เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 47 ใส่ของปลอม
ตอนที่ 47 ใส่ของปลอม
ซางเทียนซั่วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองไปรอบๆ ต่อไป จู่ๆ เขาพลันเข้ามายืนหลบหลังซ่งจื่อเซวียน ทั้งยังไม่ลืมเกาะไหลซ่งจื่อเซวียนมองไปด้านหน้า
ซ่งจื่อเซวียนอดแปลกใจไม่ได้ หันหลังไปถาม “นายทำอะไรเนี่ย…”
ซางเทียนซั่วยังไม่ทันได้ตอบ ก็ได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังมาจากด้านหลังซ่งจื่อเซวียน “เทียนซั่ว ฉันก็ว่าเห็นนายแวบๆ ที่แท้ก็มาหลบอยู่นี่…”
ทันทีที่ซางเทียนซั่วได้ยินเสียงนี้ ก็เผ่นหนีชนิดที่เรียกได้ว่าเร็ว แต่ก็เพราะรวดเร็วมาก จึงไม่ได้สังเกตโต๊ะอาหารใกล้ๆ แล้วพุ่งชนเข้าอย่างจัง
เนื่องจากโต๊ะยึดอยู่กับพื้น ต่อให้ชนก็ไม่ขยับแม้แต่น้อย ซางเทียนซั่วจึงล้มลงกับพื้นทันที เขาออกแรงนวดเอวสุดแรง
“โธ่เอ๊ย บ้าจริง ชนซะเจ็บเกือบตายเลยฉัน”
ซ่งจื่อเซวียนทำหน้าไม่เข้าใจ เห็นเพียงผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาจากด้านหลัง ปรี่เข้าไปย่อตัวลงข้างๆ ซางเทียนซั่ว “เทียนซั่ว นายเป็นไงบ้าง ชนที่ตรงไหน รีบบอกฉัน เจ็บตรงไหน”
เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงักไปแล้ว ผู้หญิงคนนี้เป็นห่วงซางเทียนซั่วจริงๆ เห็นท่าทางกังวลอย่างนั้นแล้ว ดูเหมือนจะเจ็บกว่าเจ้าตัวเสียอีก
เด็กสาวคนนี้ก็ดูอายุไม่ถึงยี่สิบปี ใส่ชุดราตรีสีดำ ผิวตรงไหล่ที่เผยออกมานั้นขาวผ่อง หน้าตาไม่ได้ถือว่าน่าตกตะลึง แต่ก็ค่อนข้างสะสวย
“ไม่ ไม่เป็นไร ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้” ซางเทียนซั่วถาม
“หึ ยังจะพูดอีก ไม่ได้ติดต่อฉันนานขนาดนี้ นายอยากตายเหรอ!” พูดพลาง นัยน์ตาเด็กสาวก็น้ำตาคลอหน่วย ราวกับจะร้องไห้แล้ว
สีหน้าซางเทียนซั่วกระอักกระอ่วน “เวอร์ขนาดนั้นที่ไหนกัน พี่สาวเราหยุดล้อเล่นกันได้ไหม ฉันต้องทำงานนะ จะมีเวลาที่ไหนไปติดต่อเธอเล่า”
“ทำ ทำงานเหรอ นายล้อเล่นอะไรอยู่เนี่ย นายทำได้เหรอ ทำงานเหนื่อยไหม พระเจ้า คิดไม่ถึงเลยว่านายจะทำงาน กะทำคนอื่นให้เจ็บเจียนตายเลยหรือไง” เด็กสาวพูดพลางกอดซางเทียนซั่วแน่น ว่ากันตามจริงนี่เป็นท่าทางที่หวานชื่น แต่ดูสีหน้าซางเทียนซั่วแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงขมขื่นขนาดนั้น
“พี่สาว เธอปล่อยก่อน…เธอกอดแน่นจนฉันแทบจะอ้วกแล้ว”
ได้ยินดังนั้น เด็กสาวจึงรีบปล่อย “ฮะ จะอ้วกเหรอ มีปัญหาอะไรหรือเปล่า ห้ามขู่ฉันนะ”
ซ่งจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ ก็งงแล้ว ดูเหมือนหากใส่ใจมากขนาดนี้ก็ชวนให้รู้สึกกลัวได้ง่ายจริงๆ มิน่าล่ะซางเทียนซั่วถึงได้มีสีหน้าหวาดกลัวแบบนั้น
“โต้วซานซาน เธอเป็นบ้าไปแล้วหรือไง ฉันสัญญาอะไรกับเธอไว้เหรอถึงได้ตามฉันทุกวันแบบนี้น่ะ ฉันก็แปลกใจนะ ทำไมฉันอยู่ที่ไหนก็เจอเธอได้ตลอดเลย” ซางเทียนซั่วพูดจาเหมือนจะร้องไห้ออกมาจริงๆ มองออกว่าท่าทางนั่นแฝงความหวาดกลัวเอาไว้ด้วย
“เฮ้ย นายเป็นผู้ชายหรือเปล่าเนี่ย มีเด็กสาวมาเป็นห่วงเป็นใยนายขนาดนี้นายยังโหดกับเธออีก” คนที่พูดคือถังหย่าฉี เธอก็เดินตามซ่งจื่อเซวียนมาด้วย เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเต็มสองตา ตอนนี้จึงเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเด็กสาวที่ชื่อว่าโต้วซานซาน
“ฉัน…”
ไม่รอให้ซางเทียนซั่วพูด โต้วซานซานหันหน้าไปมองถังหย่าฉี “เธอจะตะโกนว่าเขาทำไม”
ถังหย่าฉีมึนงง เธอเหลือบมองซ่งจื่อเซวียน คนหลังก็หน้างุนงงอยู่เช่นกัน
“ฉัน…ฉันช่วยเธออยู่นะ…”
“ไม่ต้องเลย มีแค่ฉันที่ว่าเขาได้ เธอไม่มีสิทธิ์!” โต้วซานซานตะคอก
ถังหย่าฉีก็เริ่มคุมสีหน้าไม่อยู่ จึงเมินเฉยไม่สนใจ หันหลังเดินจากไป และซ่งจื่อเซวียนก็เข้าใจทันที นี่คงจะเป็นเรื่องในบ้านของซางเทียนซั่ว จึงหาโอกาสเดินจากไปเช่นกัน
ซางเทียนซั่วผ่อนลมหายใจ “เอาล่ะ โต้วซานซาน เธอทำได้แล้ว เมื่อกี้เธอตะคอกใส่อาจารย์แม่ของฉัน อาจารย์ฉันก็โกรธจนเดินไปแล้ว เธอเจ๋งจริงๆ ใจจริงของเธอคือจะมาทำให้ฉันอึดอัดใจใช่ไหม”
“ฮะ ฉันไม่รู้นี่ ถ้างั้นฉันไปขอโทษพวกเขาโอเคไหม ขอแค่นายไม่โกรธก็พอแล้ว” โต้วซานซานพูด
ซางเทียนซั่วก็ยอมแล้ว พูดว่า “ช่างเถอะ นับว่าวันนี้ฉันโชคร้าย แม่ง!”
โต้วซานซานยิ้ม โอบรอบคอของซางเทียนซั่ว “นี่ ในเมื่อนายโชคร้ายที่ฉันหาตัวนายเจออีกแล้ว ครั้งนี้ฉันจะไม่ปล่อยให้นายหนีไปไหนเลย!”
ซางเทียนซั่วพยักหน้าส่งๆ นับว่ายอมแพ้ชั่วคราว
เขาลุกขึ้นนวดเอว เดินไปทางซ่งจื่อเซวียนทันที และแน่นอนว่าโต้วซานซานก็เดินตามไม่ยอมห่างจากเขาสักนิ้วเดียว
“ใช่ เรื่องนี้ผมก็ไม่รู้จะพูดกับอาจารย์ยังไง พอดีรู้จักกันที่บาร์คราวก่อนแล้วดื่มไปเยอะ สุดท้ายก็ติดหนึบ…”
“หา? ดื่มไปเยอะแล้วนายสองคนอะไรนะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม ไม่ลืมเหลือบมองโต้วซานซานแวบหนึ่ง กลัวว่าตัวเองจะเสียงดัง
ซางเทียนซั่วชะงัก “เรื่องนี้…ผมก็ยังไม่แน่ใจจริงๆ วันนั้นดื่มไปเยอะมาก ใครจะจำได้”
ได้ยินดังนั้น ถังหย่าฉีกลอกตาใส่แรงๆ “ผู้ชายนี่มัน…เดรัจฉาน!”
ถ้อยคำนี้ทำให้ซ่งจื่อเซวียนเสียวสันหลัง แต่กลับไม่ได้ตอบอะไร ส่วนคำพูดที่ด่าเหมารวมของผู้หญิง ซ่งจื่อเซวียนก็คร้านจะตอบโต้มาแต่ไหนแต่ไร
ขณะพูดคุยกัน ชายสวมสูทคนหนึ่งเดินผ่านมา ชายคนนั้นดูแล้วอายุไม่ถึงสามสิบ เซ็ทผมสุภาพมาก เน็กไทตรงหน้าอกก็ผูกอย่างเรียบร้อย
“คุณถัง ไม่เจอกันนานเลยนะครับ วันนี้มาที่เดรนท์ของพวกเราได้ ช่างเป็นเกียรติจริงๆ” ชายคนนั้นพูดเจือรอยยิ้มจางๆ มีกาลเทศะอย่างเห็นได้ชัด
ถังหย่าฉีหันหลังไปมองชายคนนั้น “หัวหน้าเชฟเฝิง ไม่ได้เจอกันนานจริงๆ ค่ะ ช่วงนี้คุณพ่ออยู่ต่างประเทศ ฉันเลยมาแทนเขา ไม่ค่อยเป็นมืออาชีพเท่าไร คุณอย่าถือสานะคะ”
“ฮ่าๆ เกรงใจไปแล้วครับ มีการยอมรับจากตระกูลถังสิผมถึงจะวางใจ ถึงอย่างไรอาหารใหม่ก็ต้องให้คนในวงการชิม” หัวหน้าเชฟเฝิงพูด
หัวหน้าเชฟเฝิงคนนี้ชื่อว่าเฝิงกั๋วคุน แรกสุดเรียนอาหารจีน จากนั้นก็ศึกษาศาสตร์อาหารตะวักตกที่ต่างประเทศ หลังจากกลับมาก็เริ่มวิจัยอาหารที่ผสมผสานระหว่างจีนและตะวันตก นับว่าเป็นพ่อครัวที่พิเศษคนหนึ่งในวงการอาหารตู้เหมิน
ดูเหมือนคุณสมบัติและประสบการณ์จะเทียบกับเจิ้งฮุยไม่ได้ แต่มาพร้อมกับราศีของเด็กนอกจึงได้อยู่ในภัตตาคารที่มาตรฐานสูงกว่า ไม่ได้บอกว่าต้าสือไต้ระดับไม่สูงพอ แต่พูดถึงคุณสมบัติและประสบการณ์ยังตื้นเขินเกินไป ถึงอย่างไรก็เป็นภัตตาคารใหม่
“หัวหน้าเชฟเฝิง ฉันขอแนะนำให้คุณรู้จักเสียหน่อย คนนี้คือเพื่อนของฉันชื่อซ่งจื่อเซวียนค่ะ” พูดพลาง ถังหย่าฉีก็ลากซ่งจื่อเซวียนมา “จื่อเซวียน นี่คือหัวหน้าเชฟเฝิง เป็นหัวหน้าเชฟที่เดรนท์นี่”
เฝิงกั๋วคุนมองซ่งจื่อเซวียน ยื่นมือออกมาก่อน พูดว่า “คุณซ่ง สวัสดีครับ”
ซ่งจื่อเซวียนก็ยื่นมือไปจับพลางพยักหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ ไม่ได้พูดอะไร
เห็นสถานการณ์แบบนี้ เฝิงกั๋วคุนแอบรู้สึกไม่พอใจ หากไม่ใช่เพราะต้องไว้หน้าถังหย่าฉี บางทีเขาอาจจะไม่จับมือกับคนที่ไม่รู้จักคนนี้ โดยเฉพาะในสถานการณ์เช่นวันนี้ มีคนตั้งเท่าไรที่อยากทำความรู้จักกับเขาแต่ไม่มีลู่ทางน่ะ!
ขณะที่พูดคุยกัน หลี่เจียหาวเดินมาจากด้านหนึ่ง พูดกลั้วหัวเราะ “ฮ่าๆ คุณคือหัวหน้าเชฟเฝิงใช่ไหมครับ”
อารมณ์ของเฝิงกั๋วคุนยังไม่ทันจะเย็นลง เขากวาดตามองหลี่เจียหาว “ดูเหมือนว่าเราจะไม่รู้จักกันนะครับ”
เผชิญหน้ากับถ้อยคำเย็นชาของเฝิงกั๋วคุน หลี่เจียหาวกลับไม่ใส่ใจ พูดว่า “แหะๆ กระผมหลี่เจียหาว พ่อผมหลี่เยี่ยนจวินครับ!”
ได้ยินชื่อนี้ เฝิงกั๋วคุนก็ชะงัก “โอ้…ที่แท้ก็คุณชายหลี่นี่เอง ฮ่าๆๆ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นจริงๆ คุณชายหลี่นี่มีศักยภาพจริงๆนะครับ!”
เห็นสถานการณ์ ซ่งจื่อเซวียนก็แปลกใจอยู่บ้าง ดูท่าหลี่เจียหาวจะไม่ได้เป็นคุณชายทายาทเศรษฐีเปล่าๆ พ่อยังมีอำนาจอยู่ด้วยเล็กน้อย
แต่ถังหย่าฉีกลับกลอกตาใส่เขา เหมือนว่าจะมองเมิน
หลี่เยี่ยนจวิน พ่อของหลี่เจียหาวไม่ได้ทำธุรกิจในวงการอาหาร แต่ทำธุรกิจก่อสร้าง ขณะเดียวกันก็รับโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ด้วย ตอนที่เขาเคยก่อสร้างสมาคมย่านศูนย์อาหารให้ ก็ได้รู้จักกับรองประธานกรรมการของสมาคม อีกทั้งรักษาความสัมพันธ์ไว้แนบแน่นดีมาก ดังนั้นในวงการอาหารจึงมีคนไม่น้อยที่รู้จักหลี่เยี่ยนจวิน
นี่ก็คือเหตุผลว่าเหตุใดท่าทางของเฝิงกั๋วคุนจึงเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
“ชมเกินไปแล้วครับ เอ๊ะ หัวหน้าเชฟเฝิงรู้จักกับคนคนนี้ด้วยเหรอครับ” หลี่เจียหาวชี้ไปที่ซ่งจื่อเซวียน
“อ้อ…เพิ่งรู้จักครับ เพิ่งรู้จัก” เฝิงกั๋วคุนพูดด้วยรอยยิ้ม
หลี่เจียหาวส่ายหน้าพร้อมกับยิ้ม “ผมนึกว่าหัวหน้าเชฟของเดรนท์จะถือตัวกว่านี้เสียอีก แต่…เหอะๆ”
ได้ยินดังนั้น เฝิงกั๋วคุนก็ถาม “คุณชายหลี่หมายความว่ายังไงครับ”
“ไม่มีอะไรครับ เชฟตัวเล็กๆ ในร้านอาหารหมาอย่างนี้มาที่งานเลี้ยงวันนี้ได้ ผมก็ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว ดูท่าวันนี้พวกเราจะชิมอาหารต่อหน้าทุกคนในเมืองตู้เหมินสินะครับ”
“หืม” เฝิงกั๋วคุนมองไปที่ซ่งจื่อเซวียน แววตาอดเผยความดูถูกเหยียดหยามเล็กน้อยไม่ได้ “ผมไม่รู้จริงๆ ครับ ยังไงเทียบเชิญมางานผมก็ไม่ได้เป็นคนส่ง แต่…อาหารของผมก็ใช่ว่าทุกคนจะชิมได้ ชิมแล้วก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา”
ทันทีที่พูดประโยคนี้ออกมา แน่นอนว่าถังหย่าฉีรู้สึกไม่ดีแล้ว อย่างไรเธอก็เป็นคนพาซ่งจื่อเซวียนมา
“ฮ่าๆ หัวหน้าเชฟเฝิง คุณนี่ก็เปลี่ยนท่าทีเร็วเกินไปหน่อยนะ คนคนนี้เป็นใครคุณยังไม่รู้ก็ตัดสินกันขนาดนี้เลยเหรอคะ”
เธอคิดในใจ ‘ถ้าพวกนายรู้ว่าเขาคือเชฟที่ทำข้าวผัดจักรพรรดิ พวกนายจะยังกล้ามีท่าทางแบบนี้อีกไหม’
คำพูดยอดฮิตในวงการอาหาร ไม่มีใครอยากหาเรื่องเชฟชื่อดัง พอผ่านช่วงรุ่งโรจน์ของเขาไปก็ปากดี แต่พอเขาโด่งดังขึ้นมา แค่คำเดียวก็ทำให้คุณตกงานได้!
เหตุผลง่ายมาก หากตอนนี้ซ่งจื่อเซวียนได้ย้ายมาที่เดรนท์ โดยมีเงื่อนไขคือไล่เฝิงกั๋วคุนออก เชื่อได้ว่าเถ้าแก่ไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน ถึงอย่างไรกำไรที่ข้าวผัดจักรพรรดิทำออกมาได้ก็เคยถูกตรวจสอบและยืนยันมาแล้ว
“ฮ่าๆ ถังหย่าฉีอย่าล้อเล่นสิ เขาเป็นใครคนอื่นไม่รู้แต่ฉันรู้ดี” พูดพลาง หลี่เจียหาวก็จ้องไปที่ซ่งจื่อเซวียนเขม็ง “ร้านอาหารชุนเซียง ย่านเก่าเขตเฉิงซี แถมยังไม่ใช่เชฟหลัก แต่เป็นผู้ช่วยเชฟและพนักงานทั่วไป ฉันพูดถูกใช่มะ ซ่งจื่อเซวียน!”
หลี่เจียหาวพูดถ้อยคำพวกนี้ใส่ซ่งจื่อเซวียน สำหรับเขา ถังหย่าฉีอาจจะไม่รู้ เพราะไม่รู้ถึงได้ถูกไอ้เด็กนี่หลอกเอา
เป้าหมายของหลี่เจียหาวก็คือเปิดเผยในที่สาธารณะ ไม่เพียงแค่ทำให้ถังหย่าฉีเห็นธาตุแท้ของเขา ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาขายหน้าต่อหน้าทุกคน!
แต่สิ่งที่เขาคาดไม่ถึงก็คือซ่งจื่อเซวียนแค่ยิ้มน้อยๆ “ใช่ครับ คุณพูดถูก”
แม้แต่ถังหย่าฉีก็คาดไม่ถึงว่าซ่งจื่อเซวียนจะตอบแบบนี้ออกมาได้ ในมุมมองของเธอซ่งจื่อเซวียนไม่ได้อยากเป็นจุดสนใจ ตอนนี้ก็ไม่ควรจะทนแล้ว ถ้าจะไม่พูดว่าตนเองเป็นเชฟที่ทำข้าวผัดจักรพรรดิ ก็ควรจะพูดถึงเกียรติประวัติต้าสือไต้และภูมิหลังของตัวเองสักหน่อยไม่ใช่เหรอ อย่างน้อยในโลกธุรกิจอาหารปัจจุบันก็มีเกินครึ่งที่เทียบกับต้าสือไต้ไม่ได้!
“หย่าฉีเธอดูสิ เขาสารภาพแล้ว!” หลี่เจียหาวพูดพลางชี้ซ่งจื่อเซวียน
ถังหย่าฉีไม่ได้สนใจเขาเลย ถึงอย่างไรเรื่องพวกนี้เธอรู้อยู่แล้ว อีกทั้งรู้มากกว่าหลี่เจียหาวอีกด้วย
“หึ ก็ไม่รู้หรอกนะว่านายหาสูทมาจากไหน ฉันจะบอกนายให้ว่าที่นี่มีแต่คนที่มีสถานะในเมืองตู้เหมินทั้งนั้น ของก๊อปเกรดเออย่างนาย เดินมั่วซั่วเข้ามาส่งๆ ก็โดนมองออกอยู่ดี!”
เพราะเสียงพูดคุยของสามสี่คนที่คุยกันค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ สายตาคนจำนวนไม่น้อยเริ่มหันมาดูแล้ว ซ่งจื่อเซวียนจึงกลายเป็นจุดสนใจของที่นี่อย่างไม่ต้องสงสัย ในสถานการณ์อย่างนี้ คนที่สวมเสื้อผ้าปลอมอาจจะไม่มี แต่เมื่อมีคนพูดออกมา ก็อับอายขายขี้หน้าถึงที่บ้านแล้วจริงๆ ในสายตาของฝูงชนซ่งจื่อเซวียน ณ ตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น
“ของปลอมเหรอ ไม่ใช่มั้ง ใส่ของปลอมมาในที่แบบนี้เหรอ”
“เหอะๆ ไม่แปลกนี่ ใส่ของจริงไม่ไหวก็ต้องใส่ของปลอมอยู่แล้ว!”
“เป็นเด็กเป็นเล็กก็ฟุ้งเฟ้อขนาดนี้ ไม่รู้นะว่าใครเชิญมา”
“ฉันว่านะ แปดสิบเปอร์เซ็นต์เดินเข้ามาเองมั่วซั่ว ไม่ได้ยินที่คุณชายหลี่พูดหรือไงว่าเขาเป็นเชฟร้านอาหารหมาน่ะ…”
คนที่มองอยู่รอบๆ พากันวิพากษ์วิจารณ์ แต่ตอนนี้เอง จู่ๆ โต้วซานซานข้างซางเทียนซั่วก็ขึ้นเสียง “ชุดนี้ของ VERSACE ไม่ใช่ของปลอม แบรนด์นี้ฉันรู้จัก ราคาท่อนบนคงจะสองหมื่นเก้าพันแปดร้อยหยวน กางเกงราคาสองหมื่นสี่พันแปดร้อยหยวน รองเท้า…ก็หลักหมื่น”
……………………………………………