เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 46 นายหาอะไรอยู่น่ะ
ตอนที่ 46 นายหาอะไรอยู่น่ะ
ซางเทียนซั่วพูดจบ ถังหย่าฉีก็กังวลขึ้นมาทันที ถึงอย่างไรเธอก็บอกกับซ่งจื่อเซวียนไว้ตั้งแต่แรกว่านี่เป็นรถที่เรียกมาจากแอป ไม่ได้ตั้งใจหลอก เพียงแต่เธอไม่อยากเผยภูมิหลังครอบครัวต่อหน้าซ่งจื่อเซวียนจริงๆ…
บวกกับคราวก่อนทั้งสองพูดคุยร่ำสุรามีความสุขมาก เธอก็ไม่อยากให้ไต้ทงทำบรรยากาศเสีย ดังนั้น…จึงก่อให้เกิดความอึดอัดขึ้นมาตอนนี้
ซ่งจื่อเซวียนกลับไม่ค่อยรู้จักรถยี่ห้อนี้ เขามองโลโก้ที่พวงมาลัย ถามว่า “โลโก้นี่…ไม่ใช่ที่เรียกว่าซานตานา[1]ใช่ไหม”
ซางเทียนซั่วเบิกตากว้างหันหน้าไปมองซ่งจื่อเซวียน “อาจารย์ จงใจหยอกผมเล่นใช่ไหมเนี่ย”
ซ่งจื่อเซวียนมองเขา “หมายความว่าไง”
“ซานตานาอะไรกัน นี่คือโฟล์คสวาเกน แฟตันนะ ถึงจะเป็นรถสัญชาติเยอรมันทั้งคู่ แต่ราคาต่างกันอยู่”
“แล้วมันยังไงล่ะ ตอนนี้คนรวยมีเยอะแยะ ขับแฟตันเป็นรถที่เรียกในแอปก็ใช่ว่าจะเป็นไม่ได้นี่ ใช่ไหมคะคนขับ”
ไต้ทงก็เข้าใจทันที พยักหน้าหงึกหงัก “อ้อ ใช่ครับ มีเงินแต่ไม่มีที่ใช้ ขับรถเอาสนุกเฉยๆ น่ะ”
ถังหย่าฉีนับว่าค่อนข้างพอใจ เธอไม่อยากให้ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจเธอผิด บอกว่าเธอตั้งใจหลอกเขา เรื่องนั้นพูดไม่ออกจริงๆ
“ถ้างั้นก็สุดยอดเลย พี่ชายทำงานอะไรเหรอถึงได้มีเงินขนาดนี้ แถมยังมีเวลามาเป็นคนขับรถในแอปอีก”
“ผม…”
เห็นคนขับรถกระอักกระอ่วนเล็กน้อย ซ่งจื่อเซวียนพูดว่า “ซางเทียนซั่ว ทำไมนายถึงพูดมากอย่างนี้นะ ถ้านายมีปัญหามากขนาดนี้นายก็ลงจากรถไปเลยแล้วกันโอเคไหม”
“เอ่อ…ผมจะเงียบปาก ผมเงียบปากแล้ว ผมยังอยากอยู่กับอาจารย์และอาจารย์แม่นะ”
พูดจบ ซางเทียนซั่วก็ขดตัวพิงกับหน้าต่างรถ ปิดปากไม่พูดไม่จา
นั่งอยู่ด้านหลัง ถังหย่าฉียื่นมือไปดึงชายเสื้อของซ่งจื่อเซวียน “โธ่…นายอย่าให้เขาเรียกว่าอาจารย์แม่อีกได้ไหมน่ะ”
“หืม อ้อ ขอโทษด้วยนะ เขาเป็นคนแบบนี้แหละ พูดไปเรื่อยเปื่อย เธอไม่ต้องสนใจหรอก”
ถังหย่าฉีได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแหย “อืม…ฉัน ฉันเข้าใจแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนขยับเข้าไปใกล้ที่นั่งข้างคนขับ พูดว่า “ซางเทียนซั่ว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป นายห้ามพูดคำว่าอาจารย์แม่อีก ไม่อย่างนั้นนายก็ไปซะ เข้าใจไหม”
“เข้าใจแล้วครับอาจารย์” พูดพลาง เขาก็หันหน้ามามองถังหย่าฉี “อาจารย์แม่ ผมจะไม่เรียกมั่วซั่วแล้วครับ!”
บรรยากาศเสียอย่างสมบูรณ์….
เนื่องจากมาถึงช่วงพีคของมื้อเย็น ในตัวเมืองตู้เหมินพูดได้ว่ารถติดเป็นบ้าเป็นหลัง บวกกับอุบัติเหตุบนท้องถนนจุดสองจุด ทางแยกสายหนึ่งติดขัดอยู่ยี่สิบนาทีถึงครึ่งชั่วโมงจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจปกติไปได้กว่านี้แล้ว
ดังนั้นจึงขับรถเกือบหนึ่งชั่วโมงกว่าจะมาถึงที่หมาย หากเปลี่ยนเป็นตอนที่รถไม่ติด เส้นทางนี้ใช้เวลาเดินทางมากสุดก็สิบห้านาที
เดรนท์เรสเตอรองท์ตั้งอยู่ใจกลางเมือง อีกทั้งอยู่ในย่านที่คึกคักที่สุด ถึงแม้ว่าจะไม่มีระดับดาว แต่ระดับความหรูหราเทียบได้กับโรงแรมที่มีดาวทั้งหลายในตู้เหมิน
“ที่แท้ก็มาเดรนท์เหรอ เหอะๆ ไม่ได้มานานแล้วจริงๆ” ซางเทียนซั่วลงจากรถเงยหน้าขึ้นมอง พูดด้วยรอยยิ้ม
“นายเคยมาเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“เมื่อก่อนมาบ่อย แต่ตอนนี้อยู่กับอาจารย์ทุกวันเลยทำกิจกรรมอะไรอย่างอื่นน้อยลงมากแล้ว”
“สายมากแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ ยังต้องรอลิฟต์อีก” ขณะที่พูด ถังหย่าฉีก็เดินมา
เดินเข้าไปในเดรนท์ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกถึงกลิ่นของความเป็นตะวันตกอย่างเข้มข้น ผนังรอบด้านและพื้นปูด้วยหินสีอ่อนขนาดใหญ่ ตรงกลางมีหินอ่อนสีดำคั่นอยู่ มองเห็นความไม่สม่ำเสมอเล็กน้อย
ด้านบนร้านอาหารเป็นผนังสีขาว บนผนังมีภาพแกะสลักนูนสูงต่างๆ แต่จะเป็นแบบตะวันตกเสียส่วนใหญ่ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าแสดงถึงอะไร แต่ก็คงจะเป็นเทพนิยายปรัมปราโบราณของทางตะวันตกเป็นหลัก
ขณะรอลิฟต์อยู่ เสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหลัง “เอ๊ะ หย่าฉี เธอก็มาเหรอ”
ทั้งสามคนหันหน้าไปมอง เป็นผู้ชายสองคนสวมสูท คนหนึ่งสามสิบต้นๆ อีกคนประมาณยี่สิบห้ายี่สิบหก มองดูแล้วถือว่าทั้งอ่อนโยนและสุภาพ
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับมองแวบเดียวก็จำชายหนุ่มคนนั้นได้ เป็นหลี่เจียหาวนั่นเอง!
“หลี่เจียหาว? นายก็มาเหรอ ตามที่ฉันรู้ นายไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับวงการอาหารนี่นา”
“แหะๆ ไม่มีจริงๆ นั่นแหละ แต่ในเมื่อมีโอกาสได้ศึกษา ฉันก็ยังอยากลองพบปะกับผู้อาวุโสในวงการอาหารตู้เหมินดูบ้างน่ะ”
หลี่เจียหาวพูดจบ ก็มองไปที่ซ่งจื่อเซวียน แววตาดูถูกเหยียดหยามอย่างเห็นได้ชัด แต่เขาก็แปลกใจมาก ตนเองสั่งพี่เจี๋ยให้ไปสั่งสอนไอ้เด็กนี่แล้ว แต่เขากลับยังยืนอยู่ที่นี่ด้วยร่างกายครบสามสิบสองได้ หึ ดูท่าแล้วพี่เจี๋ยนั่นก็เป็นแค่เศษสวะ!
แต่เขากลับไม่ได้สังเกตว่าซางเทียนซั่วที่อยู่ข้างๆ ซ่งจื่อเซวียนกำลังจ้องเขาเขม็ง สายตาเทียบกับซ่งจื่อเซวียนที่สงบนิ่งไม่ได้ และยังแฝงอารมณ์ฉุนเฉียวอย่างเห็นได้ชัด
เดินเข้าไปในลิฟต์ ซ่งเทียนซั่วพูดเสียงเบา “อาจารย์ นี่ก็คือหลี่เจียหาวคนนั้นเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “อืม วันนี้นายอย่าไปยุ่งล่ะ”
“ไม่ต้องสนใจหรอกครับ ผมแยกแยะได้ แต่ถ้าคิดจะรังแกอาจารย์ต่อหน้าผมไม่ได้แน่นอน!” ซางเทียนซั่วพูดพลางกำหมัดจนกระดูกส่งเสียงกรอบแกรบ
ซ่งจื่อเซวียนอดกังวลไม่ได้ ถึงอย่างไรงานวันนี้ถังหย่าฉีก็ชวนเขามา ถ้าหากด้วยนิสัยของซางเทียนซั่วก่อเรื่องขึ้นมาเรื่องคงไม่จบจริงๆ แน่
เดินออกมาจากลิฟต์ ชั้นที่สิบหกของร้านอาหารเป็นห้องโถงที่มีฟังก์ชันหลากหลาย สามารถจัดงานแต่งงานขนาดสิบแปดโต๊ะขึ้นไปได้ และดำเนินงานธุรกิจใหญ่ต่างๆ ได้เช่นกัน มองไกลๆ ก็สัมผัสถึงความหรูหราของห้องโถงได้
ถังหย่าฉีพูด “จื่อเซวียน นายไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ ฉันจะรอนายในห้องโถง”
“ได้” พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็ถือสูทไปที่ห้องน้ำ และซางเทียนซั่วก็เดินตามไปด้วย
“หย่าฉี ทำไมเธอถึงอยู่กับเด็กนั่นได้ล่ะ” หลี่เจียหาวถาม
ถังหย่าฉีชำเลืองมองเขา “ดูเหมือนเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวกับนายนะ”
“นี่ฉันเป็นห่วงเธอนะ หย่าฉี พูดจริงๆ นะ เพราะช่วงนี้ฉันไม่ได้ไปหาเธอ เธอเลยโกรธฉันใช่ไหม แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ไม่ควรไปหาคนคนนั้นสิ เขาทำงานอะไรฉันรู้ดี!”
“หลี่เจียหาว นายอย่ามั่นใจตัวเองขนาดนี้ได้ไหม ทำไมฉันต้องโกรธนายด้วย อีกอย่าง…นายรู้เรื่องที่เขาทำงานอะไรได้ยังไง” ถังหย่าฉีถาม
“เรื่องนี้…เธออย่าสนใจเลย เอาเป็นว่าฉันมีวิธีของฉันแล้วกัน” หลี่เจียหาวยื่นมือไปจับแขนของถังหย่าฉีเอาไว้ พูดว่า “หย่าฉี เขาทำงานที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขาไม่คู่ควรจะไปไหนมาไหนกับเธอเลยสักนิด เธอรู้ไหมว่าฉันรู้สึกยังไงตอนที่เขายืนข้างเธอเมื่อกี้น่ะ”
“รู้สึกยังไงล่ะ”
“เจ็บเหมือนหัวใจถูกแทงเลยน่ะสิ คิดไม่ถึงว่าขยะอย่างนั้นจะยืนอยู่ข้างกายหย่าฉีของฉัน!”
ถังหย่าฉีแค่นหัวเราะ สะบัดมือของหลี่เจียหาว “อย่างแรก เขาเหมาะจะยืนข้างฉันหรือไม่มันไม่เกี่ยวกับนาย อย่างที่สอง…ฉันไม่ใช่ของของนาย กรุณาระมัดระวังความคิดของคุณด้วย อ้อ อีกอย่าง ที่นี่เป็นที่สาธารณะ คุณอย่ามาแตะเนื้อต้องตัวมั่วซั่วอีกนะคะ คุณหลี่”
ได้ยินดังนั้น หลี่เจียหาวรู้สึกเพียงว่าหน้าร้อน ที่ถังหย่าฉีปฏิเสธเขาไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
บางทีอาจจะเพราะเห็นท่าทางในกล้องวงจรปิดที่ห้างจ้งอันครั้งก่อน ถึงได้เป็นเหตุผลที่ถังหย่าฉียิ่งเกลียดเขาเข้าไปอีก
“หย่าฉี ฉัน…”
เขากำลังจะพูด มือหนึ่งก็ขวางหน้าเขาไว้ เข้ามาคั่นเขากับถังหย่าฉี
เป็นซ่งจื่อเซวียนนั่นเอง เขาก้าวไปหนึ่งก้าวยืนตรงหน้าถังหย่าฉี “หย่าฉี พวกเราไปกันเลยไหม”
ถังหย่าฉีรู้สึกเพียงเบื้องหน้าสว่างไสว โดยเฉพาะหลังจากมองหน้าตาท่าทางที่น่ารังเกียจของหลี่เจียหาวเมื่อครู่เสร็จ ยิ่งแตกต่างกันอย่างชัดเจน
“จิ๊ๆ ต่างกันจริงๆ เหมือนจะหล่อกว่าตอนที่ลองชุดคราวที่แล้วอีก ไม่เลวเลย เหมาะจริงๆ”
“หืม หล่อกว่าเหรอ ทำไมล่ะ ไม่ใช่ว่าชุดเดียวกันเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางมองสูทบนตัวอีกรอบ แต่พูดตามตรงว่าเขายังไม่ค่อยชินกับการสวมชุดสุภาพอย่างนี้จริงๆ
ถังหย่าฉีป้องปากขำ “หล่อกว่าอยู่แล้วสิ ตอนที่ลองชุดมันยังอยู่ในร้าน แต่ตอนนี้มันอยู่กับนายอย่างสมบูรณ์แล้วนี่!”
เห็นทั้งสองคนพูดคุยโต้ตอบกัน หลี่เจียหาวก็รู้สึกกรุ่นโกรธ ถังหย่าฉีเก่งเสียจริง นี่มันหยามหน้าฉันชัดๆ ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะทำแบบนี้กับฉันได้ คอยดูเถอะ!
หลังจากทั้งสองคนเดินเข้าไปในโถงใหญ่ หลี่เจียหาวที่ราวกับหลอมรวมกับอากาศไปแล้วยืนนิ่งอยู่ที่ประตู อารมณ์โกรธเกรี้ยวยากจะควบคุมได้นานแล้ว
บรรยากาศในโถงงานเลี้ยงคึกคักแล้ว สุภาพบุรุษสวมสูท และสุภาพสตรีสวมชุดราตรี แน่นอนว่ามีถังหย่าฉีที่เป็นข้อยกเว้น เธอสวมชุดสูทผู้หญิงสีขาว แต่กลับดูอ่อนเยาว์และสง่างามอย่างเห็นได้ชัด
รอบๆ โถงงานเลี้ยงจัดวางอาหารว่าง ผลไม้ ขนมและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ เอาไว้ ทุกคนรับประทานได้ตามสะดวก ตอนนี้คงจะนับว่าเป็นเวลาพูดคุยแลกเปลี่ยนกันได้ตามอัธยาศัย ยังไม่ถึงหัวข้อหลักหรือก็คือเวลาชิมอาหาร
“จื่อเซวียน นายลองชิมนี่สิว่าอร่อยไหม” ถังหย่าฉีคีบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาวางลงบนจานของซ่งจื่อเซวียน
ซ่งจื่อเซวียนชิมคำหนึ่ง “ไม่เลวเลยนะ ร้านอาหารก็หรูหราขนาดนี้ ยังไงของกินก็ต้องอร่อยอยู่แล้ว”
“นายก็ถ่อมตัวไป ฉันจะบอกนายให้นะ ถ้าตอนนี้ฉันพูดว่านายเป็นเชฟที่ทำข้าวผัดจักรพรรดิ นายเดาดูสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“หืม จะเกิดอะไรขึ้นเหรอ”
ถังหย่าฉียิ้ม “คนอย่างน้อยหกสิบเปอร์เซ็นต์ที่นี่จะเข้ามาขอช่องทางติดต่อกับนายไง”
“เวอร์ไปหรือเปล่า จะมาขอฉันทำไม”
“นายไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่เนี่ย ตอนนี้ถึงข้าวผัดจักรพรรดิจะไม่นับว่าดังพลุแตก แต่แนวโน้มนี้ก็เด่นชัดแล้ว มองไปทั่วทั้งจีนแผ่นดินใหญ่จะมีอาหารราคาสูงสักเท่าไรที่พอจะดังพลุแตกได้กันล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นนายยังขายข้าวผัดที่ราคาเทียบเท่ากุ้งล็อบสเตอร์นะ”
“แล้วนั่นมันยังไงล่ะ…ก็แค่ข้าวผัดไม่ใช่เหรอ” ซ่งจื่อเซวียนยกน้ำอัดลมขึ้นดื่ม ขณะเดียวกันก็หันไปมองรอบๆ
“จะแค่นั้นได้ยังไงกันเล่า วันนี้คนที่มาแบ่งเป็นสามประเภท ประเภทแรกน่ะนะ คือเหล่าเถ้าแก่ที่ทำธุรกิจอาหาร ประเภทที่สองคือเชฟที่มีสถานะมีชื่อเสียงของตู้เหมิน ประเภทที่สามก็เป็นประเภทอย่างหลี่เจียหาวนั่นที่มาร่วมงานกัน คนที่มาขอช่องทางติดต่อนายต้องเป็นคนสองประเภทแรกอยู่แล้ว ที่เถ้าแก่มาขอช่องทางติดต่อนายก็เพื่อหาข้อมูล แต่เชฟน่ะอาจจะอยากหลอกถามสูตรข้าวผัดนายก็ได้”
ถังหย่าฉีพูดจบก็เห็นสายตาวูบไหวของซ่งจื่อเซวียน พูดต่อว่า “ฮัลโหล นายได้ฟังที่ฉันพูดไหมเนี่ย นายมองอะไรอยู่”
“อ้อ ไม่มีอะไร เหมือนว่าจะหาซางเทียนซั่วไม่เจอแล้ว ตั้งแต่ออกมาจากห้องน้ำเจ้านี่ถือชุดของฉันแล้วเดินหายไปไหนไม่รู้” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางมองไปรอบๆ เพื่อหาต่อ
ถังหย่าฉีชี้ไปทางหนึ่งอย่างจนปัญญา “นู่น ไม่ใช่ตรงนั้นเหรอ”
มองตามนิ้วชี้ของถังหย่าฉีไป ซางเทียนซั่วกำลังดื่มเบียร์อยู่ที่มุมหนึ่ง ยกจานขึ้นมากินทันที อาหารในจานนั้นเรียกได้ว่าล้นปรี่จนแทบจะบังหน้าเขาแล้ว
อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือ ซางเทียนซั่วกินไปพลางมองไปรอบๆ เหมือนกำลังหาอะไรอยู่เช่นกัน…
เขาหัวเราะ เดินไปหา ตบไปที่ไหล่ของซางเทียนซั่วจากด้านหลังทีหนึ่ง ซางเทียนซั่วสะดุ้งจนตัวโยน จานในมือร่วงลงพื้น
“ขนาดนั้นเลยเหรอ ตกใจใหญ่โตขนาดนั้นเชียว” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ให้ตาย อาจารย์ทำผมตกใจเกือบตายแล้ว ครั้งนี้ถือว่าอาจารย์ได้ล้างแค้นแล้วนะ”
ซางเทียนซั่วพูดพลางมองไปรอบๆ เหมือนเดิม ทำให้ซ่งจื่อเซวียนงุนงง
“นายหาอะไรอยู่น่ะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
………………………………………………
[1] ซานตานา (Santana) เป็นรถซีดานขนาดกลางของยี่ห้อ Volkswagen