เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 55 โรงแรมขนาดเล็ก
ตอนที่ 55 โรงแรมขนาดเล็ก
ชั่วขณะหนึ่ง ถนนที่ดูแล้วแต่เดิมเงียบสงบก็เปลี่ยนไปในพริบตา ขอทานกลุ่มสองสามคนลุกขึ้นยืน นับรวมๆ กันแล้วมีถึงสิบกว่าคน ทั้งหมดวิ่งมาหยุดที่ข้างๆ กู่เสี่ยวเป่า อีกทั้งบางคนยังถือกระบองอยู่อีกด้วย ดูน่าเกรงขามทีเดียว
เมื่อเห็นว่าโผล่ออกมาอีกสิบกว่าคนในพริบตา แถมยังเป็นขอทานทั้งหมด นักเลงสองสามคนนั้นก็ชะงักค้างไปทันที
แม้แต่ซ่งจื่อเซวียนก็มึนงงไปแล้วเช่นกัน คราวก่อนพอกู่เสี่ยวเป่าเป่านกหวีด อวี่เหวินเซียวก็ปรากฏตัวขึ้นมา ครั้งนี้เป็นขอทานโขยงหนึ่งอีก นกหวีดนี่…น่าสนใจดีแฮะ
สองคนที่ลงมือกับซางเทียนซั่วก็หยุดกันหมด มองไปที่ขอทานรอบๆ ในแววตามีความแปลกใจ ไม่รู้เลยว่านี่หมายถึงอะไร
และในตอนนี้เอง ก็มีขอทานอีกเจ็ดแปดคนวิ่งมาจากปากซอย ล้วนวิ่งมาหากู่เสี่ยวเป่าทั้งนั้น
ถึงแม้กู่เสี่ยวเป่าตอนนี้จะมีส่วนสูงประมาณหนึ่งเมตรหกสิบเซนติเมตร แต่ขอทานข้างหลังแต่ละคนร่างกายสูงใหญ่กันหมด พวกเขาไม่เหลือภาพลักษณ์ที่น่าสงสารตามปกติอีกต่อไป สายตาแต่ละคนส่อแววยั่วยุปลุกปั่น กู่เสี่ยวเป่าน่าเกรงขามมาก!
“นกหวีดดังแบบนี้ เกิดอะไรขึ้น” ขอทานสองสามคนถาม
กู่เสี่ยวเป่ามองไปที่นักเลงสองสามคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา พูดว่า “พวกเขาจะกระทืบฉัน จับพวกมันซะ!”
“ไป!”
“แม่มันเถอะ กระทืบพวกมัน!”
“กล้ามายั่วยุคนในแก๊งขอทานของพวกเรา รนหาที่ตาย!”
“ให้ตายเหอะ ยังจะหนีอีกเหรอ”
ได้ยินที่กู่เสี่ยวเป่าพูด ขอทานหลายคนก็พุ่งออกไปพร้อมกัน ไม่ได้สนใจว่าทำอาชีพอะไร ถึงอย่างไรก็เป็นผู้ชายกันทั้งสิ้น เมื่อง้างหมัดขึ้นมาไม่ใช่ว่าจะไม่เจ็บ ขอทานยี่สิบกว่าคนรุมตี นักเลงพวกนั้นก็ตระหนกตกใจทันที
อาจเพราะพวกเขามักจะดูถูกขอทานตัวเหม็นพวกนี้อยู่แล้ว แต่ตอนนี้ นาทีนี้ พวกเขายอมเพราะกระบองไม้และหมัดจริงๆ
“อ๊าก…พอแล้ว…”
“โอ๊ย หัวฉัน…”
กระทืบไปสามสี่นาทีที่เต็มๆ เลือดก็เริ่มไหลออกจากหน้าและหัวนักเลงบางคนแล้ว กู่เสี่ยวเป่าถึงได้บอกให้หยุด
ตอนนี้ พวกนักเลงนอนคว่ำหอบหายใจกันอยู่ที่พื้น บางคนกุมหัวพลางร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวด กู่เสี่ยวเป่ามองออกว่าหัวขโมยคนนั้นคงจะเป็นหัวหน้า เขาเดินไปยกเท้าขึ้นเหยียบหัวชายคนนั้น
“วันนี้ฉันทำลายแผนการดีๆ ของนายไป ถึงได้อยากกระทืบฉันใช่ปะ”
หัวขโมยเงยหน้าขึ้นมองกู่เสี่ยวเป่า “ไอ้เด็กเวรนี่เป็นคนในแก๊งขอทาน ฉันประเมินแกต่ำไป วันนี้ฉันอยู่ในกำมือของแกแล้ว จะทำอะไรยังไงก็ตามใจ ไม่ต้องพูดแม่งให้ยืดเยื้อ!”
กู่เสี่ยวเป่ายิ้ม “ยังเก๋าอยู่จริงๆ หลานชายคนโต ช่วยฉันสั่งสอนไอ้นี่สักบทเรียนได้ไหม”
“ได้สิ เมื่อกี้ไอ้หมานี่เอาบุหรี่มาจี้ฉันนี่นา”
ซางเทียนซั่วพูดพลางเดินไปกระชากศีรษะหัวขโมยขึ้นมา พูดว่า “ไอ้แก่ แกมาจากไหน ตอนนี้รู้ซึ้งถึงอำนาจของเราหรือยังล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนเดินไปใกล้กู่เสี่ยวเป่า “เสี่ยวเป่า นายคือแก๊งขอทานเหรอ”
“ฮะ อ้อ พี่รอง หึๆ อยู่ในยุทธภพจะไม่มีพรรคพวกไว้หนุนหลังได้ยังไงกัน พวกเราเหล่าขอทานไม่เข้าแก๊งขอทาน จะขอทานไม่ได้เอานะ” กู่เสี่ยวเป่าพูด
“หืม หมายความว่ายังไง”
“สามร้อยหกสิบอาชีพ ขอทานก็เป็นอาชีพหนึ่งเหมือนกัน แต่อาชีพนี้มีแต่คนอ่อนแอทั้งนั้น พี่ก็เห็นพวกเขาแล้วนี่ แต่ละคนไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าดีๆ ใส่ ถ้าไม่รวมกลุ่มกันไว้ จะมีชีวิตอยู่กันยังไง”
ซ่งจื่อเซวียนมองไปที่ขอทานแต่ละคน ถึงแม้ว่าขอทานในแต่ละยุคสมัยจะมีเสื้อผ้าขาดรุ่ย กินข้าวไม่อิ่มท้องแบบนี้กันทั้งนั้น แต่พอเห็นขอทานพวกนี้ในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงเช่นนี้ก็ปวดหัวใจจริงๆ
แม้ฐานะทางบ้านซ่งจื่อเซวียนจะไม่ดีตั้งแต่เล็ก แต่อย่างน้อยก็มีกินมีใช้ แต่คนพวกนี้แม้แต่จะกินจะใช้ยังกลายเป็นปัญหาไปเสียหมด…
“นั่นสินะ แต่ในความทรงจำของฉัน ต้องเป็นในนิยายจอมยุทธ์สิถึงจะมีแก๊งขอทาน ฮ่าๆ คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะยังมีอยู่จริงๆ”
“ใช่ แก๊งขอทานเจริญรอยตามมาทุกยุคทุกสมัย จนมาถึงยุคปัจจุบัน ความจริงแล้วนี่ก็ไม่ได้เข้าใจยากอะไรเลย ยุคสมัยไหนไม่มีคนจนบ้างล่ะ คนจนที่จนขั้นสุดบ้างก็ขโมย บ้างก็โจร แน่นอนว่าก็มีขอทานเช่นกัน”
ตอนที่ทั้งสองคุยกัน ซางเทียนซั่วก็นั่งทับหัวขโมยคนนั้นไว้ มือหนึ่งจับผมของเขา มือหนึ่งดึงรูจมูกของเขาขึ้น พูดว่า “แม่มันเถอะ หงุดหงิดชะมัด แก้แค้นก็แก้แค้นแล้ว ตอนนี้เริ่มสอบสวนแกเลยแล้วกัน บอกมา แกเป็นนักเลงที่ไหน ลูกน้องใคร”
“แม่งเอ๊ย ถ้าฉันพูดออกไปแกได้ตกใจตายกันพอดีสิ เอ็งปล่อยสิวะ อย่าดึงรูจมูกฉัน!” หัวขโมยพูดตะคอก
“แกยังกล้าเบ่งกับฉันอีกเรอะ ไอ้แก่ ฉันจะทำให้แกได้ลองรู้จักอะไรเจ๋งๆ” พูดแล้ว ซางเทียนซั่วก็หันไปพูดกับขอทานข้างๆ สองคน “ทั้งสองคน…ฮีโร่แก๊งขอทาน ช่วยฉันจับเขาไว้หน่อยได้ไหม ฉันจะโชว์เรื่องตื่นเต้นให้พวกนายดู!”
เห็นซางเทียนซั่วจัดการหัวขโมยคนนี้เมื่อครู่ พวกขอทานก็ชอบมาก ตอนนี้บอกว่ามีสิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่านี้อีก ย่อมตั้งตารอสุดๆ ทั้งสองคนที่โดนเรียกก็เดินเข้าไปจับหัวขโมยคนนั้นไว้
ซางเทียนซั่วลุกขึ้นยืนยืดเส้นยืดสาย ดูท่าอย่างกับจะจัดชุดใหญ่ แต่เขากลับไม่ได้ใช้มือทุบตีอีก ทว่าค้อมตัวลงถอดรองเท้าออกมาแทน
สำหรับภาพนี้ ซ่งจื่อเซวียนคุ้นเคยดี ตอนแรกเขาเคย ‘เพลิดเพลิน’ กับการกระทำนี้มาก่อน เขาหัวเราะ “เจ้านี่…เอาอีกแล้ว”
“หืม ทำไมเหรอ พี่รอง อะไรคือเอาอีกแล้ว” กู่เสี่ยวเป่าถาม
ซ่งจื่อเซวียนพยักพเยิดหน้าไปทางซางเทียนซั่วเล็กน้อย “หัวขโมยคนนี้โชคร้ายแล้วล่ะ”
หัวขโมยคนนั้นเห็นซางเทียนซั่วถอดรองเท้า ก็เอ่ยว่า “ฮ่าๆๆ ฉันอยู่ในวงการมานานขนาดนี้ ยังต้องกลัวนายอีกเหรอ อย่าใช้รองเท้าตีฉันเลย ไปหยิบกระบองมาสิ นายคอยดูเลยว่าฉันจะแหกปากไหม!”
ซางเทียนซั่วยิ้ม “งั้นก็ฉิบหายแล้วสิ ไม่คิดว่าแกจะยังมีความเป็นผู้ชายอยู่ อย่างนั้นแกจะมาเป็นหัวขโมยทำห่*อะไร มาทำเรื่องหลบๆ ซ่อนๆ แบบนี้!”
“หัวขโมยแล้วยังไงล่ะ อาศัยฝีมือ การปล้นแม่งต่างหากถึงจะเป็นการรังแกคนอื่นน่ะ พวกเรานี่…”
หัวขโมยยังพูดไม่จบ ซางเทียนซั่วก็เดินไปหยุดตรงหน้าเขา กลิ่นบางอย่างตีเข้าหน้า ทำให้เขาชะงักค้างไปอย่างสมบูรณ์
กลิ่นนี้กระทั่งเทียบได้กับการนึ่งเต้าหู้เหม็นกับทุเรียนไว้ในหม้อเดียวกันครึ่งชั่วโมง หลังจากนั้นก็ใส่รองเท้าผ้าใบเด็กผู้ชายอายุสิบกว่าขวบลงไป พูดได้ว่า…อาจจะหนักหนากว่าสิ่งเหล่านี้ด้วยซ้ำ มันทั้งเหม็นทั้งร้อน!
“ให้ตายเหอะ กลิ่นอะไรวะเนี่ย ไอ้หนูแกแม่งไม่ได้ล้างเท้ามากี่วันแล้ววะ สวมกลับไปเลย!”
“ฮ่าๆๆ นี่คืออาวุธของฉันจะเก็บไปได้ยังไง แกแม่งกล้าแกร่งนักไม่ใช่เหรอ วันนี้ฉันก็เลยอยากลองดูว่าแกจะกล้าแกร่งสักแค่ไหน!”
พูดพลาง ซางเทียนซั่วก็เดินเข้าไปใกล้อีกหน่อย ยกเท้าไปนาบที่หน้าหัวขโมยทันที
หัวขโมยรู้สึกคลื่นไส้ ขณะที่กลิ่นเหม็นโชยมา ถุงเท้านั่นก็ยังมีทั้งความอุ่นและชื้น ในช่วงค่ำของปลายฤดูใบไม้ร่วง เท้าข้างนั้นที่แทบจะมีไอน้ำพวยพุ่งออกมาก็นาบเข้าหาหน้าของตนแล้ว
“แม่มันเถอะ ไสหัวไปซะ อย่านาบลงมานะ…อุก…” หัวขโมยคลื่นไส้พลางพยายามดิ้นรนสุดชีวิต ท่าทางไม่ได้กล้าแกร่งเหมือนเมื่อครู่ กลับกันยังแฝงความหวาดกลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมารอมร่ออยู่แล้วไว้ด้วย
ไม่ต้องพูดถึงเขา แม้แต่ขอทานสองคนข้างๆ ยังอดหันหน้าไปไม่ได้ อานุภาพทำลายล้างของกลิ่นนั้นในระยะสองเมตรเกินบรรยายจริงๆ ดังนั้นขอทานไม่น้อยจึงถอยไปด้านหลังหลายก้าว แทบจะแหวกวงล้อมให้
“อุก…แกทำอะไรเนี่ย…แกบอกมาเลยว่าแกคิดจะทำอะไร”
ซางเทียนซั่วได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม “เฮ้ แปลกแฮะ จู่ๆ ฉันก็ไม่อยากรู้อะไรเลย แค่อยากดูแกที่เป็นอย่างนี้ แถมยังมาพูดหยาบๆ กับพ่ออย่างฉัน พูดมาสิว่าแกเป็นลูกชายน่ะ!”
“ฉันไม่พูด!”
แปะ!
สุดท้ายฝ่าเท้าขนาดใหญ่โตก็นาบลงมาบนใบหน้าของหัวขโมยจนได้ หัวขโมยสะบัดหน้าไปอย่างแรง สูดลมหายใจลึกๆ แต่เหมือนว่าอากาศโดยรอบนี้จะมีแต่กลิ่นเท้าของซางเทียนซั่วตลบอบอวลไปหมด ตอนเพิ่งจะสูดลมหายใจได้ครึ่งเฮือก เขาก็ส่งเสียงอุกออกมาอีก ครั้งนี้ไม่ใช่แค่คลื่นไส้แล้ว แม้แต่ข้าวก็อาเจียนออกมาด้วย…
ซางเทียนซั่วเกือบจะอาเจียนออกมาแล้ว “เ*ย แกนี่ทุเรศกว่าฉันอีกนะ แม่มันเถอะ บอกมาซิว่าแกเป็นนักเลงที่ไหน”
“ฉันอยู่กับเสี่ยปา แม่มันเถอะ ลูกไอ้ช้างเ*ด เรื่องวันนี้ยังถือว่าไม่จบหรอกนะ อีกไม่นานฉันจะจัดการแก!” หัวขโมยตะคอก เสียงตะคอกตอนนี้ไม่ต่างจากมนุษย์ป้าที่โดนตบจนร้องไห้สักเท่าไร แม้ว่าจะแพ้แล้ว แต่ก็ไม่ยอมรับความพ่ายแพ้
ได้ยินประโยคนี้ ทุกคนก็ชะงักกันหมด
กู่เสี่ยวเป่าพูดว่า “เสี่ยปาเหรอ พี่รอง ใช่เสี่ยปาที่พี่อยากไปหาหรือเปล่า”
ซางเทียนซั่วถามทันที “เสี่ยปา? เสี่ยเฉิงปาน่ะเหรอ”
“ใช่ เสี่ยเฉิงปานั่นแหละ ไอ้หนู แกเคยได้ยินชื่อนี้ใช่ไหม ฮ่าๆๆ ถ้ารู้จักก็ปล่อยฉันซะ แล้วให้ฉันตบปากสักห้าสิบที ไม่อย่างนั้นได้พังบ้านพวกแกแน่!”
“เฮ้ เ*ยแล้วไง ทำไมแกเจ๋งขนาดนี้วะ ไอ้ขี้แพ้ชวนตี!”
ขณะที่พูด ซางเทียนซั่วก็นาบเท้าขนาดใหญ่โตลงไปอีก ครั้งนี้ไม่ใช่แค่นาบลงไป หัวขโมยจะหันหลบก็หลบไม่พ้น รู้สึกว่าเท้าที่เหม็นขั้นสุดนั่นบดขยี้ไปมาบนหน้าของตน
“ฉันผิดไปแล้ว…”
“เ*ดเข้ ฮ่าๆ ไหนพูดอีกรอบซิ”
หัวขโมยเงยหน้ามองซางเทียนซั่ว ไอ้เด็กอายุยี่สิบกว่าปีคนนี้ในสายตาเขาก็คือปีศาจชัดๆ ถึงแม้ว่าจะรู้สึกไม่พอใจ แต่เขารับมือกับการทรมานแบบนี้ไม่ไหวจริงๆ…
“ปู่ครับ ผมผิดไปแล้ว ปู่…อย่าทรมานผมเลย ผมยอมแพ้แล้ว!”
ถัดมา ขอทานสองคนที่อยู่ด้านหลังเขาก็รีบพูดว่า “พวกเราก็ผิดไปแล้ว พี่ชายรีบใส่รองเท้ากลับไปเถอะนะ ทนไม่ไหว ฉันจะอ้วกอยู่แล้ว”
ซางเทียนซั่วถึงได้สวมรองเท้ากลับไป แต่เพราะไม่มีลมอะไรเลย กลิ่นนี้จึงยังลอยวนอยู่ในอากาศ ทำให้คนที่ได้กลิ่นไม่อยากเดินผ่านไปเลย
ซ่งจื่อเซวียนพูด “เทียนซั่ว หยุดเล่นได้แล้ว ให้เขาพาพวกเราไปหาเสี่ยปา”
“รับทราบ” ซางเทียนซั่วใส่รองเท้าเรียบร้อย มองไปทางหัวขโมยคนนั้น “ลุกขึ้น พาพวกเราไปหาเสี่ยปา”
“พวกนายอยากเจอเสี่ยปาเหรอ” หัวขโมยชะงัก ไอ้เด็กเวรพวกนี้อยากตายหรือไง เมื่อกี้ก็จัดฉันไปชุดหนึ่ง ตอนนี้ยังกล้าไปหาเสี่ยปาอีกเหรอ ไม่กลัวเสี่ยปาหั่นเป็นชิ้นๆ หรือไง
“ใช่ พาพวกเราไปเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปพูดใกล้ๆ
หัวขโมยมองนักเลงคนอื่น ลุกขึ้นพูดทันที “ก็ได้ ไปกันเถอะ ฉันจะพาพวกนายไป อยู่ข้างหน้านี่เอง ไม่ไกล”
หลังจากนั้น กู่เสี่ยวเป่าก็สั่งให้ขอทานพวกนั้นแยกย้ายไปก่อน แล้วค่อยเดินตามพวกนักเลงไป
ระหว่างทาง ซ่งจื่อเซวียนรู้ว่านักเลงมีชื่อว่าจางเปียว ฟังจากที่พูดๆ มาเขาเป็นลูกน้องที่นับว่าเสี่ยปาให้ทำงานสำคัญอยู่ อีกทั้งคืนนี้เสี่ยปาไม่ได้อยู่ที่ร้านคาราโอเกะหงหลิน หรือก็คือถ้าไม่ได้เจอกับจางเปียว คืนนี้พวกเขาคงหาเสี่ยปาไม่เจอจริงๆ แน่
เดินมาประมาณสิบนาทีกว่า พวกเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ตึกหอพักสองชั้น จางเปียวพูดว่า “เสี่ยปาอยู่ข้างบน พวกนายก็ตามฉันมาแล้วกัน”
พวกเขาเดินเข้าไปในตึก ชั้นหนึ่งของหอเหมือนกับเคาน์เตอร์ต้อนรับในโรงแรม แต่ละห้องแปะป้ายราคาเอาไว้ด้านบน แต่ราคาแพงที่สุดเพียงแค่ 100 หยวน หรือก็คือโรงแรมเกรดต่ำขนาดเล็กนั่นเอง
ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกแปลกใจว่าที่ที่ห่างไกลขนาดนี้ยังเปิดโรงแรมได้ ธุรกิจยังไปได้ดีไหมเนี่ย หากเทียบการค้าขายกันระหว่างเสี่ยเคอซานกับเสี่ยปาคนนี้ ดูท่าจะเทียบกันไม่ติดจริงๆ
ขึ้นไปชั้นสอง จางเปียวเดินไปถึงหน้าประตูห้องห้องหนึ่ง พูดว่า “เสี่ยปาไม่ชอบเจอคนแปลกหน้า พวกนายเข้าไปได้แค่คนเดียวเท่านั้น”
“อย่างนั้นไม่ได้สิ พวกเรามาด้วยกัน ก็ต้องไปด้วยกันสิ ใช่ไหม” กู่เสี่ยวเป่าพูด
“ไม่มีทางซะหรอก เด็กขอทาน ฉันรู้ว่านายเป็นคนของแก๊งขอทาน แต่นายก็น่าจะรู้จักเสี่ยปานะ เขาไม่ใช่คนที่พวกนายจะยั่วยุได้” จางเปียวพูด
“แม่มันเถอะ นายอยากจะชิมเท้าของฉันอีกใช่ไหม ให้พวกเราเข้าไปทั้งหมดนี่แหละ” ซางเทียนซั่วพูด
จางเปียวส่ายหน้า “พวกเราอย่าอย่าสร้างปัญหาให้กันเลย ถ้าเสี่ยปาไม่โอเคขึ้นมาจริงๆ คิดว่าวันนี้พวกนายก็คงจะมาเสียเที่ยวแล้วล่ะ”
ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด พูดว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันจะเข้าไปกับนาย”
จางเปียวพยักหน้า แต่ตอนที่เขาเปิดประตู ซ่งจื่อเซวียนก็แข็งค้างไปทั้งตัว ที่นี่เบื้องหน้าเป็นโรงแรม ที่แท้ด้านในยังมีอีกโลกหนึ่งอยู่!
………………………………………..