เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 52 เวลาสามวัน
ตอนที่ 52 เวลาสามวัน
ซ่งจื่อเซวียนจ้องมองเคอหงเทาตรงๆ เหมือนกับครั้งก่อน แม้ว่าสายตาของอีกฝ่ายจะคมกริบ แต่เขากลับไม่คิดจะหลบเลี่ยงเลยสักนิด
เขารู้อำนาจของเคอหงเทาดี อีกทั้งเมื่อครู่ที่ซางเทียนซั่วปะทะกับต้าลี่ก็สู้อีกฝ่ายไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้จะแข็งข้อไม่ได้แน่นอน ทำได้แค่หาวิธีประวิงเวลาออกไปชั่วคราว
“ที่เสี่ยซานพูดผมเข้าใจ พูดตรงๆ ก็คือ…ไม่ให้ก็ต้องให้เหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถามพลางยิ้มเผล่ พยายามผ่อนคลายบรรยากาศ
“เหอะๆ ถ้านายเข้าใจขนาดนี้…เสี่ยซานอย่างฉันก็ไม่มีความเห็น” เคอหงเทาพูดพลางลูบหัวทรงฝากาของตนเอง “แต่เสี่ยซานใช่ว่าจะไม่เข้าใจกฎนะ ขอเพียงแค่จวี้เสียนจวงของฉันทำข้าวผัดจักรพรรดิของจริงออกมาได้สักที่ ฉันให้นายได้หนึ่งแสน เป็นยังไง”
หนึ่งแสน? ถ้าเป็นเมื่อก่อน ซ่งจื่อเซวียนคงคิดว่านี่คือจำนวนเงินมหาศาล แต่ตอนนี้…ไม่ใช่แค่ตนเองได้เงินเดือนเดือนละแปดหมื่นหยวน เห็นรายได้ของต้าสือไต้แล้ว เขาก็ไม่คิดว่าหนึ่งแสนเป็นเงินที่จำนวนสูงเสียดฟ้าอีก!
“หนึ่งแสน…ไม่ใช่น้อยๆ เลยจริงๆ เอางี้ล่ะกันครับเสี่ยซาน พูดแบบไม่หมกเม็ดเลย ข้าวผัดจักรพรรดินี่…ผมเซ็นสัญญาเก็บเป็นความลับไว้กับต้าสือไต้ ถ้าปล่อยสูตรออกไปแบบนี้ เกรงว่าผมจะต้องรับผิดชอบผลที่ตามมาน่ะสิ”
ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ เคอหงเทาก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “นายหมายความว่ายังไง”
“เสี่ยซาน เสี่ยให้เวลาผมสักสามวันสิ ผมก็ต้องคิดหาวิธีเหมือนกัน เสี่ยคิดว่าไงล่ะ”
สายตาที่มองซ่งจื่อเซวียนมีแววยินยอม เคอหงเทายิ้ม “ไม่มีปัญหา งั้นฉันจะให้เวลานายอีกสามวัน แต่ว่านะไอ้หนู นายต้องจำไว้ให้ดี เสี่ยซานไม่ได้มีความอดทนมากขนาดนั้น นี่คือสามวันสุดท้าย!”
เคอหงเทาพูดพลางยกมือชูสามนิ้ว เป็นการยืนยันกับซ่งจื่อเซวียนว่าเขาจะรอแค่สามวัน
“ไม่มีปัญหาครับ เสี่ยซานวางใจได้ หลังจากนี้สามวันผมให้คำตอบคุณแน่นอน”
เคอหงเทาพยักหน้า ลุกขึ้นยืนทันทีแล้วพูดว่า “ได้ งั้นพวกฉันไปละ ถึงตอนนั้นกินข้าวผัดนี่ที่จวี้เสียนจวงของฉัน รสชาติน่าจะดียิ่งกว่า!”
พูดจบ เคอหงเทาก็พาลูกน้องจากไป
“อาจารย์…คิดจะให้เขาจริงๆ เหรอ นั่นเป็นสูตรข้าวผัดจักรพรรดิเลยนะ” ซางเทียนซั่วถาม
ซ่งจื่อเซวียนเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “แล้วทำไงได้ล่ะ พวกเขาเป็นยังไงนายก็น่าจะเห็นแล้ว”
“แม่ง เมื่อกี้อาจารย์ไม่น่าห้ามผมเลย ผมจะมีเรื่องกับไอ้นั่นสักยกก็ถูกแล้ว!” ซางเทียนซั่วถอนหายใจอย่างแรง
“เมื่อกี้นายก็ไม่ได้ลงมือกับเขาหรือไง ถ้าฉันไม่ห้ามไว้ ฉันก็กลัวว่านายจะเจ็บตัวเอาน่ะสิ ช่างเถอะ เลิกงานกันก่อน ฉันจะกลับไปพักสักหน่อย”
พูดพลาง ซ่งจื่อเซวียนก็เดินกลับไปที่ครัวด้านหลัง ซางเทียนซั่วรีบสาวเท้าตามไป พูดว่า “ไม่อย่างนั้นเอาอย่างนี้ไหมล่ะ อาจารย์ ผมยังมีพวกน้องๆ สองสามคน ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าจะซัดไอ้อ้วนคนเมื่อกี้ไม่ได้!”
“นายพอเหอะน่า เสี่ยเคอซานเป็นคนยังไงฉันรู้ดี ถ้าคิดจะใช้ไม้แข็งกับเขา นั่นเป็นการหาเหาใส่หัวล้วนๆ เลย เอาล่ะ นายอย่าตามฉันมาเลย ฉันเตรียมจะเลิกงานแล้ว”
ทั้งสองคนพูดคุยกันพลางเดินเข้าไปในครัวด้านหลัง แต่ตอนนี้เองในรถคันหนึ่งด้านนอกต้าสือไต้ โจวเผิงที่เห็นเรื่องด้านในทั้งหมดก็ยกยิ้มอย่างพออกพอใจออกมาทันที สูบบุหรี่ในมือเฮือกสุดท้าย ทิ้งลงบนพื้น แล้วเดินกลับไปในภัตตาคาร
หลังจากเลิกงาน ซางเทียนซั่วเป็นห่วงซ่งจื่อเซวียนจึงตามเขากลับเขตเมืองเก่าตลอดทาง ซ่งจื่อเซวียนก็ไม่ได้พูดอะไร เขารู้ว่าคนคนนี้ไม่มีทางสลัดหลุด ถึงปล่อยให้อีกฝ่ายตามมา
ขณะกำลังเดินทอดน่อง ก็ได้ยินเสียงเสียงหนึ่งดังมาจากข้างทาง “เอ๊ะ เจ้ารอง ทำไมกลับมาเร็วขนาดนี้ล่ะ นายเลิกงานแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนหันหน้าไปมอง คนที่พูดเป็นหยางต้าฉุยนั่นเอง ช่วงนี้เขาออกแต่เช้ากลับมืดค่ำ จึงไม่ได้เจอกับคนที่ร้านอาหารชุนเซียงเลย
“อ้อ เถ้าแก่ ผมเพิ่งเลิกงานน่ะ แหะๆ ที่ร้านไม่ได้ยุ่งอยู่ใช่ไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนถามอย่างสุภาพ
“ไม่หรอก ใช่ว่านายจะไม่รู้สักหน่อยว่าเวลานี้ในร้านเราไม่ยุ่ง เข้ามากินน้ำกินท่าสักหน่อยมา”
ซ่งจื่อเซวียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าแล้วเดินเข้าไป ความจริงแล้วเดิมเขาว่าจะกลับไปลองคิดดูว่าจะทำยังไงดี แต่พอเจอเข้ากับคำเชื้อเชิญของเถ้าแก่คนเก่าคนนี้ก็ปฏิเสธไม่ลง
เดินเข้ามาในร้านมองไปรอบๆ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกสนิทสนมชิดเชื้อขึ้นมาชั่วขณะ เทียบกับความหรูหราของต้าสือไต้แล้ว ร้านอาหารชุนเซียงมีความติดดินและสบายใจมากกว่า หากโยนเรื่องเงินเดือนแปดหมื่นทิ้งไป ที่จริงแล้วซ่งจื่อเซวียนชอบบรรยากาศที่นี่มากกว่า
เมื่อเห็นว่าซ่งจื่อเซวียนมา พนักงานสองสามคนกับครัวด้านหลังก็เข้ามาห้อมล้อม ถามนั่นถามนี่ ถึงอย่างไรอยู่ด้วยกันมาเป็นปีๆ จะมากจะน้อยยังไงก็ผูกพันอยู่บ้าง
“เจ้ารอง ที่ต้าสือไต้นั่นยุ่งไหม เทียบกับเราทางนี้แล้วยุ่งกว่ามากใช่หรือเปล่า” จางขุยพูดพลางรินน้ำร้อนใส่แก้วให้ซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่ว
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะรังแกซ่งจื่อเซวียนอยู่บ่อย แต่ไม่เจอนานมากแล้วกลับยังสนิทสนมอยู่บ้าง ประกอบกับสถานะของซ่งจื่อเซวียนตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว กลายเป็นพ่อครัวในภัตตาคารใหญ่ ท่าทางของเขาย่อมเปลี่ยนไปเช่นกัน
“พอได้ครับอาจาง ความจริงแล้วห้องครัวมันใหญ่น่ะ ผมก็ไม่ได้ยุ่งมาก” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หยางต้าฉุยพูดกลั้วหัวเราะ “ไม่ยุ่งยังไงเล่า นายคิดว่าภัตตาคารใหญ่นั่นเหมือนกับร้านอาหารของเราหรือไง นายทำอาหารจนโง่เง่าไปแล้วหรือเปล่า”
เขาพูดจบ คนอื่นๆ ก็หัวเราะออกมากันหมด จางขุยกลับรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เกาท้ายทอยยิ้มเผล่ออกมาทันที
แต่หยางต้าฉุยสังเกตเห็น ทุกคนร่าเริงกันมาก รวมถึงซางเทียนซั่วก็หัวเราะจนตัวสั่น แต่ซ่งจื่อเซวียน…กลับเพียงยิ้มมุมปากเล็กน้อย ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
“เจ้ารอง เป็นอะไร มีเรื่องในใจเหรอ” หยางต้าฉุยถาม
“หืม ปะ เปล่า…” ซ่งจื่อเซวียนตอบ
หยางต้าฉุยยิ้มเล็กน้อย “ยังจะพูดว่าเปล่าอีกเหรอ แกเนี่ยนะ ยังเด็กอยู่เลย เรื่องในใจถึงได้แปะอยู่บนหน้า ลองคุยกับฉันได้นะ มีเรื่องอะไรยากๆ ใช่ไหม”
“อาจารย์ของฉันโดนคนข่มขู่น่ะ ชื่อว่าเสี่ยเคอซาน บังคับเขาให้เอาสูตรข้าวผัดจักรพรรดิออกมาน่ะสิ!” ไม่รอให้ซ่งจื่อเซวียนเปิดปาก ซางเทียนซั่วก็ชิงพูดก่อน
“หุบปาก นายก็พูดมาก!” ซ่งจื่อเซวียนไม่ได้จะปิดบัง เพียงแต่เขาคิดว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องเอาเรื่องลำบากใจของตัวเองไปเล่าให้คนอื่นฟัง โดยเฉพาะคนที่ร้านอาหารชุนเซียง พวกเขาซื่อกันขนาดนี้ ถ้าเกิดว่าวงการอาหารเป็นยุทธภพแห่งหนึ่ง อย่างนั้นที่นี่จะต้องเป็นดินแดนในอุดมคติแน่นอน
“เสี่ยเคอซานเหรอ” หยางต้าฉุยชะงัก แน่นอนว่าเขารู้จักเสี่ยเคอซานคนนี้อยู่แล้ว “แกไปยั่วยุเขาได้ยังไงน่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มจางๆ “เถ้าแก่รู้จักเขาเหรอครับ ถ้าเถ้าแก่รู้ก็น่าจะเข้าใจว่าเรื่องบางเรื่องพวกเราไม่ได้ไปยั่วยุใคร เขาก็มาถึงหน้าประตูบ้านได้เหมือนกัน”
“ฉันว่าเสี่ยเคอซานนั่นเห็นว่าพวกเจ้ารองโด่งดัง ถึงได้คิดจะมาแย่งกำไรส่วนหนึ่งอย่างโจ่งครึ่ม!” จางขุยพูด
หยางต้าฉุยพยักหน้า “ก็ตีความได้แค่นี้แหละ เจ้ารอง แก…ให้เขาไปแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า ถอนหายใจ
“อาจารย์ของฉันรับปากไปแล้ว แต่เขาขอเวลาสามวันเพื่อพิจารณาเป็นครั้งสุดท้าย” ซางเทียนซั่วพูด
“อย่างนั้นก็มีเวลาอีกสามวัน ก็ไม่แน่ว่าจะเลวร้ายขนาดนั้นนี่!” จางขุยพูด
“หืม คุณน้าท่านนี้มีวิธีเหรอครับ” ซางเทียนซั่วถาม
หยางต้าฉุยกลอกต้าใส่จางขุยหนึ่งที “แกไม่มีหนทางก็อย่าพูดไปเรื่อย เจ้ารองกำลังสับสนอยู่นะ”
“ใคร…ใครว่าฉันไม่มีหนทางล่ะ ที่จริงนี่ไม่ใช่เรื่องอาหารแล้ว เคอซานก็คือคนในโลกใต้ดิน เกิดเรื่องแบบนี้ในเมืองตู้เหมินก็ต้องไปหาเสี่ยปาสิ”
“เสี่ยปาเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วถามออกมาพร้อมกัน
หยางต้าฉุยขมวดคิ้วเล็กน้อย ลูดลมหายใจลึก “เสี่ยปา…เฉิงปา…”
“เฉิงปาเป็นใครครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“ในวงการใต้ดินเมืองตู้เหมินมีคนไม่น้อยที่มีภูมิหลัง แต่ถ้าเกี่ยวกับวงการอาหาร ตะวันออกมีเฉิงปา ตะวันตกมีเคอซาน เรื่องนี้ไม่ผิดแน่” หยางต้าฉุยพูด
“ถ้าไปหาเฉิงปาจะแก้ปัญหาได้เหรอ อย่างนั้นเราไปหาเขากันเถอะ!” ซางเทียนซั่วพูด
จางขุยลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “ฉันมีคนหนึ่งที่รู้จักกับเสี่ยปาพอดีเลย ไม่อย่างนั้นให้ฉันจะแนะนำพวกนายให้ไหม”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็ยกมือขึ้น “ไม่ต้องหรอกครับ ตอนนี้ยังมีเวลาสามวัน ไม่ต้องถึงขั้นนั้น ถ้าเกิดไปหาเฉิงปาแล้วเรียกปัญหาใหม่มาอีก จะรับมือไม่ไหวเข้าจริงๆ ผมว่า…ลองคิดหาวิธีอื่นดูเถอะ”
หยางต้าฉุยก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน “ใช่ ฟังที่เจ้ารองพูดเถอะ ถ้าไม่มีวิธีจัดการจริงๆ ก็ไม่ต้องไปหาเฉิงปาหรอก ถึงยังไงก็เป็นวงการใต้ดินกันทั้งนั้นนะ พวกเราแตะต้องให้น้อยไว้ดีกว่า เจ้ารอง แกนี่เติบโตขึ้นแล้ว”
ซ่งจื่อเซวียนยิ้มเล็กน้อย สายตาแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้ง
คุยกันอีกสักพัก ซ่งจื่อเซวียนกับซางเทียนซั่วก็จากไป
“อาจารย์ ที่จริงผมคิดว่า…ไปหาเฉิงปานั่นอาจจะเป็นหนทางหนึ่ง เสี่ยเคอซานเป็นคนในวงการใต้ดิน ทำได้แค่หาคนในวงการใต้ดินมาจัดการเท่านั้น”
“แต่นายเคยคิดว่าพวกเราต้องจ่ายค่าตอบแทนอะไรบ้างไหมล่ะ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
“อย่างมากก็…ให้เงินพวกเขาสักหน่อยล่ะมั้ง” ซางเทียนซั่วตอบ
ใจซ่งจื่อเซวียนก็ว้าวุ่นเหมือนกัน เขารู้อยู่ดีว่าหลังจากนี้สามวันเคอหงเทามาหาเขาแน่ ตอนนี้ถ้าหาคนมาสะสางเรื่องนี้ได้ก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่เขาก็กลัวว่าจะมีเรื่องเข้ามาไม่หยุดหย่อนน่ะสิ อย่างนั้นก็มีแต่ยิ่งวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น
“เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันจะติดต่อหลินเทียนหนานสักหน่อย ฉันคิดว่า…นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้ว”
กลับถึงบ้าน ซ่งจื่อเซวียนนั่งครุ่นคิดบนเตียงอยู่นาน หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรไปหาหลินเทียนหนาน
“ฮ่าๆ น้องซ่ง ว่างโทรหาฉันเวลานี้ได้ แสดงว่าวันนี้ขายได้ยี่สิบที่ล่ะสิ”
ความจริงแล้วรายได้จากข้าวผัดยี่สิบที่ไม่ได้ทำให้หลินเทียนหนานตื่นเต้นขนาดนั้นหรอก สำหรับเขาต่อให้เดือนหนึ่งจะมีรายได้ห้าแสนกว่าหยวนก็ไม่ได้นับว่าเป็นอะไรเลย แต่การผลักดันเมนูซิกเนเชอร์ให้สำเร็จได้กลับเป็นสิ่งที่ทำให้เขาตื่นเต้น ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นรากฐานของเขาที่ทำให้เขายืนอยู่ในวงการอาหารได้
“ครับ ประธานหลิน ตอนนี้คุณมีเวลาพูดคุยสักหน่อยไหมครับ”
“ฉัน…มีสิ อีกเดี๋ยวฉันมีงานเลี้ยงน่ะ แต่ยังมีเวลาว่างสิบนาที”
คนรวยก็แบบนี้ เงินยิ่งเยอะเรื่องยิ่งแยะ เวลาว่างแทบทุกวันนับได้แค่หลักนาทีเท่านั้น
“นั่นเพียงพอแล้วครับ ผมจะเล่าย่อๆ แล้วกัน ประธานหลินครับ เนื่องจากตอนนี้การวางจำหน่ายข้าวผัดจักรพรรดิประสบความสำเร็จมาก ในเมืองตู้เหมินเริ่มมีคนมาติดต่อผมแล้ว”
“โอ้ น้องชาย ที่นายพูดถึงนี่…เป็นใครกัน”
“คุณรู้จักเสี่ยเคอซานไหมครับ” ซ่งจื่อเซวียนถาม
หลินเทียนหนานนิ่งเงียบไปสองสามวินาที พูดว่า “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย น้องชายก็รู้ว่าฉันไม่ได้อยู่ในเมืองตู้เหมินทุกวัน อีกทั้งใช่ว่าจะติดต่อกับใครก็ได้น่ะ”
“ครับ ผมเข้าใจ เสี่ยเคอซานคือคนที่มีอำนาจมากในวงการอาหารเมืองตู้เหมิน และ…อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับวงการใต้ดินอยู่บ้างด้วย ตอนนี้เขามาหาผมหวังให้ผมไปทำงานกับเขาครับ”
พูดประโยคนี้จบ หลินเทียนหนานก็ชะงัก ถึงอย่างไรการโยกย้ายงานมาวงการอาหารก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ แต่ถ้าซ่งจื่อเซวียนถูกชิงตัวไปในขั้นแรกนี้…พูดได้ว่าต้าสือไต้ล้มลงในพริบตา
แต่หลินเทียนหนานก็เป็นคนมีประสบการณ์ชีวิตโชกโชน เขาชะงักไปสักครู่ และคิดถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือซ่งจื่อเซวียนสร้างเรื่องหลอกนี้มาขอเพิ่มเงินเดือน อาจจะเป็นไปได้!
“น้องชาย ฉันอยากจะลองฟังสิ่งที่นายจะสื่อสักหน่อย”
“ผมยินดีที่จะอยู่ที่ต้าสือไต้แน่นอน แต่เสี่ยเคอซานมาข่มขู่ผมแล้วว่าถ้าออกจากต้าสือไต้ไม่ได้ ก็ต้องเอาสูตรข้าวผัดจักรพรรดิให้พวกเขา เพราะงั้น…ประธานหลิน ผมว่าผมต้องการความช่วยเหลือจากคุณ!”
หลินเทียนหนานใคร่ครวญ “ฉันเข้าใจสิ่งที่นายว่าแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกันน้องซ่ง นายรอฉันพิจารณาดูสักหน่อย เป็นยังไง”
“อะไรนะครับ พิจารณาอะไร พวกเขาให้เวลาผมแค่สามวัน” ซ่งจื่อเซวียนถลึงตาโต เห็นได้ชัดว่าเริ่มมีน้ำโหบ้างแล้ว
…………………………………………….