เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 51 ลองรู้จักกันใหม่
ตอนที่ 51 ลองรู้จักกันใหม่
เคอหงเทายกแก้วสุราขึ้นจิบ พูดว่า “คนของจ้งอัน…เหอะๆ น่าสนใจ ต้าลี่ นายคิดว่าต้าสือไต้เป็นธุรกิจภายใต้จ้งอันหรือเปล่า”
“เอ่อ…เสี่ยครับ เรื่องนี้ผมไม่รู้”
“เหอะๆ นายไม่รู้ อย่างนั้นเสี่ยจะบอกนาย ไม่มีทาง เพราะว่าจ้งอันเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ใช่แค่นี้ยังมีห้างสรรพสินค้าอีก ต่อให้พวกเขาจะทำธุรกิจอาหาร เกรงว่าก็คงจะขนาดประมาณเดรนท์ คงไม่ใช่ต้าสือไต้ เพราะงั้น…นี่ก็คงจะเป็นธุรกิจของซุนโส่วเหวิน”
“เสี่ยหมายความว่า…”
“ในเมื่อเป็นคนของจ้งอัน พวกเราพยายามไม่ไปยั่วยุดีกว่า แต่ซ่งจื่อเซวียนนั่น…ฉันยังต้องไปมาหาสู่เขาอยู่” เคอหงเทาพูด
“แต่ว่า…เสี่ยครับ วันนี้ยังมีอีกเรื่อง เสี่ยสั่งให้ผมไปงานเลี้ยงชิมอาหารเมนูใหม่ที่เดรนท์นั่นใช่ไหมครับ วันนี้ผมไปมาแล้ว เสี่ยเดาดูสิครับว่าผมเจอใคร”
เคอหงเทาขมวดคิ้ว “เสี่ยซานไม่ชอบอ้อมค้อม พูดออกมาตรงๆ”
“ซ่งจื่อเซวียนน่ะสิครับ!”
“อะไรนะ เขาก็ไปเหรอ ดูท่าครั้งนี้ก็เชิญต้าสือไต้ด้วยแฮะ”
“ไม่ใช่หรอกครับ อาหารใหม่ของเดรนท์ชื่อว่าบะหมี่นึ่งจักรพรรดิ เห็นกันอยู่ทนโท่ว่าเลียนแบบข้าวผัดจักรพรรดิ พวกเขาจะเชิญคนของต้าสือไต้ไปทำไมกัน นี่คงจะเป็นเส้นสายของซ่งจื่อเซวียนเอง เจ้าเด็กนี่…คงจะไม่ได้ธรรมดาขนาดนั้น” ต้าลี่พูด
เคอหงเทาพยักหน้าน้อยๆ ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง พูดว่า “ธรรมดาไม่ธรรมดาเสี่ยเองก็พอดูออก ไม่ได้พบปะพูดคุยดูย่อมดูไม่ออกอยู่แล้ว ต้าลี่ พรุ่งนี้นายไปต้าสือไต้กับฉันสักรอบนะ พอดีเสี่ยซานยังไม่เคยได้ชิมข้าวผัดไข่นั่นเลย”
“เสี่ยหมายถึงข้าวผัดจักรพรรดิเหรอครับ”
“ฮะ ฮ่าๆๆ ใช่ ข้าวผัดจักรพรรดิ…ฮ่าๆๆ…”
หลายคนในนั้นก็หัวเราะกันขึ้นมา
……………….
กลางดึก ซ่งจื่อเซวียนนอนหลับไม่ลง อ่านหนังสือสูตรอาหารช่วงนี้ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย โดยเฉพาะวันนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นที่เดรนท์ฉายอยู่ในสมองอย่างต่อเนื่อง เขาแทบจะไม่มีสมาธิ
ในช่วงนี้ เขารับซางเทียนซั่วเข้ามา ข้ามผ่านเรื่องหลี่เทา เจิ้งฮุยและโจวเผิง จากนั้นได้เปิดหูเปิดตากับเสี่ยเคอซาน และวันนี้ก็ได้เจอกับท่านเป้ยเล่อแห่งปักกิ่งอีก สิ่งเหล่านี้เหมือนกับสิ่งที่ตาเฒ่าเคยพูดไว้ตอนนั้น วงการอาหาร…เดิมก็เป็นยุทธภพแห่งหนึ่ง
โดยเฉพาะท่านเป้ยเล่อคนนี้ ทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก อายุยังน้อยก็อยู่ในจุดสูงสุดของวงการอาหาร แม้แต่ภัตตาคารอย่างเดรนท์ยังต้องก้มหัวให้เขา
วงการอาหารนี้น่าสนใจจริงๆ ความจริงแล้วจุดประสงค์ที่ซ่งจื่อเซวียนเข้าวงการนี้ตอนแรกนั้นง่ายมาก นั่นก็คือหวังจะให้แม่มีชีวิตที่ดีขึ้น แต่ตอนนี้…เขาพลันได้พบว่าความอยากรู้อยากเห็นเรื่องยุทธภพนี่เหมือนกำลังดึงดูดเขาอยู่
……………
กิจการวันถัดมานับว่าแปลกประหลาดอยู่บ้าง การค้าขายของภัตตาคารดูปกติเหลือเกิน แต่ทันทีที่ถึงตอนกลางวันข้าวผัดจักรพรรดิก็ขายหมดแล้ว ยังไม่ถึงเวลาบ่ายโมงก็เสิร์ฟออกไปยี่สิบที่แล้ว
จะว่าไปก็เลิกงานได้แล้ว แต่เพราะยังเช้าอยู่ ซ่งจื่อเซวียนก็เกรงใจ ถึงอย่างไรเมื่อวานก็เพิ่งลางาน วันนี้จะอย่างไรก็ต้องอยู่นานสักหน่อย
ซางเทียนซั่วเก็บกวาดเคาน์เตอร์เตาจนสะอาดก็เดินไปข้างๆ ซ่งจื่อเซวียน พูดว่า “อาจารย์ วันนี้ขายดิบขายดีขนาดนี้ น่าจะเกี่ยวกับเรื่องเมื่อวานหรือเปล่า”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า พูดว่า “ใช่ เดรนท์วุ่นวายขนาดนั้น ทำเรื่องของตนเองไม่สำเร็จ แต่กลับเป็นการโฆษณาให้ข้าวผัดจักรพรรดิอีกด้วยเสียรอบหนึ่ง”
พูดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนคิดในใจว่า ถ้าหากตนเดาไม่ผิดล่ะก็…อีกไม่นานหลินเทียนหนานจะต้องมาคุยกับตนเองแน่ ในไม่ช้าก็เร็วยี่สิบที่นี้ก็จะไม่พอเติมเต็มความกระหายของเขา
แต่จากใจจริงซ่งจื่อเซวียนไม่คิดจะตอบตกลงเขา ต่อให้เงินเดือนแปดหมื่นหยวนจะไม่ใช่เรื่องโกหก แต่ตนเองก็สร้างกำไรที่สูงกว่าให้เขาได้จริงๆ อีกทั้งตั้งแต่คุณซุนมาคราวนั้น เจิ้งฮุยก็มาเฝ้าเขาทำข้าวผัดจักรพรรดิแทบทุกจาน สำหรับเรื่องนี้แม้ว่าซ่งจื่อเซวียนจะไม่พูด แต่ก็รู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว
พูดถึงสิ่งที่เจิ้งฮุยทำทั้งหมดให้ดีสักหน่อยคือการสังเกตการณ์ ถ้าพูดหยาบๆ ก็คือครูพักลักจำ นี่คือข้อห้ามของวงการอาหาร!
ในวงการอาหารมีกฎกฎหนึ่งที่ไม่มีลายลักษณ์อักษร นั่นก็คือตอนพ่อครัวทำสูตรอาหารลับ เพื่อนร่วมวงการไม่สามารถเข้ามาใกล้โดยเด็ดขาด มิฉะนั้นจะถือเป็นการลักขโมย!
แน่นอนว่าเจิ้งฮุยเข้าใจจุดนี้ แต่เขายังคงทำแบบนี้อยู่ เหตุผลง่ายมาก นั่นก็คือคุณซุนกำชับมา และเมื่อเพ่งเล็งที่จุดนี้ ซ่งจื่อเซวียนไม่มีทางเชื่อว่านี่เป็นความคิดของตัวคุณซุนเองอย่างแน่นอน คงจะเป็นหลินเทียนหนาน!
แต่สาเหตุที่หลินเทียนหนานทำขนาดนี้…ก็วิเคราะห์ได้ไม่ยาก ซ่งจื่อเซวียนทำข้าวผัดแค่ยี่สิบที่ต่อวันเขาไม่มีทางพอใจแน่นอน ดังนั้นเขาจึงเลี้ยงดูคนที่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ในครัวด้านหลัง ให้เขาลักลอบศึกษา พอเรียนจนทำได้แล้วก็จะเตะซ่งจื่อเซวียนออกไปแน่!
ถึงแม้ซ่งจื่อเซวียนจะไม่ได้พูด แต่ในใจราวกับกระจ่างแจ้ง ในมุมมองของเขา เพียงแค่หลินเทียนหนานไม่ได้ขัดขวางเขาก็ถือว่ามีบุญคุณกับเขาเรียบร้อยแล้ว อย่างไรหลินเทียนหนานก็เปลี่ยนแปลงชีวิตของครอบครัวเขา
“จริงสิ อาจารย์ เมื่อไรอาจารย์จะสอนผมล่ะ” ซางเทียนซั่วถาม
คำถามนี้ทำซ่งจื่อเซวียนผงะ ที่จริงเขาเริ่มหัดทำอาหารผัดอย่างอื่นแล้ว แต่รสชาตินั้นไม่น่าพอใจจริงๆ ถ้าหากสอนซางเทียนซั่วก็เหมือนกับผิดต่อลูกศิษย์เนื่องจากตัวครูไม่มีความสามารถที่จะสอนได้
เขารีบเบี่ยงประเด็น “ที่ว่าจะสอนน่ะสอนอยู่แล้ว แต่ว่า…จริงสิ เมื่อวานพอนายออกจากเดรนท์ก็ไปเลย ไปไหนมาล่ะ คงไม่ใช่ว่า…”
“ไม่ใช่สักหน่อย อาจารย์คิดไปไหนน่ะ ผมไม่ได้สนใจผู้หญิงคนนั้นเลย”
“แล้วนายก็ยังไปกับเขาเหรอ แต่ฉันว่านะ โต้วซานซานคนนั้นรักนายเข้าเต็มเปาเลยนะ” ซ่งจื่อเซวียนอดพูดล้อเลียนไม่ได้
ซางเทียนซั่วหัวเราะเยาะ “ถ้าอย่างนั้นผู้หญิงคนนั้นก็เป็นบ้าไปแล้ว อาจารย์ ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้นอนกับเธอแน่นอน!”
พรืด!
“นายรู้สึกงั้นเหรอ เรื่องนี้ยังต้องรู้สึกอีกเหรอ”
“ก็มันดูเป็นแบบนั้น แต่อาจารย์คิดดูนะ วันนั้นผมดื่มเยอะไปจริงๆ จำอะไรไม่ได้เลย อาจารย์คิดว่าผมดื่มจนกลายเป็นแบบนั้น…ยังจะทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง”
ฟังประโยคนี้ซ่งจื่อเซวียนก็พยักหน้า “เหมือนว่าจะมีเหตุผลอยู่หน่อยๆ งั้นตอนนี้เธอก็โกหกนายน่ะสิ เธอบอกว่านายนอนกับเธอเหรอ”
“เอ่อ…ก็ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เธอเกาะติดผมมากเกินไป ไม่ง่ายเลยนะกว่าผมจะเลี่ยงเธอออกมาได้ช่วงหนึ่งน่ะ ใครจะไปรู้ว่าจะเจอเธอที่เดรนท์เมื่อวานอีก”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า “งั้นก็ไม่มีทางแก้แล้ว นี่เป็นเรื่องของตัวนายเอง จริงสิเทียนซั่ว เมื่อวานตอนอยู่ในเดรนท์ฉันเห็นนายหลบๆ ซ่อนๆ ตลอด แต่หลังจากเจอกับโต้วซานซานแล้วก็ยังเป็นอยู่ นาย…กำลังหลบใครอยู่กันแน่”
ได้ยินดังนั้น ซางเทียนซั่วก็เผยรอยยิ้มแหยๆ “อาจารย์ บอกตรงๆ เลยนะ จะเดรนท์ก็ดี หรือจะสถานบันเทิงอื่นๆ ในเมืองตู้เหมิน ผมไปมาเยอะเกินไปแล้ว ผมถึงไม่อยากจะทักทายคนคุ้นเคยพวกนั้นน่ะ จะได้ไม่ต้องเจอเรื่องยุ่งยาก”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า อย่างนี้นี่เอง ด้วยพื้นฐานครอบครัวนับว่าซางเทียนซั่วเป็นทายาทเศรษฐีรุ่นที่สอง แน่นอนว่าย่อมมีประสบการณ์ด้านนี้มากกว่าตนเองอยู่แล้ว อย่างน้อยเมื่อวานก็เป็นครั้งแรกที่เขาไปที่เดรนท์
ขณะที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน ก็เห็นหลัวลี่ลี่วิ่งเข้ามาในครัวด้านหลัง พูดว่า “ซ่ง ซ่งจื่อเซวียน นาย…”
เห็นท่าทางหลัวลี่ลี่ทุลักทุเลอยู่บ้าง ซางเทียนซั่วจึงรีบเข้าไปใกล้ “คนสวย มีอะไรเหรอ เธอค่อยๆ พูดสิ”
พูดพลาง เขาก็ยื่นมือไปยังหน้าอกของหลัวลี่ลี่ “เดี๋ยวฉันจะช่วยเธอปรับสมดุลเอง”
“ไสหัวไปเลยไป” หลัวลี่ลี่กลอกตาใส่เขาอย่างแรง พูดว่า “เชฟซ่ง นายทำข้าวผัดเพิ่มอีกที่ได้ไหม”
“หืม ไม่ได้อยู่แล้วสิ ข้าวผัดจักรพรรดิจะจัดเสิร์ฟแค่ยี่สิบที่ต่อวันเท่านั้น ไม่ได้เป็นอย่างนี้มาตลอดหรอกเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“แต่ว่า…โธ่เอ๊ย แหกกฎได้ไหม”
“ไม่ได้!” ซ่งจื่อเซวียนพูดยืนยัน
หลัวลี่ลี่อดเบะปากไม่ได้ ซ่งจื่อเซวียนจึงถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ใครอยากจะสั่งล่ะ เพื่อนของเธอเหรอ”
“ไม่ใช่หรอก ด้านนอกมากันสองสามคน เข้ามาก็จะเอาแค่ข้าวผัดจักรพรรดิที่หนึ่งโดยไม่ดูเมนูเลย ฉันบอกว่าวันนี้ขายหมดแล้ว แต่พวกเขายังยืนยันจะสั่ง อีกทั้ง…” หลัวลี่ลี่กัดริมฝีปากเบาๆ สีหน้าลำบากใจ “อีกทั้งดูแล้วพวกเขาไม่ใช่เล่นๆ ท่าทางไม่ควรเข้าไปยุ่งเอามากๆ”
“ไม่ควรเข้าไปยุ่งเหรอ มาเพื่อก่อความวุ่นวายหรือเปล่า โจวเผิงไปไหนล่ะ” ซางเทียนซั่วถาม
“ตอนนี้ผู้จัดการไม่อยู่ ฉันถึงไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงนี่ไง…”
ซ่งจื่อเซวียนขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างครุ่นคิด เดินไปที่เคาน์เตอร์ส่งอาหารทันที มองจากช่องทางส่งอาหารไปยังโถงด้านหน้า ก็อดใจกระตุกไม่ได้
ที่แท้ก็เสี่ยเคอซาน!
พวกเขามาถึงที่เลยเหรอเนี่ย เดิมคิดว่าพวกเขาจะอ่อนน้อมเพราะภูมิหลังของต้าสือไต้ซะอีก ตอนนี้ดูท่าแล้ว ถ้าไม่ใช่พวกเขายังไม่ได้สืบก็ไม่หวาดกลัวหลินเทียนหนาน แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ท่าทางวันนี้ก็ยังต้องเผชิญหน้า
“ช่างเถอะลี่ลี่ เธอไม่ต้องสนใจ ฉันจะไปคุยกับพวกเขาเอง!”
ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางเดินออกไปข้างนอก ซางเทียนซั่วก็เร่งสาวเท้าตามไป
เดินไปถึงโต๊ะที่เสี่ยเคอซานนั่ง ซ่งจื่อเซวียนประสานหมัดค้อมคารวะก่อน “เสี่ยซาน เป็นเกียรติที่ได้พบหน้าเสี่ยนะครับ”
ได้ยินดังนั้น เคอหงเทาหันหน้ามามองแวบหนึ่ง ขณะเดียวกันก็ประสานหมัดเช่นกัน นี่นับว่าเป็นกฎเกณฑ์ในยุทธภพ คนเขาคารวะแล้ว ไม่ตอบกลับก็คือไม่รู้ความ!
“พูดได้ดี ซ่งจื่อเซวียน สองวันก่อนเสี่ยซานบอกว่าจะมากินข้าวผัดจักรพรรดิของนาย ยังไงกันล่ะ ฉันได้ยินมาว่า…วันนี้ขายหมดแล้วเหรอ” เคอหงเทาถามพร้อมเลิกคิ้ว
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มบางๆ “ใช่ครับ เสี่ยซาน วันนี้ขายหมดแล้ว”
“ฮ่าๆๆ บังเอิญจริง วันนี้เสี่ยซานอยากกินสักคำ แต่ฉันยังกล้ามั่นใจว่านายจะต้องแหกกฎนี่เพื่อเสี่ยซานแน่!” เคอหงเทาพูดพลางหมุนกระดุมข้อมือ สีหน้ามั่นใจเสียเต็มประดา
“โธ่ เสี่ยซานพูดแบบนี้ช่างเป็นเกียรติกับผมจริงๆ แต่กฎนี้น่ะ…แหกไม่ได้จริงๆ ครับ!”
พูดประโยคจบ เจ้าหัวโล้นต้าลี่ที่ยืนข้างๆ เคอหงเทาก็ลุกขึ้นยืนคว้าคอเสื้อของซ่งจื่อเซวียน “ไอ้เด็กเวร พูดว่าอะไรนะ ไม่ไว้หน้าเสี่ยซานเลยแบบนี้ แกคงใช้ชีวิตจนขยาดแล้วสินะ!”
เพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นซางเทียนซั่วปรี่เข้ามา ดึงข้อมือของต้าลี่เอาไว้ ตะคอกว่า “แม่มันเถอะ ปล่อยมือ ไม่อย่างนั้นฉันจะจัดการแกให้พิการเลย!”
ต้าลี่แค่นหัวเราะ พลิกมือสัมผัสไปที่จุดสำคัญของซางเทียนซั่ว กดนิ้วหัวแม่โป้งลงไปอย่างแรง สีหน้าซางเทียนซั่วเปลี่ยนไปทันทีด้วยพลังอันแข็งแกร่ง
ซางเทียนซั่วเป็นคนมุทะลุอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเก่งสุดๆ แต่พละกำลังของต้าลี่เหมือนจะเยอะเกินไป เห็นได้ชัดว่าเขารับมือไม่ไหวอยู่บ้าง
เห็นเพียงซางเทียนซั่วดึงมือกลับมาอย่างดุดัน ยกแขนขึ้นคิดจะซัดออกไป ตอนนี้เอง ซ่งจื่อเซวียนก็ยกมือขึ้น “เทียนซั่ว พอแล้ว!”
“อาจารย์ เขา…”
“เหอะๆ เสี่ยซาน ผมคิดว่าวันนี้คุณจะกินหรือไม่กินข้าวผัดก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญมากนัก ที่คุณมานี่…คงไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ใช่ไหม”
ได้ยินดังนั้น เคอหงเทาก็แค่นหัวเราะ “ถูกต้อง ซ่งจื่อเซวียน เด็กอย่างนายน่ะฉลาด ที่เสี่ยซานมาวันนี้น่ะ…ความจริงแล้วนายน่าจะรู้ดี พวกเราก็อย่าพูดอ้อมค้อมกันเลย เอาสูตรข้าวผัดจักรพรรดิมาให้ฉันซะ!”
“โอ้โห เสี่ยซานนี่ก็เสี่ยซานจริงๆ ผมทำงานที่ต้าสือไต้อยู่ดีๆ พอคุณมา เอ่ยปากทีผมก็ต้องทำตาม เป็นแบบนี้ใช่ไหม” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ไอ้หนู คราวก่อนเรื่องที่ควรคุยพวกเราก็คุยกันไปแล้ว อย่ามาแกล้งโง่ที่นี่หน่อยเลย พูดดีๆ จะให้ไม่ให้”
ซ่งจื่อเซวียนมองเคอหงเทา หรี่ตาลงเล็กน้อย “เสี่ยซาน คุณก็บอกผมหน่อย ให้แล้วยังไง ไม่ให้แล้วยังไงเหรอครับ”
เคอหงเทาชะงักค้าง เชิดหน้าขึ้นมองซ่งจื่อเซวียนทันที “ซ่งจื่อเซวียน นายนี่กล้าดีจริงๆ นายเป็นคนแรกที่กล้าพูดจาแบบนี้กับเสี่ยซาน ได้ เสี่ยซานก็จะบอกนายว่า ถ้าให้สูตรนี่ล่ะก็…ไม่ใช่แค่นายจะได้เป็นเพื่อนกับเสี่ยซาน จวี้เสียนจวงของฉันก็จะเป็นของนายส่วนหนึ่ง แต่ถ้าไม่ให้ล่ะก็…ฉันคงต้องสั่งสอนให้นายได้ลองรู้จักเสี่ยซานของนายใหม่แล้ว”
ขณะที่พูด เคอหงเทาก็ถลึงตาทั้งสองข้าง กระทั่งแววตาข่มขวัญยังเหนือกว่าคำพูดใดๆ เสียอีก!
…………………………………………………