เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 5 ไพ่ความรัก
ตอนที่ 5 ไพ่ความรัก
ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนเห็นว่าคนที่เดินเข้ามาคือจางขุย จึงผ่อนลมหายใจได้จริงๆ เสียที เขานึกว่าเป็นพวกพี่หู่ที่ย้อนกลับมาเสียแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้น คืนนี้เขากับเด็กขอทานคงโดนเล่นงานเป็นแน่
“พี่จาง ทำไมพี่…”
ไม่รอให้ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ จางขุยก็ถลึงตามองเด็กขอทาน สาวเท้าเดินมาอย่างรวดเร็ว คว้าปกคอเสื้อของเด็กขอทานขึ้น ร้องด่า “ไอ้เด็กขอทานนี่ ใครให้แกเข้ามา จะเอาข้าวก็ออกไปข้างนอกสิ!”
จางขุยพูดพลางหิ้วคอเสื้อเด็กขอทานแล้วเดินออกไปข้างนอก ลากเขาออกไปทั้งอย่างนั้น
ซ่งจื่อเซวียนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่ได้เปิดปากพูด เพียงแค่มองเด็กของทานอย่างละอายใจเล็กน้อยเท่านั้น
แต่เด็กขอทานเหมือนว่าจะชินแล้ว เขาส่งยิ้มเซ่อซ่าให้กับซ่งจื่อเซวียน “ฮ่าๆ วันนี้ขอบคุณพวกพี่แล้ว ผมไปก่อนนะ!”
พูดจบ เขาก็วิ่งออกไปแล้ว จางขุยหน้าดำคล้ำหันมามองซ่งจื่อเซวียน “แกเป็นอะไร ถึงได้ให้ไอ้เด็กขอทานนั่นเข้ามา”
ขณะพูด จางขุยก็หันไปเห็นว่าบนโต๊ะมีจานเปล่าวางอยู่ “แกทำอาหารให้มันกินเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนอยากจะพูดว่าเขาทำให้หยางต้าฉุยกินต่างหาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอธิบาย เรื่องเมื่อกลางวันก็ทำให้จางขุยอับอายมากพอแล้ว เขาก็ไม่อยากจะสร้างความแตกแยกให้รุนแรงขึ้นอีก
เห็นซ่งจื่อเซวียนไม่ตอบ จางขุยก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เดินตรงเข้าไปเอากระเป๋าใบหนึ่งในครัวด้านหลังแล้วก็จากไป อย่างไรเสียเพราะการปรากฏตัวของหลินเทียนหนาน หยางต้าฉุยก็ปฏิบัติกับซ่งจื่อเซวียนไม่เหมือนเดิมแล้ว ต่อให้ปกติจางขุยจะข่มเหงรังแกเขาจนชินไปแล้ว ตอนนี้ก็พะว้าพะวังเล็กน้อย
หลังจากซ่งจื่อเซวียนล้างห้องน้ำสะอาดเรียบร้อย ก็ออกจากร้านไปเช่นกัน
ใต้แสงไฟสลัวในบ้าน มือของหยางต้าฉุยกดบนเครื่องคิดเลขไม่หยุด มองข้อมูลแต่ละอย่างที่บันทึกอยู่บนกระดาษ เขาขมวดคิ้วแน่นแล้วถอนหายใจออกมา
“ถ้าเป็นข้าวผัดจักรพรรดิจริงๆ จานหนึ่งขายแปดสิบหยวนขึ้นไปก็ไม่ใช่ปัญหาแน่นอน ถ้าเพิ่มการโปรโมตเข้าไปด้วย…” หยางต้าฉุยพึมพำกับตัวเองพลางค่อยๆ ทิ้งตัวพิงโซฟา
“เจ้ารองนี่…ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เขาก็หยิบโทรศัพท์กดเบอร์หนึ่งลงไป
“เสี่ยวเสวี่ย ลูกจะกลับมาเมื่อไร”
“พ่อ ไม่ใช่ว่าบอกพ่อไปแล้วเหรอ ลูกกับเพื่อนร่วมห้องไปปีนเขากัน อีกสองสามวันก็จะไปทะเล”
หยางต้าฉุยขมวดคิ้ว “เจ้าลูกสาวคนนี้ ปิดเทอมแล้วก็ไม่กลับมาช่วยงานที่บ้าน ในร้านมีเรื่องให้ทำตั้งเยอะตั้งแยะ ทำไมแกถึงยังทำตัวเป็นเด็กอย่างนี้นะ”
“อะไรกัน ไม่ใช่ว่าพ่ออนุญาตแล้วเหรอ”
“อนุญาตก็อนุญาต แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสถานการณ์ด้วย ช่วงนี้ที่ร้านยุ่งวุ่นวายมาก แกรีบกลับมาเร็วเข้า! น้ำเสียงของหยางต้าฉุยเข้มงวดอย่างเห็นได้ชัด
“พ่อ…พ่อไม่รักษาคำพูดเลย ลูกไม่กลับ ลูกมากับเพื่อนร่วมห้อง กลับไปตอนนี้ได้ที่ไหนกันเล่า!”
“ไม่รู้แหละ ไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้จองตั๋วรถ แล้วรีบกลับมาเดี๋ยวนี้เลย!”
พูดจบ หยางต้าฉุยก็วางสาย ส่ายหัวพูด “ตอนนี้เห็นทีคงจะมีแค่ไพ่ความรักเท่านั้นมั้งที่น่าจะได้ผล”
ลูกสาวของหยางต้าฉุยชื่อหยางเสวี่ย อายุสิบแปดปี รุ่นราวคราวเดียวกับซ่งจื่อเซวียน ตอนนี้ไปเรียนมัธยมปลายที่อื่น มีเพียงช่วงปิดเทอมฤดูหนาวเท่านั้นถึงจะกลับมาบ้าน
ตอนกลับมาคราวที่แล้ว หยางต้าฉุยก็เห็นว่าซ่งจื่อเซวียนชอบพอลูกสาวอยู่ไม่น้อย บวกกับหยางเสวี่ยหน้าตาดีมาตั้งแต่ยังเล็ก หากลองจับคู่สองคนนี้ บางที…น่าจะล่อตาล่อใจกว่าไมตรีของหลินเทียนหนานก็ได้ ถึงอย่างไรก็ยังหนุ่มยังสาว วัยคะนองกันทั้งคู่ ใช้อารมณ์ตัดสินเรื่องราวได้ง่าย
กำลังทรัพย์ของหยางต้าฉุยต่างจากหลินเทียนหนานมากโขเป็นแน่แท้ แต่ด้วยอายุของซ่งจื่อเซวียน…หยางเสวี่ยเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจมากที่สุดแน่นอน
“สาวน้อยเอ๋ย ที่พ่อทำอย่างนี้ก็เพื่อเส้นทางข้างหน้าของลูก เจ้ารองตอนนี้ทำให้ฉันต้องมองเขาใหม่เสียแล้ว”
ในลานบ้าน สายลมฤดูใบไม้ร่วงหนาวเย็นเล็กน้อย เสียงหัวเราะของสองปู่หลานทำให้สภาพแวดล้อมรอบๆ เปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น
“ฮ่าๆ ปู่ ปู่พูดจริงดิ นั่นเป็นพ่อครัวชื่อดังแห่งเมืองหลวงผู้ยิ่งใหญ่เชียวนะ ต้องทำให้พ่อครัวนิรนามรุ่นน้องอับอายขนาดนั้นเลยเหรอ”
ฟางจิ่งจือพยักหน้าพลางหัวเราะเช่นกัน พูดว่า “แน่สิ ถ้าให้ฉันพูดก็คือเจ้าเหลียงทงนั่นทำตัวเหมือนนกอินทรีหางใหญ่[1] ฉายาพ่อครัวชื่อดังแห่งเมืองหลวง ไม่ใช่ว่าทุกคนไว้หน้าเขาถึงได้เรียกอย่างนั้นเหรอ ยโสโอหังไม่เห็นหัวผู้อื่นเอาเสียเลย”
“อย่างไรเหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่ปู่ กลับกันไป๋เฟิงคนนั้นหลังจากนั้นเป็นยังไงล่ะ ชนะพ่อครัวชื่อดังแห่งเมืองหลวงก็น่าจะดังพลุแตกเลยมั้ง”
“เหอะๆ นั่นมันแน่อยู่แล้ว ตอนนั้นไป๋เฟิงเข้าตาท่านอ๋องคนหนึ่ง จากนั้นก็มีคนแนะนำให้เข้าวัง ต่อจากนั้นก็กลายเป็นพ่อครัวใหญ่ประจำห้องเครื่อง แกคิดว่าดังพลุแตกหรือเปล่าล่ะ”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็สูดลมหายใจยาว ต้องรู้ด้วยว่าสมัยก่อน พ่อครัวคนหนึ่งสามารถเข้าไปทำงานในห้องเครื่องได้ นั่นก็เป็นความรุ่งโรจน์สูงสุดแล้วจริงๆ…
“ถือว่าโชคดีมากแล้ว แข่งขันครั้งเดียวก็ประสบความสำเร็จไปทั้งชีวิต เป็นเพราะโชคชะตาวาสนาเหรอ”
“ไม่ใช่อยู่แล้ว ใครจะมีโชคชะตาวาสนาอย่างนั้นได้เล่า ตั้งแต่ทักษะการใช้มีดไปจนถึงเทคนิคการปรุงอาหารของไป๋เฟิงไร้ที่ติ ที่สำคัญที่สุดก็คือกระทะเหล็กเย็นใบนั้น ไอ้หนู แกเคยได้ยินเรื่องกระทะเหล็กเย็นไหม”
ซ่งจื่อเซวียนอดหัวเราะไม่ได้ “เอาอีกแล้วนะปู่ ยังมีกระทะเหล็กเย็นอะไรอีก…ปู่จะบอกว่าไป๋เฟิงคนนี้ผัดสิบแปดครั้งปราบมังกรได้เหรอ”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะหนักกว่าเดิม ต้องพูดเลยว่า ตาเฒ่าฟางอายุอานามก็มากแล้ว เรื่องเล่าบางเรื่องพูดออกมาก็ทำให้คนฟังรู้สึกสนุกสนาน แต่บางเรื่องเล่าก็ไร้สาระจริงๆ แล้วเหล็กเย็นอะไรนี่ก็ต้องในนิยายจอมยุทธ์เท่านั้นแหละถึงจะมี
ฟางจิ่งจือชะงักก่อนจะขมวดคิ้วทันที “เด็กอย่างแกจะไปเข้าใจอะไรเล่า จะฟังเรื่องเล่าก็ฟังไป ไม่ฟังก็ไสหัวไป ”
ซ่งจื่อเซวียนแค่คิดว่าปู่ของตนแก่จนเลอะเลือนแล้ว ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เลี่ยงไม่ให้ชายชราอารมณ์เสีย แต่ไม่นานนักเขาก็นึกถึงคำพูดของชายชราที่พูดเมื่อครั้งที่แล้ว…
เดิมเขาไม่เชื่อเรื่องกำลังภายในของชายชราที่พูดครั้งก่อน แต่ถ้ายึดตามวิธีผัดข้าวตามสูตรอาหารกลับรู้สึกถึงลมปราณสายหนึ่งกำลังส่งเสริมเขาอย่างชัดเจน คิดถึงตรงนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
“ปู่ ปู่ว่า…มีกระทะเหล็กเย็นจริงๆ เหรอ”
“แกก็เพ้อเจ้อ! ตอนนั้นคนทั่วไปไม่เข้าใจอยู่แล้ว แต่ในวงการพ่อครัวกลับตื่นตระหนกกันไปหมด ถึงเหลียงทงจะแพ้โชคชะตาวาสนาของไป๋เฟิง แต่กลับนึกถึงกระทะเหล็กเย็นนั่นได้ ตอนนั้นไป๋เฟิงเป็นที่สนใจพอดี อีกทั้งท่านอ๋องยังให้ความสำคัญ เหลียงทงถึงไม่กล้าลงมือทำอะไร”
ซ่งจื่อเซวียนยิ่งฟังก็รู้สึกว่ายิ่งมหัศจรรย์ รีบถามต่อว่า “แล้วหลังจากนั้นล่ะ ไป๋เฟิงส่งกระทะให้รุ่นหลังเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก เหลียงทงแค่ไม่ลงมือชั่วคราวเท่านั้น” ฟางจิ่งจือส่ายหน้าเบาๆ พูดต่ออย่างช้าเนิบว่า
“แม้ว่าเขาจะไม่มีกำลังมากพอ แต่กลับเอาเรื่องที่ไป๋เฟิงมีกระทะเหล็กเย็นไว้ในครอบครองป่าวประกาศไปทั่วหล้า ดึงดูดนักล่าสมบัติมาไม่น้อยเลย”
“หา ป่าวประกาศไปทั่วหล้าเลยเหรอ ปู่ ถ้าตามที่ปู่พูดนี่ต้องเป็นเรื่องในวงการพ่อครัวสิ ทำไมถึงสร้างแรงกระเพื่อมใหญ่ขนาดนั้นได้ล่ะ”
“แกจะเข้าใจอะไร ตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน ไม่มีวงการพ่อครัว วงการอาหาร วงการของเลิศรสที่แท้จริงหรอก สิ่งเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับโลกใต้ดินทั้งนั้น ตอนนั้นหลานปังลวี่ของปลายราชวงศ์ชิงส่งคนมาล่าสมบัติก่อน ทั้งโลกใต้ดินกระทั่งราชวงศ์ก็ได้รับผลกระทบหมด”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าน้อยๆ “นี่ก็อาจเป็นได้ การปกครองช่วงปลายราชวงศ์ชิงวุ่นวาย กำลังอยู่ในช่วงระส่ำระสายพอดี ถ้างั้น…เขาทำสำเร็จไหม”
ฟางจิ่งจือส่ายหน้า “เหอะๆ ไม่เพียงแค่เจ้าหัวขโมยเหลียนทงนั่นใช้ประโยชน์จากความวุ่นวาย ร่วมมือกับชินอ๋อง[2]คนหนึ่งลอบสังหารไป๋เฟิงจนได้กระทะเหล็กเย็นมา หลังจากนั้นก็ได้ยินมาว่าขายให้คนฝรั่งเศสไป”
“ขายให้พวกต่างชาติไปแล้ว? ปู่ นี่นับว่าเป็นอาชญากรรมแล้วนะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างมีน้ำโหเล็กน้อย
ซ่งจื่อเซวียนอ่านหนังสือโบราณที่บ้านของฟางจิ่งจือตั้งแต่ยังเล็ก ไม่เพียงแต่พัฒนาความรู้ด้านวัฒนธรรมในระดับหนึ่งเท่านั้น ยังมีมุมมองของตนเองต่อเรื่องสมบัติล้ำค่าของจีนแผ่นดินใหญ่ ยิ่งทนไม่ได้ที่สมบัติล้ำค่าในประเทศของตัวเองไปอยู่ในมือของต่างชาติ
“หลานเอ๊ย คำพูดนี้นับว่าถูกต้องแล้ว แม้คนเราจะขาดแคลนทุนทรัพย์เพียงใด แต่จะเอาของที่บรรพบุรุษเราทิ้งไว้ไปขายให้ต่างชาติไม่ได้!” ระหว่างที่ฟางจิ่งจือพูด สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา ดวงตาที่ปกติหรี่เล็กก็เบิกกว้างอย่างหาได้ยาก
ปู่หลานคุยกันอีกสักพัก ซ่งจื่อเซวียนก็บอกให้ปู่เข้าห้องไปพักผ่อน อย่างไรก็เข้าฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศค่อนข้างเย็นเล็กน้อย
ด้วยฤทธิ์ของสุราฟางจิ่งจือจึงหลับไปอย่างรวดเร็ว ส่วนซ่งจื่อเซวียนกำลังอ่านสูตรอาหารอยู่ข้างๆ
ทว่าครั้งนี้กลับไม่ราบรื่นเท่าไร เขาอ่านเนื้อหาที่เกี่ยวกับการผัดข้าวอีกครั้ง แต่เนื้อหาหลังๆ กลับเข้าใจยากอยู่บ้าง จุดที่สำคัญที่สุดก็คือเขาอ่านตัวอักษรออกทั้งหมด แต่กลับไม่เข้าใจความหมายของมันเลย
เห็นฟางจิ่งจือหลับสนิท คงไม่ดีถ้าเขาจะปลุกขึ้นมาสอบถาม จึงปิดหนังสือเก็บเข้าที่และกลับบ้านเสียเลย
ซ่งจื่อเซวียนคิดถึงเนื้อหาสูตรอาหารเหล่านั้นตลอดทาง ยังอยากใคร่ครวญให้ละเอียด แต่ก็ไม่มีอะไรคืบหน้า ขณะกำลังเข้าบ้านก็ได้กลิ่นอาหารลอยมา
ซ่งจื่อเซวียนก็เคยชินแล้ว ไม่ว่าทุกวันนี้จะกลับบ้านดึกแค่ไหน แม่ก็มักจะรอเขากลับบ้าน อีกทั้งอาหารบนโต๊ะก็หอมเย้ายวนเสมอ
“แม่ วันนี้ดึกขนาดนี้แล้วแม่ยังไม่รีบพักผ่อนอีกนะ” ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าประตูไปก็พูดขึ้น
หานหรงผู้เป็นแม่หันหน้ามองซ่งจื่อเซวียน พูดว่า “แกยังไม่กลับบ้านฉันจะหลับลงได้ไง เร็ว ไปล้างมือแล้วมากินข้าว”
หานหรงเป็นแม่บ้าน แต่ภูมิหลังกลับต่างจากตอนนี้ เธอมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี ไม่สนเสียงคัดค้านของครอบครัว เพื่อจะคบหากับพ่อของซ่งจื่อเซวียน ถึงขั้นตัดความสัมพันธ์กับทางบ้านไปแล้ว
ต่อมา หานหรงอยากดูแลลูกและสามี จึงมุ่งมั่นตั้งใจเป็นแม่บ้าน แต่คิดไม่ถึงว่าสามีจะหายตัวไปกะทันหัน ทิ้งภาระหนักหน่วงไว้ให้เธอ ไม่เพียงแต่ต้องหาเลี้ยงที่บ้านด้วยการรับจ้างรายวัน ยังต้องดูแลซ่งจื่อเซวียนที่เพิ่งเกิดด้วย แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่เคยขอความช่วยเหลือจากบ้านเดิมของตัวเอง
ร่างกายของแม่ ย่อมอยู่ในสายตาลูก โดยเฉพาะพี่สาวอย่างซ่งอีหนานที่เป็นห่วงแม่มากเป็นพิเศษ แต่ขณะเดียวกันกลับเลิกเกลียดชังพ่อไม่ได้
ล้างมือเสร็จ มองอาหารบนโต๊ะ ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มยิงฟัน “แหะๆ แม่ เป็นของที่ลูกชอบหมดเลยนี่”
หานหรงชำเลืองมองเขา “กินเถอะ เจ้ารอง ช่วงนี้ร่างกายคุณปู่เป็นยังไงบ้าง”
“แข็งแรงดีนะ นี่ลูกก็เพิ่งคุยกับปู่มา” ซ่งจื่อเซวียนเขี่ยข้าวพลางพูด
“แต่ปู่อายุมากแล้ว บางทีก็เลอะเลือน”
หานหรงป้องปากหัวเราะ “แกก็ดูออกใช่ไหมล่ะ ฉันจะบอกอะไรให้นะ เอาอกเอาใจคนแก่หน่อย อยู่ละแวกนี้มานานขนาดนี้แล้ว เขาก็ดีกับครอบครัวเราอยู่”
“เอาน่า แม่วางใจเถอะ ลูกรู้อยู่แล้ว จริงสิแม่ พี่เป็นไงบ้าง โทรมาหรือยัง”
“อืม บอกว่าตอนอยู่ที่หลานหยวนดูใจกับคนคนหนึ่งอยู่ พอใช้ได้ ฉันคิดว่าผ่านช่วงนี้ไปจะไปดูเสียหน่อย”
“แม่จะไปทำไม ถ้าพี่มีแฟนแล้ว ต้องให้เขาพามาให้แม่ดูสิถึงจะถูก!” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างตั้งใจ ตั้งแต่เล็กๆ ก็โตมากับแม่ ซ่งจื่อเซวียนก็รู้จุดนี้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ต้องปกป้องแม่ไว้ก่อน
“แม่รู้ว่าแกคิดยังไง แต่ฉันลางานไม่กี่วัน ก็ไม่เกิดเรื่องอะไรนี่? พวกเขายังเด็ก ฉันไปดูพวกเขาเสียหน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย” หานหรงยิ้มบางพลางมองซ่งจื่อเซวียน รอยยิ้มบนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรักลึกซึ้ง
ซ่งจื่อเซวียนก้มหน้าเล็กน้อย “แม่ ลูกไม่ได้เรื่องเอง ว่ากันตามอายุแม่แล้วควรจะพักผ่อน…”
ได้ยินดังนั้น หานหรงก็ยิ้มอย่างปลื้มใจ แต่ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ลูบหัวลูกชาย
เงียบอยู่ครู่หนึ่ง เสียงเคาะประตูช้าเนิบก็ดังขึ้น เห็นได้ชัดว่ามีมารยาทมาก
สองแม่ลูกมองตากัน ในสายตาเผยแววประหลาดใจอยู่บ้าง นั่นเพราะ…ปกติก็ไม่มีใครแวะเวียนมาที่บ้าน โดยเฉพาะตอนดึกขนาดนี้
………………………………………..
[1] นกอินทรีหางใหญ่ (大尾巴鹰) เปรียบเปรยถึงคนที่คิดว่าตัวเองเก่ง หยิ่งยโส
[2] ชินอ๋อง เป็นตำแหน่งเชื้อพระวงศ์ลำดับที่ 1 โดยส่วนมากจะเป็นโอรส พระเชษฐา หรือพระอนุชาของจักรพรรดิ มีศักดิ์รองจากตำแหน่งรัชทายาท