เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 53 ไปหาเฉิงปา
ตอนที่ 53 ไปหาเฉิงปา
ที่ซ่งจื่อเซวียนโกรธแน่นอนว่าเป็นเพราะท่าทางของหลินเทียนหนาน ตอนนี้คุณช่วยได้หรือไม่ได้แค่พูดออกมาสักประโยคเท่านั่น แต่ตอนนี้คุณกลับพูดขึ้นมาว่าจะคิดดูก่อน เห็นได้ชัดว่ากำลังต่อรองกับซ่งจื่อเซวียน
ถ้าซ่งจื่อเซวียนตอบรับเงื่อนไข หลินเทียนหนานก็จะยอมออกหน้า แต่ถ้าไม่ตอบรับ…เขาก็จะปฏิเสธ
ความรู้สึกถูกควบคุมแบบนี้ ทำเอาซ่งจื่อเซวียนโกรธจนถึงขีดสุด ถึงอย่างไรหลินเทียนหนานก็เหมือนกับเคอซาน กำลังข่มขู่เขาอยู่ทั้งคู่!
เขาคิดไม่ถึงว่าหลินเทียนหนานจะเล่นเล่ห์กับเขาขนาดนี้ในตอนนี้ ถ้ามองจากจุดนี้ หลินเทียนหนานก็ไม่มีศีลธรรมแล้ว
“เหอะๆ น้องชายนายอย่าเพิ่งรีบร้อนสิ เสี่ยเคอซานคนนี้ที่นายพูดเหมือนจะมีอำนาจไม่น้อย แน่นอนว่าหลินเทียนหนานคนนี้ย่อมใช้ต้องใช้ดุลยพินิจสักหน่อยว่าต้องจัดการเขาไหม นายคิดว่ายังไงล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนได้ยินก็แค่นหัวเราะ “ประธานหลิน ผมคิดว่าระหว่างเราไม่ต้องอ้อมค้อมแล้ว พูดข้อเสนอมาเลยดีกว่า”
“ฮ่าๆๆ ฉันคิดมาตลอดว่าน้องชายเป็นคนฉลาด ดูท่าฉันจะไม่ได้มองคนผิดนะ” พูดพลาง หลินเทียนหนานก็นิ่งเงียบไปสองสามวินาที “เอาแบบนี้ดีไหม ข้าวผัดจักรพรรดิเสิร์ฟแบบไม่จำกัดจำนวน แต่เงินเดือนของนายฉันจะให้อีกเท่าเลย!”
“อีกเท่า? หนึ่งแสนหกหมื่น…เป็นข้อเสนอที่น่าประทับใจจริงๆ แต่ว่านะครับประธานหลิน คุณคิดว่าผมจะตอบตกลงไหม”
“น้องชาย ฉัน หลินเทียนหนานไม่มีทางมองคนผิดหรอก นายเป็นคนฉลาด อีกทั้งเป็นคนมีหลักการ ฉันคิดว่า…ตอนนี้คนที่ไม่ยอมให้สูตรข้าวผัดจักรพรรดิรั่วไหลออกไปที่สุดอาจจะไม่ใช่ฉัน แต่เป็นนายมากกว่ามั้ง” หลินเทียนหนานพูด
“โห ประธานหลินเข้าใจผมมากขนาดนั้นเลยเหรอครับ” ซ่งจื่อเซวียนถามกลับ
“ฮ่าๆ แน่อยู่แล้ว พูดถึงกำลังทรัพย์ ฉันคิดว่าเสี่ยเคอซานคนนั้นอาจจะไม่ใช่ศัตรูของฉันหรอก ดังนั้นค่าตอบแทนของนายน่ะ ฉันรับประกันได้เลยว่าฉันให้นายได้มากที่สุด ส่วนเรื่องสูตร…ความจริงแล้วไม่ได้ขึ้นอยู่กับต้าสือไต้หรอก แต่มันขึ้นอยู่กับนายต่างหากซ่งจื่อเซวียน นายไม่ยอมปล่อยสูตรให้กับเสี่ยเคอซานแน่ๆ เพราะงั้น…ตอบรับข้อเสนอของฉันเถอะ มีผลดีกับทั้งฉันทั้งนายด้วย ไม่ใช่เหรอ”
ฟังคำพูดของหลินเทียนหนาน ซ่งจื่อเซวียนอยากจะหัวเราะออกมา หัวเราะที่เขาคิดว่ามีเงินแล้วจะควบคุมคนอื่นได้ หัวเราะที่เขาคิดว่ารู้จักตนเองดี แต่หลินเทียนหนานไม่มีทางรู้แน่ว่าตนยังมีอีกนิสัยหนึ่ง นั่นก็คือยอมเป็นหยกที่แหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์[1]!
“ประธานหลิน เกรงว่าผมจะทำให้คุณผิดหวังแล้วล่ะครับ ผมคงตอบรับข้อเสนอนี้ของคุณไม่ได้ ผมยอมไปทำงานกับเสี่ยเคอซานที่นั่นแต่ไม่ยอมผิดคำพูดของตัวเองตอนแรก ข้าวผัดจักรพรรดิมากสุดจะขายได้ยี่สิบที่ต่อวันเท่านั้นครับ!”
พูดจบ ซ่งจื่อเซวียนก็วางสาย
ในห้องทำงาน ซุนโส่วเหวินมองหลินเทียนหนานที่วางโทรศัพท์ลง พูดว่า “ท่านประธานครับ แบบนี้…จะเกิดปัญหาหรือเปล่าครับ ถ้าเกิดซ่งจื่อเซวียนไปทำงานที่ร้านอาหารของเสี่ยเคอซานนั่น…”
“เฮอะๆ นายวางใจเถอะ เขาไม่ไปหรอก!”
“แต่ท่านประธานครับ ถึงผมจะไม่ได้รู้จักซ่งจื่อเซวียนมากนัก แต่ผมคิดว่าเขาน่าจะมีนิสัยส่วนตัว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ยึดมั่นกับข้าวผัดยี่สิบที่ต่อวันแบบนี้”
หลินเทียนหนานยิ้มน้อยๆ ส่ายหน้า “โส่วเหวินเอ๊ย นายคิดผิดแล้ว ไม่มีใครไม่อยากร่ำรวยหรอก ซ่งจื่อเซวียนเขายังเด็ก เพียงแค่อยากได้หน้ามากกว่า แต่อยู่ต่อหน้ากำไรแล้ว สุดท้ายเขาก็ยอมศิโรราบ อีกทั้ง…ความจริงแล้วสิ่งที่สำคัญสำหรับเขามากกว่านั้นไม่ได้มีแค่เงินหรอกนะ”
“หืม อะไรเหรอครับ”
“อนาคตยังไงละ ซ่งจื่อเซวียนเขามีอนาคตที่สดใส แต่ก็ต้องการเวทีดีๆ สักที่เพื่อส่งเสริม และต้าสือไต้เป็นสิ่งนั้นอย่างเห็นได้ชัด” หลินเทียนหนานพูดด้วยรอยยิ้ม
“แต่ว่า…ถ้ามีร้านอาหารต้องการชิงตัวเขาไปจริงๆ ล่ะครับ คงจะเสนอเงินเดือนให้เขาไม่ต่ำกว่าแปดหมื่นหยวนแน่ๆ” ซุนโส่วเหวินพูด
“เพราะงั้นวันนี้ฉันถึงเสนอให้อีกเท่าตัวไง หรือก็คือเงินเดือนหนึ่งแสนหกหมื่นหยวนนั่นแหละ อย่างนี้ก็เหมือนกับว่ารับประกันได้สองทาง อย่างแรก ซ่งจื่อเซวียนต้องการเวทีแบบต้าสือไต้ อย่างที่สอง ต่อให้มีเวทีอื่นที่สามารถพัฒนาได้ แต่เทียบเงินเดือนกันแล้วไม่แน่ว่าจะเทียบกับเงินเดือนที่ฉันให้ได้ ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไหน เขาก็ต้องอยู่ที่นี่” หลินเทียนหนานพูดพลางยกแก้วขึ้นจิบท่าทางอย่างกับมีแผนในใจแล้ว
ซุนโส่วเหวินพยักหน้าน้อยๆ “ที่ประธานหลินพูดมาก็ไม่ผิด แต่ว่าผมแค่กลัว…ถึงยังไงเขาก็เคยปฏิเสธคุณมาแล้ว”
“วันนี้ไม่เหมือนวันก่อนๆ ตอนนี้มีเสี่ยเคอซานคอยบังคับให้เขามอบสูตรให้ ซ่งจื่อเซวียนเขาไม่มีทางยอมอยู่แล้ว เพราะงั้นก็จะยิ่งต้องพึ่งพาฉัน” หลินเทียนหนานพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ ราวกับไม่กลัวว่าจะเกิดเรื่องนอกเหนือจากที่เขาคิดเลย “วางใจเถอะ ซ่งจื่อเซวียนหนีฉันไม่พ้นหรอก เพราะมีแค่ฉันที่สร้างเขาได้ ผ่านไปอีกสองวัน เขา…จะมาหาฉันเอง”
“คุณหมายถึงว่าที่จริงแล้วเขารู้อยู่แก่ใจดี เพียงแต่ตอนนี้จะลองท้าทายคุณดูว่าใครจะอดทนได้นานกว่ากันเหรอครับ”
“ถูกต้อง เพราะเหตุนี้แหละ ถ้าตอนนี้ฉันทนไม่ไหวก่อน ก็คงปล่อยให้คนหนุ่มคนนี้แข่งต่อไปจริงๆ แล้วแหละ แต่จะว่าไป ซ่งจื่อเซวียนมีความหลักแหลมด้วยอายุเท่านี้…นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว!”
หลินเทียนหนานพูดจบ ซุนโส่วเหวินก็ชะงักค้างไปครู่หนึ่ง ต้องรู้ว่าเขาติดตามประธานหลินมานานหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นเขาชื่นชมใครแบบนี้มาก่อน ต่อให้เป็นผู้ประกอบการที่มีพรสวรรค์ ประสบความสำเร็จตั้งแต่เนิ่นๆ ก็ไม่เคยถูกเขาสรรเสริญแบบนี้มาก่อนเลย
……
คืนนั้น ซ่งจื่อเซวียนนอนกระสับกระส่าย ราวกับเรื่องราวจะไม่ได้เป็นไปตามที่เขาคาดคิด แต่คิดอย่างละเอียดแล้วกลับไม่นับว่าแปลกเลย
หลินเทียนหนานเคยถกเถียงกับเขาเรื่องจำนวนข้าวผัดจักรพรรดิที่จัดเสิร์ฟมาแล้ว แต่ก็โดนเขาปฏิเสธไป และหลังจากนั้นเจิ้งฮุยเริ่มเข้ามาใกล้บ่อยขึ้นตอนที่ตนเองกำลังทำข้าวผัดอยู่ จนวันนี้…เขาก็หยิบยกเรื่องจำนวนจัดเสิร์ฟข้าวผัดมาต่อรองกับตนเองอีกครั้ง
“นักธุรกิจ…”
ซ่งจื่อเซวียนพึมพำ เขารู้ว่าหลินเทียนหนานไม่ได้ผิด อีกฝ่ายเป็นนักธุรกิจ สิ่งที่เขาทำทั้งหมดเป็นสิ่งที่นักธุรกิจควรจะทำ
แต่ซ่งจื่อเซวียนไม่คิดจะเอาหลักการของตนไปส่งเสริมการทำธุรกิจของหลินเทียนหนาน ดังนั้นครั้งนี้…เขาก็ยังตอบรับข้อเสนอของหลินเทียนหนานไม่ได้อยู่ดี
ถึงอย่างไรข้าวผัดก็เป็นของเขา เขาไม่มีทางเอามันไปทำในสิ่งที่ถูกใจคนอื่นได้ ถ้าเรื่องนี้วุ่นวายจนถึงที่สุด เขาก็แค่ไม่ทำงานที่ต้าสือไต้แล้วเท่านั้น ต่อให้ไปทำงานที่จวี้เสียนจวงก็ไม่มีทางส่งมอบสูตรได้
“ตามสถานการณ์ตอนนี้…บางทีอาจจะทำได้แค่ไปหาเฉิงปาแล้ว” ซ่งจื่อเซวียนพูดแล้วก็ถอนหายใจออกมา
คืนนี้ ซ่งจื่อเซวียนนอนไม่หลับ จนกระทั่งได้ยินเสียงไก่ขันถึงได้รู้สึกง่วงงุนขึ้นมา แต่เขาก็ยังข่มอาการง่วงไว้แล้วปีนลงจากเตียง ล้างหน้าล้างตาออกจากบ้าน
ถึงต้าสือไต้เขาก็งีบหลับก่อนสักครู่ จนกระทั่งซางเทียนซั่วมาถึงได้ปลุกเขาให้ตื่น
“อาจารย์เป็นอะไรไป ผมยังไม่เคยเห็นอาจารย์งีบหลับในที่ทำงานมาก่อนเลยนะ” ซางเทียนซั่วถาม
“ไม่ได้เป็นอะไร เมื่อวานไม่ได้นอนเลยทั้งคืนน่ะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดพลางขยี้ตา
“อาจารย์โทรหาหลินเทียนหนานไม่ใช่เหรอ เขาว่ายังไงบ้าง”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้า “เขาเสนอเงื่อนไขกับฉัน ฉันคิดว่า…บางทีฉันอาจจะต้องไปหาเสี่ยเฉิงปาจริงๆ แล้วล่ะ”
“เมื่อวานผมก็คิดแบบนี้ ในเมื่อเคอซานเป็นคนในวงการใต้ดิน พวกเราก็ต้องหาคนในวงการใต้ดินไปคุยกับเขา ส่วนเรื่องเงิน อาจารย์ไม่ต้องเป็นห่วง มีผมอยู่” ซางเทียนซั่วตบอกพูด
ซ่งจื่อเซวียนยิ้ม “ขอบคุณนะ”
ความจริงแล้วเขาไม่ได้คิดจะใช้เงินของซางเทียนซั่ว เขาคิดเรื่องนี้มาทั้งคืน ย่อมมีวิธีของตนเองอยู่แล้ว แต่ในเมื่อซางเทียนซั่วพูดประโยคนี้ออกมาก็คุ้มค่าให้เขากล่าวขอบคุณแล้ว
“เกรงใจอะไรกัน เมื่อวานตอนที่กลับไปผมก็ไปถามมาแล้ว ผมมีพวกพี่ๆ ที่รู้จักเฉิงปาอยู่ พวกเราวานให้เขาพาไปได้”
“อย่างนั้นก็ดีเลย จะได้ไม่ติดค้างน้ำใจของน้าจาง นายจัดการเถอะ พวกเราจะไปหาเขา” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หลังจากนั้น ซางเทียนซั่วก็ไปโทรศัพท์ติดต่อ หลังจากวางสาย ก็พูดว่า “อาจารย์ พี่ๆ ของผมบอกว่าช่วงกลางวันตามปกติไม่ได้อยู่ตรงไหนเป็นหลักเป็นแหล่ง แต่กลางคืนจะไปที่ร้านคาราโอเกะหงหลินในเขตเฉิงตงแน่นอน ตอนค่ำพวกเราไปหาเขาที่นั่นก็พอ”
“ได้ คืนนี้หลังเลิกงานพวกเราก็ไปกัน!”
วันนี้นับว่าราบรื่น ผ่านมื้อค่ำไปได้ไม่นานนัก ซ่งจื่อเซวียนก็ขายข้าวผัดจักรพรรดิที่สุดท้ายไป ก็เลิกงานได้แล้ว
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่อยากจะเอาแต่ผูกมิตรกับเจิ้งฮุย แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังขโมยวิชาของตนอยู่ แต่คนเขาสุภาพมา คุณก็ต้องไว้หน้าเขา นี่นับว่าเป็นกฎพื้นฐานที่สุดของวงการ
ออกมาจากต้าสือไต้ เห็นถนนหน้าทางเข้าการจราจรแน่นขนัด ซางเทียนซั่วพูดว่า “อาจารย์ ตอนนี้จะแท็กซี่หรือว่ารถโดยสารประจำทางก็ช้าหมด พวกเราเดินไปอีกสักหน่อยจนถึงทางแยกข้างหน้าแล้วนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปกันเถอะ!”
“รถไฟฟ้าใต้ดินเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนรู้ว่ารถไฟฟ้าใต้ดินของเมืองตู้เหมินพัฒนามากแล้ว ในเวลาไม่กี่ปีก็ต่อขยายถึงเส้นทางที่เก้า แต่ไม่เคยได้นั่งมาก่อนจริงๆ
“ใช่แล้ว ราคาพอๆ กับรถโดยสารประจำทางเลย พวกเรานั่งไปจนถึงเขตเฉิงตงก่อนแล้วค่อยหาร้านคาราโอเกะหงหลิน”
“ได้!”
ครั้งแรกที่นั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่ขณะเดียวกันเขาก็พบว่า ประสบการณ์ที่เคยผ่านมาทั้งหมดทำให้เขารู้สึกว่าตนเหมือนเด็ก ในเมืองตู้เหมินแห่งนี้มีสิ่งต่างๆ มากมายที่เขาไม่เคยได้ลอง คิดจะเดินไปให้ไกลในยุทธภพนี้ ความจริงไม่ได้ง่ายเลย…
ตอนเพิ่งจะเดินถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้มออกมา “เทียนซั่ว เจอเพื่อนเก่าแล้ว”
“หืม เพื่อนเก่าเหรอ”
“ใช่แล้ว อาเล็กของนายไง!” ซ่งจื่อเซวียนชี้ไปที่กู่เสี่ยวเป่าที่กำลังพิงทางเข้าสถานีงีบหลับอยู่
ซางเทียนซั่วหน้าแดงทันที “อาจารย์ก็ล้อผมนะ เจ้าเด็กขอทานนี่ก็ใช้ได้จริงๆ ไม่ตั้งใจขอทานดันมายืนงีบหลับอยู่ที่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน”
เขาเดินเข้าไปใกล้กู่เสี่ยวเป่า ยกเท้าขึ้นเตะไปที่ถ้วยขอทานด้านหน้าเขา ส่งเสียงเหรียญกระทบกันจากด้านใน
“คนโบราณว่าไว้ว่า ตบคนไม่ตบหน้า เตะคนไม่เตะชามข้าว การที่นายเตะชามข้าวของฉัน…มันส่อว่าที่บ้านไม่มีศีลธรรม ถ้านายไม่มีเงินก็บอกฉันสิ ถ้านายน้อยอย่างฉันให้สักสิบหยวนแปดหยวนก็ไม่นับเป็นเรื่องอะไรเลย แต่เงินด้านในนายกลับไม่เอาไป นายมันต่ำขนาดไหนกัน นายน้อยเจอคนต่ำทรามมามากแล้ว แต่ไม่เคยเจอคนที่วิตกตอนที่ว่าง ไม่มีอะไรทำแล้วมารังแกขอทานตอนดึกๆ แบบนี้!”
กู่เสี่ยวเป่าพูดอย่างเกียจคร้าน ไม่แม้แต่เงยหัวขึ้นมา
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะออกมาทันที ปากเจ้าเด็กคนนี้ยังพูดออกมาเป็นชุดจริงๆ ที่สำคัญที่สุดก็คือยังเพิ่มความโบราณมาแบบมั่วซั่วอีก…
“เสี่ยวเป่า พวกเราเอง!”
กู่เสี่ยวเป่าค่อยๆ ลืมตา แต่พอเห็นซ่งจื่อเซวียนก็ยืนขึ้นมาทันที “โอ้…ที่แท้ก็พี่รองนี่เอง ฮ่าๆ ไม่คิดว่าจะเจอพี่ที่ที่ทำงานนะเนี่ย”
พรืด…ซางเทียนซั่วพูดพลางกลั้วหัวเราะ “ใช่ๆๆ ที่ทำงานของนายอยู่ทั่วทุกที่เลยนี่นา”
“ไม่ใช่อย่างนั้นสักหน่อย หลานชายคนโต ที่นายเตะชามฉันเมื่อกี้คือจงใจใช่ไหม” กู่เสี่ยวเป่าไม่ยอมเสียเปรียบ โต้กลับไปทันที
“ฉันไม่ได้จงใจอยู่แล้ว…”
“อ้อ งั้นจะไม่โทษนายแล้วกัน หลานชายคนโต!”
“นาย…นายจะหยุดไม่หยุด!” ซางเทียนซั่วโมโห ราวกับว่าถ้ากู่เสี่ยวเป่าไม่ได้เอาเปรียบเขาทุกครั้งก็จะเศร้าเสียใจอย่างไรอย่างนั้น
กู่เสี่ยวเป่าก็ไม่ได้สนใจ หันไปมองซ่งจื่อเซวียน “เอ๊ะ พี่รอง นี่พวกพี่มาทำอะไรกัน น่าสนุกไหม พาฉันไปด้วยคนสิ!”
“ไม่น่าสนุกหรอก แหะๆ วันนี้นายอย่าไปเลย”
“เอ๋ อย่างนั้นพวกพี่จะไปไหนกัน โธ่ ก็พาฉันไปด้วยสิ!”
กู่เสี่ยวเป่าว่าพลางหยิบชามเหล็กขึ้นมา ดึงเสื้อผ้าของซ่งจื่อเซวียนเอาไว้
ซางเทียนซั่วพูดว่า “เด็กขอทาน นายอย่าโวยวายสิ พวกเรามีธุระน่ะ อีกอย่างสภาพนายเป็นอย่างนี้จะนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินยังไง คนเขาไม่ให้นายเข้าหรอก!”
“โธ่ ไม่มีปัญหาหรอก ฉันมีบัตรรถไฟฟ้าใต้ดินนะ!” กู่เสี่ยวเป่าหยิบบัตรใบหนึ่งขึ้นมาแกว่งตรงหน้าสองสามที
“แปลกแฮะ…ขอทานมีบัตรรถไฟฟ้าใต้ดินกันหมดแล้วเหรอ” ซางเทียนซั่วเบิกตากว้างด้วยสีหน้าทำตัวไม่ถูก…
……………………………………………
[1] ยอมเป็นหยกที่แหลกลาญ ไม่ขอเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์ (宁为玉碎不为瓦全) หมายถึง การตั้งมั่นในความดี ไม่เปลี่ยนแปลงหลงใหลไปกับความชั่ว แม้รู้ว่าจะเกิดอันตรายกับตนเอง