่อนในเมืองตู้เหมินก็ไม่นับว่าน้อย เอาอย่างนี้แล้วกัน นายบอกชื่อคนคนนั้นมา ฉันจะส่งคนไปเชิญเขา”
“เขาชื่อซ่งจื่อเซวียน บ้านก็อยู่ในเขตเฉิงซีนี่แหละครับ แต่ผมไม่แน่ใจรายละเอียดที่อยู่เท่าไร ยังไงรายชื่อเขาก็ไม่ได้อยู่ในมือผม แต่คุณจะเจอเขาในร้านได้ทุกวันครับ” โจวเผิงพูดขึ้นทันที เขาตั้งตารอสิ่งนี้มานานแล้ว ถ้าซ่งจื่อเซวียนถูกลงโทษด้วยเรื่องนี้ เถ้าแก่ก็คงไม่ตำหนิเขา
ออกมาจากจวี้เสียนจวง ในที่สุดโจวเผิงก็ถอนหายใจโล่งออกมาได้เสียที เขาเคยเจอเสี่ยเคอซานเมื่อหลายปีก่อนครั้งหนึ่ง ก็เพราะตอนนั้นผู้จัดการภัตตาคารของพวกเขาไปล่วงเกินเสี่ยเคอซานเข้า หลังจากเลิกงานก็ถูกคนทุบตีจนขาหักที่หน้าร้านอาหาร
หลังจากนั้นรถของเสี่ยเคอซานก็ขับผ่านมา มองเพียงแวบเดียวไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น ผู้จัดการคนนั้นผงะแล้วคลานไปขอโทษและขอร้องว่าให้ปล่อยเขาไป และตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา โจวเผิงก็ได้รับรู้อำนาจที่แท้จริงของเสี่ยเคอซาน เขาถึงไม่กล้ายั่วยุ
วันถัดมาทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติ โจวเผิงอยู่ที่โถงด้านหน้า แทบจะรอคนของเสี่ยเคอซานมาที่นี่อยู่ตลอด แต่รอจนถึงหัวค่ำก็ไม่เห็นใครมา
แต่วันนี้ข้าวผัดจักรพรรดิก็ไม่ได้จัดเสิร์ฟมากนัก แค่หกที่เท่านั้น ถึงอย่างไรเมนูซิกเนเชอร์ที่ราคาสูงก็ยากที่จะมีออร์เดอร์ล้นเหลือทุกวันได้
รอจนเลิกงานก็ไม่มีใครมา โจวเผิงก็กลับออกไปเหมือนอย่างเคย ในมุมของเขา เสี่ยเคอซานทำอะไรสุขุมเยือกเย็น ตอนนี้คงกำลังสืบหาซ่งจื่อเซวียนอยู่
และซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้รีบออกจากร้าน แต่รอให้คนอื่นไปให้หมดถึงเริ่มเปิดเคาน์เตอร์เตาใหม่
ถึงเขาจะทำอาหารไม่ได้มาก แต่อยู่ที่ร้านอาหารชุนเซียงมานานขนาดนั้น ก็เคยเตรียมของกึ่งสำเร็จรูปให้จางขุยมาก่อน ดังนั้นจึงถือว่ามีความเข้าใจอยู่เล็กน้อย ที่แย่ก็มีแค่ไม่เคยทำเองกับมือเท่านั้น แต่เมื่อประกอบสิ่งที่หยางต้าฉุยสอนเป็นอย่างสุดท้ายและประสบการณ์ช่วงนี้ก็ทำให้เขามีความสามารถที่จะจุดเตาลงมือทำได้
เขาก็ไม่ได้รีบร้อน เขาวางแผนไว้ว่าจะลองทำอาหารสามอย่างทุกวัน ทำอย่างละเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้วัตถุดิบที่เสียไปก็จะไม่ถูกคนตรวจพบได้ง่ายนัก
ความจริงแล้วต่อให้เขาใช้วัตถุดิบ เกรงว่าเจิ้งฮุยก็คงไม่มีความเห็นอะไร แต่เพื่อเลี่ยงเรื่องวุ่นวาย ซ่งจื่อเซวียนจึงเลือกทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจสักหน่อย ถึงอย่างไรช่วงนี้ความผิดปกติของเจิ้งฮุยก็ทำให้จิตใจเขาไม่สงบสุขอยู่บ้าง
ของกึ่งสำเร็จรูปทุกอย่างจัดเตรียมหมดแล้ว ดังนั้นไม่ถึงยี่สิบนาที ซ่งจื่อเซวียนก็ทำอาหารสามอย่างเสร็จเรียบร้อย
คีบขึ้นมาชิมดู รสชาติกลับไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ อย่าเอาไปเทียบกับข้าวผัดจักรพรรดิเลย ต่อให้เทียบกับอาหารของพวกจางขุยหรือหลี่เทา เกรงว่าจะแย่กว่ามาก
“อาจจะเพราะผสานเทคนิคไม่สมบูรณ์มากพอมั้ง หลังจากนี้ต้องฝึกฝนให้มาก”
ซ่งจื่อเซวียนห่ออาหารเรียบร้อยแล้วถึงได้ลงกลอนประตูจากไป
เป็นเวลาดึกมากแล้วจึงพลาดรถโดยสารประจำทางเที่ยวสุดท้าย แต่แน่นอนว่าซ่งจื่อเซวียนไม่คิดจะเรียกรถกลับบ้าน และเลือกจะเดินเท้ากลับแทน
เพิ่งหันหลังจะเดินไป ก็เห็นรถตู้สีเงินจอดอยู่ข้างทางไม่ไกลพร้อมกับแสงแฟลชสองครั้ง
ตอนนี้เอง ประตูข้างรถเปิดออก มีชายสองคนเดินลงมา รูปร่างชายเหล่านั้นกำยำสูงใหญ่ หน้าตาก็โหดมาก ชัดเจนว่าเดินมาหาเขาอยู่
ปฏิกิริยาแรกของซ่งจื่อเซวียนคือคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนของหลี่เจียหาว คนคนนี้ไม่ยอมจบไม่ยอมสิ้นจริงๆ
แต่วันนี้โชคไม่ดี ซ่งจื่อเซวียนให้ซางเทียนซั่วเลิกงานไปก่อน อีกทั้งคนที่มีฝีมือคนนั้นของกู่เสี่ยวเป่าก็ไม่อยู่ ดูท่าจะเจอเรื่องยากเสียแล้วจริงๆ
“ซ่งจื่อเซวียน?”
“อืม”
“เสี่ยซานอยากเจอนาย ไปกับเราหน่อย”
“เสี่ยซาน?” ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกแปลกใจกับคำเรียกนี้อยู่บ้างจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ยินสองสามคนเรียกเขาว่านายท่านรอง เสี่ยซานคนนี้…
“ไปเถอะ”
ชายฉกรรจ์คนนั้นพูด ตรงมาลากแขนเขาขึ้นรถไป
ซ่งจื่อเซวียนลอบบ่นว่าสุขทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ จึงว่าง่ายไม่ขัดขืน ตามพวกเขาขึ้นรถไป เขารู้ว่าในเวลานี้ คนบนถนนหนทางไม่ได้มีมากเท่าไร ต่อให้เขาขัดขืนไปก็ยิ่งถูกพาขึ้นรถอย่างโหดร้ายมากเท่านั้น
เนื่องจากกลางคืนขับรถง่าย ประมาณสิบนาทีรถตู้ก็จอด เปิดประตูรถออก ซ่งจื่อเซวียนเห็นแค่รถจอดที่โรงอาบน้ำที่มีคำว่า ‘โถงจือซิน’ ติดอยู่ตรงกลางประตู
โรงอาบน้ำนี่ดูแล้วไม่ได้หรูหรา บานประตูก็เก่ามาก กระทั่งมีหลุดลอกออกมาบ้างส่วนด้วย
“เข้าไปสิ” ชายฉกรรจ์พูด พาซ่งจื่อเซวียนเข้าไป
พนักงานต้อนรับเป็นหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง สวมสูทสีเทามีรอยยับ ด้านในเป็นสายเอี๊ยมสีแดง เผยเนื้อหน้าอกขาวเนียนออกมาด้านนอก แต่ในสายตาซ่งจื่อเซวียนไม่ได้มีความรู้สึกสวยงามอะไร
“มาแล้วเหรอ เสี่ยซานอาบน้ำเสร็จแล้ว ไปที่ห้องส่วนตัวได้เลย” หญิงวัยกลางคนพูด
ชายฉกรรจ์พยักหน้า พาซ่งจื่อเซวียนเข้าไปในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอาบน้ำชาย พูดว่า “ถอดเสื้อผ้าไปอาบน้ำ”
“หา? ก็ได้” ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้ถามมาก ถอดเสื้อผ้าไปอาบน้ำตามสั่ง เขาอยู่บ้านชั้นเดียวอยู่แล้ว ปกติก็ไม่ได้เรื่องมากเวลาอาบน้ำ ใช้ขันอาบน้ำไปพลางถูเนื้อตัวไปพลางทั้งนั้น ได้อาบน้ำข้างนอกก็ไม่เลวเหมือนกัน
อยู่โรงอาบน้ำก็ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าน้ำแล้ว ซ่งจื่อเซวียนล้างตัวสักหน่อย กดสบู่อาบน้ำออกมาสามปั๊มถูจนร่างกายหอมโชย ถึงได้ไปเช็ดตัว
ชายฉกรรจ์หยิบชุดคลุมอาบน้ำมาให้เขาเปลี่ยน พาเขาไปที่ห้องพักชั้นสองทันที หลังจากเดินเข้าไป ชายฉกรรจ์ก็ปิดประตูแล้วจากไป
ซ่งจื่อเซวียนไม่รู้จริงๆ ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร โดนคนที่เรียกว่าเสี่ยซานเรียกมายามวิกาล มาถึงให้อาบน้ำ จากนั้นก็ให้เข้ามาห้องพักส่วนตัว นี่แปลกไปหน่อยมั้ง
ในห้องส่วนตัวมีเพียงไฟสีแดงที่สว่างอยู่ ดูแล้วทำให้รู้สึกไม่สงบและร้อนรุ่ม ไม่นานนัก ซ่งจื่อเซวียนก็รอไม่ไหวแล้ว คิดจะออกไปลองถาม
แต่ตอนที่กำลังลุกขึ้นยืน ประตูก็เปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามา ซ่งจื่อเซวียนชะงัก ครุ่นคิดว่าเธอเดินเข้ามาผิดห้องใช่หรือไม่ แต่ใครจะรู้ว่าทันทีที่เธอเข้ามาก็ปิดประตูทันที อีกทั้งลงกลอนอีกด้วย
ดูแล้วผู้หญิงคนนี้มีอายุประมาณสามสิบปี สวมสายเดี่ยวผ้าไหมตัวสั้น ด้านใต้ของเสื้อเผยให้เห็นสิ่งที่เหมือนมันหมูล้นออกมาด้านนอก และร่างกายส่วนล่างก็เกินไปมาก ใส่มาแค่กางเกงชั้นในสีม่วง ขาสองข้างสวมถุงน่องตาข่าย
รูปร่างนี้ก็ถือว่าเซ็กซี่ แต่สวมอยู่บนร่างกายของผู้หญิงคนนี้กลับทำให้ซ่งจื่อเซวียนไม่กล้าชื่นชม ไม่เหมาะเลยจริงๆ…
“พี่ชายตัวน้อย ฮิๆ หล่อจังเลยนะ” ผู้หญิงคนนั้นพูดพลางเดินเข้ามา วางมือหนึ่งไว้ที่หน้าอกซ่งจื่อเซวียน ทั้งยังลูบไล้ลงไปข้างล่าง
“คุณ…มาผิดห้องแล้วมั้ง”
หญิงสาวป้องปากหัวเราะ “ซื่อบื้อหรือไง ถ้านายไม่ชอบฉันก็เปลี่ยนคนได้นะ แต่ว่า…ฉันชอบนายจริงๆ น่ะสิ”
พูดพลาง ผู้หญิงคนนั้นก็เลิกเสื้อตัวเองขึ้น เนื้อขาวจั๊วะก็สว่างต่อหน้าซ่งจื่อเซวียน
“ฉันบอกนายไว้เลยนะ เดี๋ยวนายก็จะได้รับรู้ความเก่งกาจของพี่สาวคนนี้แล้ว”
……………………………………………
[1] ป้านจื่อซา (紫砂壶) เป็นป้านชาที่ผลิตจากดินจื่อซา ถือเป็นป้านชาดินเผาที่คนนิยมนำมาใช้ชงชามากที่สุด