เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 54 ลูกศรทะลวงเมฆา
ตอนที่ 54 ลูกศรทะลวงเมฆา
กู่เสี่ยวเป่าทำหน้าภาคภูมิใจในตัวเอง แต่ขอทานที่ใช้บัตรโดยสารรถไฟฟ้าใต้ดินก็พบเห็นไม่มากจริงๆ แน่นอนว่าพวกที่ออกตระเวนขอทานด้วยรถโดยสารสาธารณะโดยเฉพาะเป็นข้อยกเว้น
“ฮื่อ ไปกันเถอะ!”
พูดพลาง กู่เสี่ยวเป่าก็เดินเข้าไปในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
ซ่งจื่อเซวียนมองตาซางเทียนซั่ว สายตาทั้งสองคนตกตะลึงถึงขีดสุด แต่ธุระคืนนี้ก็คือต้องไปหาเฉิงปา ทั้งสองจึงเดินเข้าไป
ทั้งสามเดินเข้าไปในรถไฟฟ้าใต้ดิน ดูเหมือนอัตราการหันมามองตามนั้นจะสูงมาก ที่จริงสายตาของผู้คนแทบจะมองไปที่กู่เสี่ยวเป่าทั้งหมด ถึงอย่างไรก็ไม่มีใครเคยเห็นขอทานสวมเสื้อผ้าขาดๆ มานั่งรถไฟฟ้าใต้ดิน อีกทั้งยังสแกนบัตรด้วยท่วงท่าสง่างาม แต่ซางเทียนซั่วกลับรู้สึกอับอาย มักจะรู้สึกว่าคนพวกนี้ก็มองเขาด้วยเช่นกัน
“เฮ้ย เด็กขอทาน นายไปเดินทางนั้นหน่อยไป”
“ฮะ ทำไมล่ะ นายคิดว่าน่าอายเหรอ” กู่เสี่ยวเป่าพูดอย่างไม่สนใจคนรอบข้าง
“ไร้สาระ พี่ชาย ด้านนอกพวกเราจะพูดคุยกันก็ดีหยอกล้อกันเล่นก็ช่าง แต่ที่นี่คือรถไฟฟ้าใต้ดินนะ อายคนจะตาย ฉันจะเตือนนายไว้นะว่าอีกเดี๋ยวอย่าเข้าขบวนรถเดียวกับพวกเรา”
กู่เสี่ยวเป่ากลอกตาใส่เขา เดินไปใกล้ซ่งจื่อเซวียนทันที “พี่รอง พี่ว่ายังไง”
“ฉันเหรอ ยังไงก็ได้ ตามใจเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“เฮ้ สมแล้วที่เป็นพี่รองของฉัน แมนจริงๆ!”
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ความจริงแล้วที่เขาพูดก็มาจากใจ กู่เสี่ยวเป่าเป็นเพื่อนของเขา อีกทั้งตอนที่สำคัญที่สุดก็เคยช่วยเขา ถ้าแม้แต่ตอนไปไหนมาไหนด้วยกันยังรังเกียจ…ดูไม่ค่อยมีสัจจะเท่าไร
ทว่าอย่างไรก็เป็นช่วงพีคของช่วงค่ำ ถึงแม้ว่ารถไฟฟ้าใต้ดินจะไม่ได้ติดขัดเหมือนบนดิน แต่มีผู้คนล้นหลามจริงๆ ตอนที่ต่อแถว ด้านหน้าแต่ละขบวนรถต่อแถวกันยาวไปจนถึงอีกฝั่งหนึ่งแล้ววนกลับมาอีก และตอนที่รถไฟฟ้าใต้ดินจอด ความเป็นระเบียบเรียบร้อยนี้ก็ยุ่งเหยิงทันที คนเฮโลกันอัดเข้าไปในขบวดรถเหมือนฝูงผึ้ง
แต่กู่เสี่ยวเป่าไม่ได้สะเพร่าเลย เขาลากซ่งจื่อเซวียนเบียดเข้าไปข้างใน ที่น่าตกใจคือที่ที่คนเยอะขนาดนี้ยังหาที่นั่งได้ แต่แน่นอนว่าไม่ได้ตัดเรื่องที่ตอนคนแออัดกัน พอพวกเขาเห็นการแต่งกายของกู่เสี่ยวเป่าก็รีบหลบทันที
“นี่ พี่รอง เป็นไงล่ะ พวกเรามีที่นั่งด้วย!” กู่เสี่ยวเป่าพูดอย่างดีใจ
ซ่งจื่อเซวียนก็ยิ้ม “เด็กอย่างนายนี่เก่งจริงๆ นะ เห็นคนเต็มไปหมดข้างนอก ไม่คิดเลยว่านายจะเบียดจนได้ที่นั่งมาน่ะ”
“ฮ่าๆ ฉันจะบอกพี่ให้นะ” พูดพลาง กู่เสี่ยวเป่าก็เข้าไปกระซิบที่ข้างหูซ่งจื่อเซวียน “พวกเขารังเกียจที่ฉันสกปรกน่ะสิ ต้องหลบอยู่แล้ว ฮ่าๆ ฉันสุดยอดเลยใช่ปะ”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกแปลกใจ ถ้าเป็นเด็กผู้ชายอายุเท่านี้ เกรงว่าจะโดนคนรังเกียจจนอายตายแล้ว แต่ใบหน้ากู่เสี่ยวเป่า…กลับเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อีกทั้งยังยิ้มอย่างจริงใจ แข็งแกร่งจนทำให้รู้สึกปวดใจอยู่บ้าง
ซ่งจื่อเซวียนตอบด้วยรอยยิ้มบาง “ยอดเยี่ยมจริงๆ แต่ความจริงแล้ว…เสี่ยวเป่า นายไม่ได้สกปรกนะ จำไว้ว่านายที่เป็นขอทานทำทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความจริงใจ บางคนเดินหลงทาง นั่นถึงจะเรียกว่าน่าอับอายขายขี้หน้า นั่นคือสกปรกจริงๆ”
กู่เสี่ยวเป่าได้ยินก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจ “ฉันเข้าใจแล้ว พี่รอง!”
ทั้งสองคนพูดคุยกันพลาง ในที่สุดซางเทียนซั่วก็เบียดเข้ามาในช่วงสุดท้ายก่อนที่ประตูรถไฟฟ้าจะปิด คนในขบวนรถแทบจะแนบติดกัน มองไม่เห็นช่องว่างระหว่างตัวคนเลย
“อาจารย์…”
เขาเรียกขนาดนี้ คนครึ่งขบวนรถก็หันมามองกันหมด มือของกู่เสี่ยวเป่ายื่นออกไปจากฝูงคน คว้าที่เสื้อผ้าของเขาอย่างแม่นยำ ลากเข้ามาทันที
“ให้ตายเถอะ หลานชายคนโต นายเรียกเสียงดังขนาดนี้ คนที่รู้จักก็รู้ว่านายเรียกหาพี่รองฉัน คนที่ไม่รู้จักคงคิดว่านายตามหาพระถังซัมจั๋ง”
ซางเทียนซั่วตอนนี้ผมก็ฟู เสื้อผ้าก็ยับย่น รองเท้าก็เกือบหลุดไปข้างหนึ่งรอมร่อ ถ้าไม่ใช่ว่าออกแรงเหยียบส้นไว้ คาดว่าคงไม่รู้ว่าไปติดอยู่ที่ไหนแล้ว
“พูดอะไรไร้สาระ พวกนายสองคนก็ดีจริงๆ ประตูเปิดก็เบียดเข้ามาแล้ว ทำไมไม่มองฉันที่ยังยืนอยู่ข้างหลังสักหน่อยเลยล่ะ” ซางเทียนซั่วพูดพลางเห็นว่าซ่งจื่อเซวียนกับกู่เสี่ยวเป่านั่งอยู่ “โอ้โห แถมยังได้ที่นั่งด้วย สบายกันจริงๆ นะ พวกคุณทั้งสองดูกระผมสิว่ามีบางอย่างไม่เหมาะสมนิดหน่อยใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนยักไหล่ “ฉันว่ายังโอเคอยู่”
“อืม ฉันก็ไม่เป็นอะไร เหมาะสมมาก” กู่เสี่ยวเป่าพูดไหลตามไปด้วยรอยยิ้ม
ส่วนซ่งจื่อเซวียนเองก็สังเกตเห็นในทันทีว่ากู่เสี่ยวเป่าผิดปกติไป จึงมองตามสายตาของเขา ก็เห็นเพียงผู้ชายในเสื้อเชิ้ตลายดอกกำลังล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหนังที่ผู้หญิงคนหนึ่งสะพายไว้ด้านข้าง
ซ่งจื่อเซวียนยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็เห็นกู่เสี่ยวเป่ายืนขึ้นในฉับพลัน ตรงไปด้านหน้าก้าวหนึ่งแล้วชนใส่ผู้หญิงคนนั้น
“โอ๊ย…”
ผู้หญิงคนนั้นร้องเสียงหลง ชายคนนั้นก็ดึงมือกลับทันที
“โธ่เอ๊ย ขอทานอย่างแกนี่มัน แกชนฉันทำไม รีบไสหัวไปเลยนะ สกปรกเป็นบ้า!”
กู่เสี่ยวเป่าไม่ได้สนใจ เห็นว่าผู้ชายคนนั้นหลบไปแล้ว ก็กลับไปนั่งลงที่เดิม
แต่ผู้หญิงคนนั้นเหมือนว่าไม่คิดจะปล่อยผ่าน เธอเดินมาชี้ที่กู่เสี่ยวเป่าแล้วพูดว่า “ฉันถามแกอยู่นะ แกชนฉันทำไม”
กู่เสี่ยวเป่าเงยหน้ามองผู้หญิงคนนั้น แต่ไม่ได้ตอบกลับ
“หึ ขอทานได้นั่งรถไฟฟ้ากันหมด จากนี้ฉันจะไม่นั่งรถไฟฟ้านี่แล้ว แกรู้ไหมว่าเสื้อผ้าชุดนี้ราคาเท่าไร ก็ไม่รู้นะว่าในรถไฟฟ้ามีคนคอยดูแลไหม ขอทานขึ้นมาได้ด้วย ทุเรศชะมัดเลย”
ผู้หญิงคนนั้นตะโกนเสียงดังขนาดนี้ ก็มีคนไม่น้อยสังเกตเห็นกู่เสี่ยวเป่า ส่วนมากก้าวถอยหลังไป เผยสีหน้ารังเกียจออกมา แน่นอนว่ามีส่วนน้อยที่ไม่ได้สนใจ
ผู้หญิงคนนั้นเช็ดเสื้อผ้าตนเองพลางพูดว่า “สกปรกจริงๆ เสื้อผ้านี่ฉันซื้อมาใหม่เสียด้วย หึ อย่างนั้นก็ไม่เอาแล้ว เดี๋ยวกลับไปฉันจะทิ้งเลย น่ารังเกียจจริงๆ ไม่รู้เลยว่าจะโชคร้ายอะไรแบบนี้ โดนขอทานชน…”
“เฮ้ย พูดจบหรือยัง บ่นแว้ดๆ มานานละ ไม่เบื่อหรือไง” ซางเทียนซั่วพูด
ถึงจะทะเลาะกันเองอยู่ แต่ตอนนี้เขาก็ยังก้าวออกไปอย่างอาจหาญ
“เกี่ยว เกี่ยวอะไรกับนายกัน ใช่เรื่องที่นายต้องสอดเหรอ นายเป็นบ้าอะสิ ถึงได้พูดให้ขอทานคนหนึ่งน่ะ” ผู้หญิงคนนั้นแสดงท่าทางขึงขังขึ้น กระหืดกระหอบพร้อมตะโกน
ซางเทียนซั่วโกรธ ตัวเขาไม่กลัวที่จะต้องประชันฝีปากอยู่แล้ว ตะคอกใส่ทันที “รีบหุบปากเหอะ เมื่อกี้ยังพูดอยู่เลยว่าเสื้อผ้าชุดนี้ของเธอเท่าไร ถ้ามีเงินแล้วเธอจะนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินทำไมล่ะ กลับไปขับเครื่องบินที่บ้านเธอสิ เปิดปากทีหนึ่งก็ขอทานทีหนึ่ง เขาหาเงินได้สะอาดกว่าเธออีก ใครจะรู้ว่าเธอทำงานอะไรน่ะ!”
“แก…นี่แกว่าฉันเรอะ ไอ้หนู แกรู้ไหมว่าฉันเป็นใครน่ะ”
“คนที่พูดก็คือเธอนะ ข้าไม่ได้สนใจหญิงแก่อายุเท่าเธอเลยสักนิด ฉันจะสนใจไปทำไมว่าเธอเป็นใคร!” เสียงของซางเทียนซั่วไม่ด้อยไปกว่าผู้หญิงคนนี้เลยสักนิด
ถ้าในสถานการณ์ปกติ การทะเลาะกันในที่สาธารณะต่อหน้าฝูงชนนั้นผู้หญิงจะได้เปรียบกว่าเล็กน้อย เพราะคนยิ่งเยอะ ปกติผู้ชายก็จะหน้าเสียแล้วกระดากอายที่จะพูดเสียงดัง แต่ผู้หญิงนั้นแตกต่างไป ตอนนี้จะเป็นตอนที่เธอแสดงอำนาจออกมา โดยเฉพาะเมื่อแหกปากขึ้นมาท่ามกลางฝูงชนก็จะฮึกเหิมมาก
แต่วันนี้ผู้หญิงคนนี้เจอเข้ากับศัตรูแล้วจริงๆ เมื่อเทียบกับเธอซางเทียนซั่วเหมือนไม่กลัวว่าจะขายหน้า เสียงเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ทุกประโยค อีกทั้งยังปากคอเราะร้าย ผู้หญิงที่พูดคนนี้ก็อับอายไปหมดแล้ว
“ก็ได้ ไอ้เด็กเวรอย่างนายนี่กล้าดีนะ ออกจากบ้านระวังถูกรถชนตายล่ะ!” พูดจบ ผู้หญิงคนนั้นก็หันหลังเบียดไปอีกทาง
ซางเทียนซั่วยังคงไม่สนใจคำเตือน “ถ้าโดนรถชนตายฉันก็จะให้เธอรับผิด ยมบาลชอบยายแก่อย่างเธอจะตาย พอถึงนรกภูมิแล้วก็คงจัดการเธอจนตาย!”
“พอแล้วเทียนซั่ว หยาบคายไปแล้ว คนเขาไปแล้วก็ช่างมันเถอะ”
“แม่มันเถอะ โกรธจะตายห่*แล้ว เห็นเธอบ่นอยู่นั่นไม่จบไม่สิ้น ไม่สั่งสอนสักทีคงได้คิดจริงๆ ว่าไม่ว่าใครก็โอ๋เธอ!” ตอนนี้ซางเทียนซั่วยังไม่ได้ลดเสียงลงเลย แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่ได้โต้ตอบ ถึงอย่างไรปากหมอนี่ก็เสียเกินไป
ซ่งจื่อเซวียนตบไหล่กู่เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่า ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจหรอก ฉันรู้ว่าเมื่อกี้นายช่วยเธอไว้”
กู่เสี่ยวเป่าพูดพลางยิ้มแหย “ไม่เป็นไร พี่รอง ชินแล้ว…”
“อีกเดี๋ยว…พวกเราก็ระมัดระวังกันหน่อยแล้วกันนะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดจบ ก็พยักพเยิดคางไปทางหนึ่ง
ขณะที่มองตามไป กู่เสี่ยวเป่ากับซางเทียนซั่วก็สังเกตเห็นผู้ชายที่ล้วงกระเป๋าเมื่อครู่คนนั้นกำลังจ้องมองพวกเขาในมุมๆ หนึ่งอยู่ แววตาดุดันประหนึ่งอยากจะฆ่าคน
ซางเทียนซั่วหัวเราะหยัน “กลัวอะไร ก็แค่ขโมยเอง ถ้าเขากล้าอย่างนั้น ฉันจะจัดการเขาซะ!”
ด้วยทักษะของซางเทียนซั่ว ซ่งจื่อเซวียนเชื่อ แต่ไม่รู้ว่าทำไม พอมองสายตาของขโมยนั่นแล้ว เขายังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
นั่งรถไฟฟ้าจากเขตเฉิงซีไปจนถึงเขตเฉิงตงต้องใช้เวลาสี่สิบกว่านาที โชคดีที่เดินทางปลอดภัยไร้เรื่องราว จนกระทั่งออกมาจากรถไฟฟ้าใต้ดิน ซ่งจื่อเซวียนก็ถือว่าโล่งใจได้แล้ว
เดินออกมาจากทางออกรถไฟฟ้า ซางเทียนซั่วพูดว่า “อาจารย์ อย่างนั้นพวกเราก็ตรงไปหาที่ร้านคาราโอเกะหงหลินก็พอแล้ว พวกพี่ๆ ส่งโลเคชันมาให้ผมแล้ว เห็นว่าห่างจากที่นี่หนึ่งกิโลเมตรกว่า”
“ตอนนี้ยังรถติดอยู่นิดหน่อย พวกเราเดินไปกันเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หลังจากนั้น ทั้งสามก็เดินไปที่ร้านคาราโอเกะหงหลินตามจีพีเอส เดินออกมาจากความจอแจของผู้คนที่เดินสวนไปมาตรงประตูสถานีรถฟ้าใต้ดิน เดินทะลุซอยเล็กๆ รอบข้างก็เงียบลงไม่น้อย สำหรับซ่งจื่อเซวียนที่เคยมาเขตเฉิงตงน้อยครั้ง ทุกสิ่งที่นี่แปลกตามากอย่างเห็นได้ชัด
หากเทียบกัน ถึงแม้เขตเฉิงซีจะมีพวกย่านเก่าที่เขาอาศัยอยู่ แต่เมื่อเทียบกับเขตเฉิงตงแล้วยังหรูหรากว่าไม่น้อย มีประโยคหนึ่งของเมืองตู้เหมินที่ว่า ‘เฉิงตงยากจน เฉิงซีร่ำรวย สาวสวยอยู่ศูนย์กลาง’ หรือก็คือการบอกเล่าถึงเขตเฉิงตงแห่งนี้
บนถนน ทั้งสามกำลังเดินทอดน่องอยู่ มองเห็นขอทานที่นั่งอยู่ริมถนนเป็นครั้งคราว อีกทั้งขอทานเหล่านี้ยังรวมตัวกันเป็นกลุ่มสองถึงสามคน เหมือนว่าถนนเส้นนี้เป็นอาณาเขตของขอทานอย่างไรอย่างนั้น สภาพแบบนี้ในเขตเฉิงซี…ไม่มีทางพบเห็นได้
“เฮ้ย เด็กขอทาน เพื่อนร่วมอาชีพนายเยอะแยะเลยนี่” ซางเทียนซั่วพูดหยอกล้อ
ทว่ากู่เสี่ยวเป่าไม่ได้พูดอะไร อีกทั้งยังเผยรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจออกมาอีกด้วย ราวกับดีใจอยู่มากจริงๆ
ได้ยินเสียงรถเก๋งขับผ่านมา ซางเทียนซั่วก็พูดว่า “อาจารย์ หลังจากนี้ผมขับรถมาทำงานดีกว่า ไปส่งอาจารย์หลังเลิกงานได้ด้วย สะดวกสบายกว่าเยอะเลย”
“อย่าเลย อย่างนั้นฉันจะเกรงใจจริงๆ อีกอย่างฉันก็ชินแล้ว นั่งรถโดยสารสาธารณะก็ดีอยู่” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ถ้างั้นตอนที่ออกมาทำธุระค่อยขับรถมาแล้วกัน เดินแบบนี้เหนื่อยจะตายชัก อีกอย่างหลังจากนี้ตอนฤดูหนาวก็จะยิ่งหนาว อ๊าก…”
ซางเทียนซั่วไม่ทันได้พูดจบ จู่ๆ ก็รู้สึกแค่ว่าหลังคอร้อนมาก ดึงมือออกจากกระเป๋ากางเกงจับไปที่คอทันที ขณะเดียวกันก็หันหลังไป
เห็นเพียงคนสามคนยืนอยู่ด้านหลัง ตรงกลางเป็นหัวขโมยที่อยู่ในรถไฟฟ้าเมื่อครู่คนนั้นนั่นเอง สายตาของเขาตอนนี้เผยความดุร้ายออกมาพร้อมกับความโกรธเคืองและไม่พอใจ!
“แม่มันเถอะ แกจี้ฉัน!” ซางเทียนซั่วตะคอกพลางหยิบบุหรี่ที่ยังติดไฟอยู่ออกมาจากหลังคอ
“ไอ้พวกเวรไร้ประโยชน์ วันนี้เสือ*ไม่เข้าเรื่อง ฉันจะฆ่าพวกแก!” คนคนนั้นพูดพลางถลึงตา
“แม่มันเถอะ ฉันสิจะฆ่าแกก่อนแล้วค่อยพูด!” ขณะที่ซางเทียนซั่วพูดก็พุ่งตรงออกไป
“จัดการเขา!”
คนคนนั้นพูดจบ สองคนซ้ายขวาก็พุ่งออกมาพร้อมกัน ซางเทียนซั่วยกเท้าขึ้นถีบไปที่คนหนึ่ง แต่อีกคนกลับฉวยโอกาสจับแขนเขาเอาไว้ บวกกับคนที่ล้มเมื่อครู่ลุกขึ้นมา ทั้งสามคนจึงตะลุมบอนกัน
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกว่าผิดปกติ เขารีบหันหน้าไปทันทีถึงได้เห็นว่าด้านหลังมีนักเลงออกมาอีกสามคน ห่างจากพวกเขาไม่ถึงสองสามเมตรเท่านั้น
“แย่แล้ว คนพวกนี้คงจะเป็นงูถิ่น เตรียมตัวเรียบร้อยตั้งแต่อยู่บนรถไฟฟ้าใต้ดินแล้ว พอลงจากรถก็เตรียมมาสกัดพวกเรา!” ซ่งจื่อเซวียนพูด
เห็นสถานการณ์ กู่เสี่ยวเป่าก็แค่นหัวเราะ “ดักตีฉันในถิ่นฉันงั้นเหรอ”
กู่เสี่ยวเป่าพูดพลางล้วงนกหวีดออกมาเป่าอย่างแรง
เสียงเสียดหูดังขึ้นพักหนึ่ง ก็เห็นว่าขอทานริมทางตกใจกันหมด แต่ละคนลุกขึ้นยืนชะเง้อมองไปรอบๆ จนกระทั่งมองมาทางกู่เสี่ยวเป่า จากนั้นก็วิ่งมาทางนี้ทั้งหมด
สถานการณ์นี้ราวกับลูกศรทะลวงเมฆา กองกำลังนับหมื่นนับพันนายมารวมตัวกัน!
……………………………………