เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 57 ทำให้คุณหาเงินได้
ตอนที่ 57 ทำให้คุณหาเงินได้
ถ้าบอกว่านี่คืออุบัติเหตุ จะต้องเป็นอุบัติเหตุที่ซ่งจื่อเซวียนก่อขึ้นแน่ๆ
ความจริงอาศัยแค่ตาเนื้อมอง ซ่งจื่อเซวียนไม่มีทางมองออกว่าเหล่าซื่อโกงแน่ๆ ถึงอย่างไรก็เป็นนักต้มตุ๋นที่มีประสบการณ์เต็มเปี่ยม เชี่ยวชาญเทคนิคการโกงมานานแล้ว นอกจากกล้องขนาดเล็กความคมชัดสูงก็ไม่มีทางโดนคนจับได้อย่างแน่นอน
แต่ซ่งจื่อเซวียนมองออกได้โดยอาศัยคำพูดประโยคหนึ่งของฟางจิ่งจือ สิบเดิมพันเก้ากลโกง เล่นได้ไพ่สวยในเกมความเป็นความตายได้ น้อยมากที่จะพึ่งโชค ส่วนใหญ่ที่พึ่งจะเป็นเทคนิคมากกว่า
ดังนั้นซ่งจื่อเซวียนจึงเดิมพันหนึ่งตา เหล่าซื่อคนนี้เพิ่งจะชนะเสี่ยปาในไพ่ตาก่อนก็คือเข้าใกล้ไพ่ของเกมความเป็นความตาย เขาเดิมพันว่าคนคนนี้โกง และตานี้ก็เป็นพนันตาหนึ่งเหมือนกัน ขณะที่เหล่าซื่อเปิดไพ่ เขาแค่รอมือของเหล่าซื่อสัมผัสหน้าไพ่แล้วถีบไปอย่างแรงทันที คาดไม่ถึงว่าคนคนนี้จะเผยพิรุธออกมาจริงๆ
ภายใต้การจับจ้องของทุกคน ไพ่ที่เหล่าซื่อซ่อนเอาไว้ร่วงลงมา ครั้งนี้ก็ไม่มีอะไรโต้แย้งได้แล้ว
เสี่ยเฉิงปาหัวเราะ “เหล่าซื่อ ใช้ได้นี่ โกงต่อหน้าเสี่ยปาเหรอ แกว่าจะทำยังไงกับเรื่องนี้ดีล่ะ”
เหล่าซื่อตกใจจนขาสองข้างสั่น เม็ดเหงื่อบนหน้าเหมือนกับฝนตก ถึงแม้ว่าเขามาเที่ยวที่นี่จะพาลูกน้องมาด้วยสองคนก็ตาม แต่นี่คือถิ่นของเสี่ยปา ต่อให้พามาสิบคน เกรงว่าเขาก็ไม่กล้าอวดเบ่ง อีกอย่าง คนที่กล้ายั่วยุเสี่ยเฉิงปาในเขตเฉิงตงแทบจะไม่มี เหล่าซื่อก็ย่อมไม่ใช่ข้อยกเว้น
“สะ เสี่ยปา วันนี้ผมแพ้แล้ว ที่ชนะไปผมจะคายออกมาให้หมด”
นี่ก็คือศัพท์เทคนิค คายหมายถึงคืนเงินที่ชนะวันนี้มาทั้งหมด
เสี่ยเฉิงปาแค่นหัวเราะ นั่งบนเก้าอี้คลอนหัว “คาย…ก็ต้องแน่อยู่แล้ว แต่แกมาเล่นกับเสี่ยปาไม่ใช่แค่วันสองวันนี่สิ ก่อนหน้านี้ล่ะจะว่ายังไง”
“คายหมดเลยครับ เสี่ยปาวางใจ คุณคำนวณได้เลย ผมจะคายออกมาทุกหยวน” เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงเหล่าซื่อเริ่มสั่นเครือแล้ว
“เหอะๆ นับว่าแกเข้าใจกฎ แต่ว่า…เสี่ยปาไม่ใช่คนอื่น แกเล่นเล่ห์ต่อหน้าฉัน อีกทั้งวันนี้ยังล้อเสี่ยปาเล่นอีก แกว่าต้นตอนี้จะจัดการยังไงดี”เสี่ยเฉิงปาตวัดขาขึ้นนั่งไขว่ห้าง หยิบแก้วชาข้างมือขึ้นจิบ
“ผม…เสี่ยปา คุณว่า…”
“เด็กอย่างแกใช้ชีวิตอยู่ในเขตเฉิงตงไม่ใช่แค่วันสองวัน ตอนนี้ก็พอมีหน้ามีตาบ้าง ฉันไม่กระทืบแกไม่ด่าแก แต่แกต้องเอาอะไรสักอย่างให้เสี่ยปานะ”
เหล่าซื่อสูดลมหายใจลึก “เสี่ยปา ถ้าคุณพูดมาขนาดนี้…ผมก็อยากพูดอะไรสักประโยค”
“โอ้ อยากจะอธิบายอะไรกับฉันเหรอ ได้สิ แกลองพูดมาสิ”
“ปีที่แล้วตอนที่ร้านบะหมี่ซุ่นเฟิงโด่งดังที่สุด เป็นคนของเสี่ยปาที่พังร้าน ปีนี้หลอกผมไปอย่างน้อยสามแสนกว่าหยวน ผมชนะคุณที่นี่ได้เงินนิดหน่อยคงไม่เกินไปมั้งครับ”
“ฮ่าๆๆๆ ไม่เกินไป ยังไม่เกินไปจริงๆ” พูดพลาง เสี่ยปาก็ลุกขึ้นเดินไปยืนเบื้องหน้าของเหล่าซื่อ เสี่ยปาสูงใหญ่แข็งแรง สูงกว่าอีกฝ่ายไปครึ่งหัวเต็มๆ “แต่วันนี้แกพูดจากับฉันแบบนี้เรียกว่าไม่มีมารยาท!”
ผัวะ!
ขณะที่พูด เสี่ยปาก็ซัดหมัดไปที่ปาก มุมปากของเหล่าซื่อมีเลือดไหลออกมาทันที
ซ่งจื่อเซวียนลอบสูดลมหายใจเงียบๆ เทียบกับเคอซานแล้ว ร่างกายของเฉิงปาห้าวหาญมากกว่า ถ้าบอกว่าเคอซานมีพวกพ้องเยอะ อย่างนั้นเฉิงปาพึ่งแค่ตัวเองคนเดียวเกรงว่าก็สามารถทุ่มผู้ชายสองสามคนได้
“เหลยจื่อ!”
“ครับ เสี่ยปา!” ลูกน้องที่แข็งแรงสูงใหญ่มาขานตอบ
“ที่เขาว่าร้านบะหมี่นั่นใครเป็นคนทำนะ”
“เป็น…จางเปียวครับ”
เหลยจื่อพูดจบ จางเปียวก็หน้าแดงไปหมด คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้พูดไปพูดมาจะมาถึงตัวเขาได้
“จางเปียว เกิดอะไรขึ้น” เสี่ยเฉิงปาถาม
“เอ่อ…เสี่ยปา ร้านอาหารจานด่วนของพวกเราก็อยู่แถวนั้นเหมือนกัน ร้านบะหมี่พวกเขาดังแล้ว พวกเราขายไม่ได้เลยครับ” จางเปียวพูด
เสี่ยเฉิงปาพยักหน้า “เข้าใจละ เหล่าซื่อ แกแม่งมาเปิดร้านหน้าร้านฉัน รนหาที่ตายเองยังมาโทษฉันอีกเหรอ”
“ผม…เสี่ยปา เรื่องนี้จะพูดแบบนี้ไม่ได้ เปิดร้านอาหารตรงไหนก็นับว่าแข่งกันอย่างเท่าเทียม จะมาทำลายกันซึ่งๆ หน้าไม่ได้มั้งครับ”
“ช่างคำพูดหมาๆ ของแม่แกไปเหอะ ทำไมแกขวางทางฉัน ฉันก็ไม่ไปแตะต้องแถมยังปล่อยแกไว้อีกล่ะ เอาเหอะ เรื่องนั้นแกสมควรโดนแล้ว พูดเรื่องวันนี้กันเถอะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันรู้ว่าแกมีร้านซาลาเปาร้านหนึ่งอยู่ตรงตีนสะพานตง ลูกค้าเยอะไม่เบา พรุ่งนี้แกไปเดินเรื่องกับเหลยจื่อ ยกร้านให้ฉันซะ”
ซ่งจื่อเซวียนแอบตกใจเงียบๆ อย่างห้ามไม่อยู่ เสี่ยปาคนนี้เผด็จการอยู่พอสมควรจริงๆ เคอซานยังไม่พูดตรงไปตรงมาแบบนี้ เขาปล้นอย่างโจ่งแจ้งตรงๆ อย่างนี้เลย
อีกทั้งจากคำพูดเมื่อครู่เขาก็ฟังออกว่าเสี่ยปาคนนี้ไร้เหตุผลพอกัน มีคนเปิดร้านใกล้ร้านเขา ค้าขายดิบดีก็ทำลายหมด ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
ซ่งจื่อเซวียนเริ่มใคร่ครวญ สรุปว่าต้องขอความช่วยเหลือจากเสี่ยเฉิงปาหรือไม่ ติดต่อกับคนแบบนี้ไปจะทำให้เรื่องวุ่นวายกว่าเดิมหรือเปล่า
แต่ไม่นานนักเขาก็ตัดสินใจ ตอนนี้นอกจากเฉิงปา…เหมือนจะไม่มีตัวเลือกที่ดีไปกว่านี้แล้ว และไม่มีทางก้มหัวต่อหน้าหลินเทียนหนานด้วย
“ไม่ได้สิครับเสี่ยปา ร้านนั้นผมทำมาสามปีแล้ว ธุรกิจมั่นคงมาก รายได้ครอบครัวผมก็พึ่งมันทั้งหมดเลย” เหล่าซื่อรีบพูด แฝงความเว้าวอนไว้ในคำพูดด้วย
“ไม่ได้เหรอ ก็ได้ คายเงินออกมาก่อนแล้วค่อยให้ค่าทำขวัญเสี่ยปาสองแสน แม่มันเถอะ เล่นโกงฉันในที่ของฉัน เบื่อจะใช้ชีวิตแล้วใช่ไหม” เสี่ยเฉิงปาพูด
“เสี่ยปา ผม…”
“หุบปาก ลูกสาวแกอยู่ที่โรงเรียนมัธยมต้นสือซานใช่ไหม แกคงไม่คิดจะให้เสี่ยปา…”
น้ำตาเหล่าซื่อคลอเต็มเบ้าในพริบตา เขาอาจจะนึกเสียใจแล้วเช่นกัน ถ้าลืมๆ เรื่องนั้นไปเสียก็ไม่ถึงขนาดกับไปยั่วยุเสี่ยเฉิงปาขนาดนี้ ตอนนี้ยั่วยุไปแล้ว…ตนเองไม่มีทางทนรับความกดดันไหว
“เสี่ยปา…ไม่ต้องพูดแล้วครับ ผมยอมแล้ว!”
“อย่างนั้นก็ดี เหลยจื่อ พาเขาออกไป จัดการเซ็นสัญญาให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ส่งคนไปเก็บร้าน”
“ครับ เสี่ยปา!”
พูดจบ เหลยจื่อก็คว้าตัวเหล่าซื่อออกไป ส่วนลูกน้องสองคนที่เขาพามาด้วยก็ตกใจจนไม่กล้าพูดอะไรตั้งนานแล้ว เดินหน้ามึนตามไปข้างหลัง ไม่กล้าทำอะไร
หลังจากนั้น เสี่ยปาก็เรียกให้ซ่งจื่อเซวียนนั่งลง พูดว่า “ไอ้หนู แกเก่งพอตัวเลยนี่ เมื่อก่อนไม่เห็นเคยเจอแกเลย แกมาจากไหนล่ะ”
“เสี่ยปา ผมซ่งจื่อเซวียนจากเขตเฉิงซี วันนี้ตั้งใจมาเยี่ยมเยียนคุณโดยเฉพาะ แล้วก็บังเอิญช่วยคุณจับกลนี้ได้” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“โห เฉิงซีเรอะ อย่างนั้นแกก็ไม่ควรว่าเยี่ยมเยียนฉันสิ แกควรจะไปเยี่ยมเยียนเคอซานนู่นถึงจะถูก” เสี่ยเฉิงปาพูดพลางคลึงลูกเหล็กสองลูกในมือ
“เสี่ยปาล้อเล่นกันแล้ว ในเมื่อผมมาเยี่ยมเยียนโดยเฉพาะ ย่อมคิดว่ามาหาคุณน่าเชื่อถือมากกว่าไปหาเสี่ยเคอซานอยู่แล้ว
ได้ยินคำพูดนี้ เสี่ยเฉิงปาก็หัวเราะ ในเมืองตู้เหมิน ผู้มีอิทธิพลในวงการอาหารมีไม่มาก เขากับเคอซานนับว่าเป็นหนึ่งในนั้นได้ ถึงปกติทั้งสองจะโคจรมาพบกันน้อยครั้ง แต่ก็เคยเจอกันหลายครั้ง เบื้องหน้าสุภาพอ่อนโยน แต่ในที่ลับก็ต่อสู้กัน
เมื่อก่อนเคยมีร้านทำเลทองแห่งหนึ่งว่ากันว่าโดดเด่นมากตั้งอยู่ระหว่างเขตเฉิงตงและเฉิงซีในเมืองตู้เหมิน แม้ว่าร้านจะเล็กมาก มีโต๊ะแค่หกตัว แต่ปีหนึ่งได้กำไรสุทธิห้าแสนหกแสนหยวน ทั้งสองเคยทะเลาะกันก็เพราะแย่งชิงร้านนี้ สุดท้ายเฉิงปาก็เป็นฝ่ายประนีประนอม เขาจดจำเรื่องนี้ฝังใจมาตลอด ดังนั้นเขาจึงยังมีความรู้สึกเป็นปรปักษ์กับเคอซานอยู่
“เหอะๆ ไอ้หนู เสี่ยปาไม่ชอบให้คนอื่นเยินยอ เพราะมันปลอมทั้งนั้น แต่ว่า…วันนี้คำพูดของแกน่าฟัง!”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย ถ้าเฉิงปาคนนี้ชอบฟังคำพูดหวานหู เขาก็พูดได้อีกเป็นพรวน
แต่เขารู้ดีว่าตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการพูดความจริง สำหรับคนอย่างเคอซานและเฉิงปาแล้วล้วนเอาผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง จะพูดถ้อยคำรื่นหูอีกสักแค่ไหนมากสุดก็คือการเอาอกเอาใจเขาให้มีความสุขเท่านั้น
“เสี่ยปา ความจริงแล้วที่ผมมาครั้งนี้คือ…มาขอความคุ้มครองครับ”
“ขอความคุ้มครองเหรอ เหอะๆ น้องชาย ดูเหมือนว่าฉันจะไม่ได้รู้จักแกเลยนะ”
ขอความคุ้มครองเป็นภาษาลับในพื้นที่ตู้เหมิน หมายถึงหวังให้อีกฝ่ายปกป้องตนเองไม่ให้ถูกคนบนดินรังแกได้
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “แหะๆ ที่พูดก็ไม่ผิดหรอกครับ แต่เสี่ยปา ผมคิดว่าถ้าคุณปกป้องผม…คุ้มค่าแน่ครับ!”
“โอ้” เสี่ยเฉิงปาเบิกตาขึ้นเล็กน้อย เหมือนกับเริ่มสนใจซ่งจื่อเซวียนแล้ว อย่างน้อยก่อนหน้านี้ก็ยังไม่เคยมีใครกล้าพูดจากับเขาแบบนี้มาก่อน “งั้นแกลองว่ามาสิว่าคุ้มค่ายังไง”
ซ่งจื่อเซวียนมองคนรอบๆ เสี่ยเฉิงปาก็เข้าใจความหมายของเขาทันที “คนของฉันทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่พูดไม่ได้”
“เสี่ยปา เรื่องนี้…เกรงว่าเลี่ยงพูดไว้จะดีกว่า ถ้าเป็นกำไรแปดหมื่นหรือหนึ่งแสน ผมก็คงไม่ตั้งใจมาจากเฉิงซี”
ได้ยินประโยคนี้ เสี่ยเฉิงปาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้สังคมไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว เป็นไปไม่ได้แล้วที่นักเลงคิดอยากจะใช้ชีวิตให้ดีโดยพึ่งการขโมยการแย่งชิง พลาดครั้งเดียวก็ต้องเข้าคุกไปหลายปี ดังนั้นจึงยังต้องทำธุรกิจที่ถูกกฎหมาย เฉิงปาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
หลายปีมานี้ธุรกิจอาหารของเขาก็ธรรมดาๆ ไม่นับว่าจน แต่ก็ขาดเงินจริงๆ ซ่งจื่อเซวียนเปิดปากก็หยิบยกแปดหมื่นหนึ่งแสนว่าไม่นับว่าเป็นเงิน ย่อมทำให้เขารู้สึกสนใจอยู่แล้ว
เขาประเมินคนหนุ่มตรงหน้า ยกมือขึ้นโบกให้ไปข้างนอกทันที คนอื่นๆ ก็ถอยออกไป
ตอนนี้ ในห้องส่วนตัวมีแค่เสี่ยเฉิงปาและซ่งจื่อเซวียนแล้ว ใต้หลอดไฟ หมอกควันยังลอยอบอวลอยู่ ทั้งสองคนห่างกันประมาณหนึ่งเมตร ถึงเสี่ยเฉิงปาจะสูงใหญ่น่าเกรงขาม แต่ท่าทางผ่อนคลายและสงบของซ่งจื่อเซวียนกลับไม่ด้อยไปกว่ารัศมีของเขาสักนิด
“ไอ้หนู พูดมาเถอะ”
ซ่งจื่อเซวียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “เรื่องนี้…ผมเชื่อว่าในเมืองตู้เหมินมีแค่เสี่ยปาที่สามารถปกป้องได้”
“ที่แกว่ามาแบบนี้…แกผิดใจกับเคอซานเหรอ”
“สมกับที่เป็นเสี่ยปา แค่พูดไม่กี่ประโยคคุณก็ฟังออกแล้ว ถูกต้องครับ ตอนนี้เคอซานทำให้ผมลำบากใจมาก”
ได้ยินดังนั้น เสี่ยเฉิงปาสูดปากด้วยความตกตะลึง ถ้าช่วยเขาจัดการนักเลงธรรมดา เสี่ยเฉิงปาไม่มีทางยอมแพ้แน่นอน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ต้องออกหน้า คนบนถนนได้ยินชื่อเขาก็ต้องไว้หน้าเขาหลายส่วน แต่เสี่ยเคอซานเป็นหนึ่งข้อยกเว้น นี่เป็นคนที่เท่าเทียมกับเขาได้มากพอกระทั่งอำนาจมากกว่าเขาด้วยซ้ำ
“เหอะๆ เคอซาน…ไอ้หนู จนถึงตอนนี้แกยังไม่ได้บอกฉันเลยว่าฉันคุ้มครองแกแล้วมัน ‘คุ้มค่า’ ยังไง”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้า “ผมไม่ทำให้เสี่ยปาเหนื่อยเปล่าแน่นอนครับ เสี่ยปา ผมขอถามคุณสักหน่อยว่า ตำแหน่งของคุณในเฉิงตงตู้เหมินก็สูงมาก แต่ทำธุรกิจเป็นยังไงบ้างครับ”
“ไอ้หนู แกหมายความว่ายังไง จะล้อเสี่ยปาเล่นหรือไง” เสี่ยเฉิงปาแค่นเสียง หลายปีมานี้ธุรกิจของเขาธรรมดามากจริงๆ ดังนั้นการที่ซ่งจื่อเซวียนพูดแบบนี้ย่อมทำให้เขารู้สึกว่าถูกเปิดโปงจุดอ่อนเล็กน้อย
“ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ผมแค่คิดว่า…ผมมีความสามารถที่ทำให้เสี่ยปาหาเงินได้ หาเงินได้มากยิ่งกว่านี้” ซ่งจื่อเซวียนพิงด้านหลัง นั่งไขว่ห้าง ไม่ยี่หระดังเดิม
เสี่ยเฉิงปาหรี่ตาลงมองซ่งจื่อเซวียนเล็กน้อย อดแค่นหัวเราะไม่ได้ “เหอะๆ ไอ้หนู เสี่ยปาเดินบนเส้นทางนี้เป็นวันแรกหรือไง แกคงไม่ใช้แค่ถ้อยคำนี้ทำให้ฉันเชื่อแกหรอกใช่ไหม”
“เสี่ยปา สิ่งที่คุณทำคือธุรกิจอาหาร น่าจะเคยได้ยินเรื่องข้าวผัดจักรพรรดิแล้วใช่ไหมครับ”
ได้ยินคำว่าข้าวผัดจักรพรรดิ เสี่ยเฉิงปาเหมือนกับโดนคนเหยียบเส้นประสาท ดีดตัวยืนขึ้นทันที ยันแขนสองข้างกับโต๊ะ ถามว่า “ข้าวผัดจักรพรรดิ? แกทำข้าวผัดสูตรข้าวผัดจักรพรรดิได้เหรอ”
……………………………………………..