เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 59 รอยยิ้มภาคภูมิใจ
ตอนที่ 59 รอยยิ้มภาคภูมิใจ
ด้านนอกประตูตอนนี้ ซางเทียนซั่วร้อนรนกระวนกระวาย เดินไปเดินมาไม่รู้กี่รอบ ก้นบุหรี่แทบจะซ้อนกันเป็นชั้นบนพื้น แต่กู่เสี่ยวเป่าค่อนข้างจะสุขุมอยู่บ้าง นั่งอยู่ที่มุมกำแพง บ้างสัปหงกบ้างลุกขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่างเป็นครั้งคราว
“เด็กขอทาน ไม่งั้นพวกเราบุกเข้าไปเลยเถอะ นี่ก็ตั้งนานแล้ว ฉันกลัวว่าอาจารย์จะมีเรื่อง”
กู่เสี่ยวเป่าพิงผนัง เงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ไม่สนใจ แต่ในใจกลับยอมรับตัวตนของซางเทียนซั่วแล้ว
แม้ว่าซางเทียนซั่วคารวะอาจารย์ได้ไม่นาน แต่เคารพซ่งจื่อเซวียนจริงๆ พูดจาก็นอบน้อม ถึงระยะเวลาสั้นจะไม่จำเป็นว่าความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์จะต้องลึกซึ้ง แต่อย่างน้อยก็มองเห็นความมีสัจจะของเขาได้
“โธ่ เขาเป็นพี่รองของนายนะ นายไม่ร้อนใจเลยเหรอ”
“ร้อนใจอะไร ร้อนใจนักนายก็ไปเถอะ ฉันจะพักอีกสักหน่อย” กู่เสี่ยวเป่าพูดแล้วหาวอย่างเกียจคร้าน
“พักสักหน่อยเหรอ ให้ตายสิ เดี๋ยวนี้ขอทานขี้เกียจกันขนาดนี้เลยเหรอ อย่างนี้พวกนายขอทานกันยังไงเนี่ย”
“สิ่งที่ขอทานพึ่งพิงไม่ใช่ความขยัน แต่เป็นปฏิภาณไหวพริบต่างหาก ถ้านายมีไหวพริบมากพอ ถึงนายจะขี้เกียจก็มีข้าวให้กิน ขอทานบางคนก็ขยันขันแข็ง ออกไปวิ่งขอทานทั้งวัน ก็ไม่แน่ว่าจะหาสิบหยวนมาได้” กู่เสี่ยวเป่าพูด
“ก็ได้ๆ ฉันไม่หารือเรื่องเทคนิควิชาชีพของพวกนายกับนายแล้ว นายว่าตอนนี้ทำยังไงดีล่ะ เราสองคนจะเอาแต่รออยู่อย่างนี้ไม่ได้มั้ง”
กู่เสี่ยวเป่ากลอกตาใส่เขา “แล้วยังไงล่ะ เราสองคนบุกเข้าไป เขามีกันอยู่กี่คนนายรู้หรือไง นายรู้อำนาจของเฉิงปาคนนี้เหรอ ที่นี่เป็นที่ยังไงนายไม่รู้หรือไง”
“กลัวอะไรล่ะ พี่น้องแก๊งขอทานของพวกนายไม่ใช่ว่ามีเยอะเหรอ ก็เรียกมาสิ ทุกคนบุกเข้าไปพร้อมกันก็จบแล้ว เมื่อกี้ฉันเพิ่งเห็นว่าพี่น้องขอทานพวกนั้นของนายขึงขังมากพอตัวเลยนะ แต่ละคนเหมาะกับการทะเลาะวิวาท!”
พูดพลาง ซางเทียนซั่วก็เดินไปอยู่เบื้องหน้ากู่เสี่ยวเป่าแล้วเริ่มแตะตัว กู่เสี่ยวเป่าขนลุกขึ้นมาทั้งตัวทันที “ทำอะไรของนายเนี่ย เป็นบ้าหรือไงมาแตะตัวฉันน่ะ”
“นกหวีดนั่นของนายล่ะ หยิบออกมาเป่าสิ ให้พวกพี่น้องรวมตัวกัน!”
กู่เสี่ยวเป่าลุกขึ้นยืนทันที “อยากตายหรือไง นกหวีดนั่นของฉันจะเป่าตามอำเภอใจได้ยังไง ดีไม่ดีคนของแก๊งขอทานยังไม่มา คนด้านในก็ออกมาแล้ว เราสองคนได้โดนตัดตอนนายก็คงไปสงบแล้ว”
ได้ยินประโยคนี้ ท่าทางของกู่เสี่ยวเป่าก็เคร่งขรึมขึ้น “ฉันจะบอกนายให้นะ หยิบยกเรื่องแก๊งขอทานมาพูดให้น้อยๆ หน่อย ต่อให้นายเป็นหลานชายคนโตของฉัน ฉันก็จะจัดการนายตามเดิม นายเชื่อไหมล่ะว่าฉันรวบรวมเหล่าพี่น้องมารุมกระทืบนายได้!”
ซางเทียนซั่วผงะไป “เ*ดเข้ เด็กขอทานอย่างนายมีจิตสำนึกไหมเนี่ย รวบรวมพี่น้องไปกระทืบพวกเขานายกลัวตาย พอจะกระทืบฉันได้เฉยเลย นายแม่งกล้ากับฉัน รุนแรงกับคนใกล้ตัวจริงๆ!”
กู่เสี่ยวเป่ากลอกตา “ฉันรุนแรงกับคนใกล้ตัวเหรอ ฉันว่านายนั่นแหละที่โตแต่ตัวไม่มีสมอง นายคิดว่าที่นี่คือที่ไหนกัน”
“โรงแรมไง อ้อ ไม่สิ เหมือนจะเป็น…ห้องเช่ารายวัน!”
“เฮอะ นายคิดว่าคนอย่างเสี่ยเฉิงปาจะสบายใจที่จะอยู่ในห้องเช่ารายวันหรือไง ถ้าฉันเดาไม่ผิด ในนี้จะต้องเป็นโถงที่มีชื่อเสียงแน่นอน ด้วยความสามารถของพี่รองจะต้องปรับตัวตามสถานการณ์ได้แน่ ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะคุยกับเสี่ยเฉิงปาได้แล้ว”
“อะไรกัน นายคิดว่าเสี่ยเฉิงปาเป็นเด็กประถมหรือไง ฉันเดาว่าจะต้องเป็นพวกผีห่าซาตานแน่ แม่มันเถอะ เขาคงไม่กระทืบอาจารย์ฉันแล้วใช่ไหม” ซางเทียนซั่วพูดด้วยตาเบิกกว้าง
กู่เสี่ยวเป่าเหลือบมองเขา คร้านจะสนใจอีก
แต่ประตูก็เปิดออกมาพอดี จางเปียวเดินออกมากับซ่งจื่อเซวียน
“อาจารย์ ออกมาแล้วเหรอ พวกเขากระทืบอาจารย์หรือเปล่า เจ็บไหม” ซางเทียนซั่วถามอย่างกังวล
กู่เสี่ยวเป่ากลอกตาใส่เขา “ยังดูไม่ออกอีกเหรอว่าพี่รองยังสบายดีอยู่น่ะ”
“ไม่เป็นไร วางใจเถอะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
จางเปียวพูดขึ้นมา “นายท่านซ่ง เรื่องคืนนี้…จางเปียวผิดเอง คุณอย่าใส่ใจเลยนะ ผมไม่รู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเสี่ยปา ถึงได้…”
ถ้าเป็นคนธรรมดาเกรงว่าคงไม่ยอมรับแล้ว ถึงอย่างไรตนก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับเสี่ยปาเลย แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับยิ้ม “ไม่เป็นไร กับเสี่ยปาก็คนกันเองทั้งนั้น ผมไม่โทษอยู่แล้ว แต่ว่า…พี่ชาย วันหลังเกรงว่าต้องให้พี่ช่วยดูแลมากหน่อยแล้ว”
“ฮ่าๆ พูดได้ดี ในเมื่อเป็นคนกันเอง มีเรื่องอะไรที่ฉันช่วยได้ก็บอกกับฉันได้เลยนะ”
“ได้เลยครับ พี่พูดแบบนี้ผมก็วางใจ ถ้างั้นผมกลับก่อนนะ!”
“กลับดีๆ นะนายท่านซ่ง!” จางเปียวพูดพลางประสานหมัดคารวะ ประสานหมัดนับเป็นมารยาทในยุทธภพ เสี่ยปาของเขายังประสานหมัดคารวะเลย เขาก็ไม่กล้าไม่เคารพอยู่แล้ว
ถึงได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนว่านายท่านซ่งจะทำให้ซ่งจื่อเซวียนรู้สึกติดขัดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขารู้ดีว่าการจะยืนหยัดอยู่ท่ามกลางคนพวกนี้ บางเวลาจะเกรงใจเกินไปไม่ได้ ถ้าเกรงใจเกินไปรัศมีก็ไม่มีแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้พูดอะไร หันหลังเดินออกไป พร้อมกับกู่เสี่ยวเป่าและซางเทียนซั่วที่เดินตามอยู่ด้านหลัง
เห็นทั้งสามคนจากไป จางเปียวก็ถอนหายใจออกมาเงียบๆ อย่างอดไม่อยู่ นายท่านคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เดินจับมือกับเสี่ยเฉิงปาออกมา ลูกน้องสองคนข้างหลังคนหนึ่งทะเลาะวิวาทเก่ง อีกคนเป็นคนอยู่ในแก๊งขอทาน ช่างเป็นคนที่มีความสามารถเสียจริง…
คืนนี้ ซ่งจื่อเซวียนคงนอนหลับฝันดีอย่างหาได้ยาก แก้ปัญหาเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในใจได้แล้ว ในที่สุดก็วางใจได้เสียที
ความจริงแล้วเรื่องที่ซ่งจื่อเซวียนกังวลใจที่สุดมีอยู่สองเรื่อง หนึ่งคือเรื่องเคอซาน อีกหนึ่งคือเรื่องหลินเทียนหนาน เคอซานบีบบังคับตนให้ส่งสูตรให้ ส่วนหลินเทียนหนานก็ข่มขู่ให้ตนเพิ่มจำนวนข้าวผัด
แต่ตอนนี้ประจวบเหมาะกับที่เสี่ยปาสามารถช่วยจัดการได้ มีเขาคอยสนับสนุนบางทีเคอซานอาจจะทำอะไรตนไม่ได้ และมีร้านที่ร่วมมือกับเสี่ยเฉิงปา ซ่งจื่อเซวียนก็กล้าที่จะออกมาจากต้าสือไต้เช่นกัน
เขาเคยกลัวว่าถ้าทำงานที่ต้าสือไต้ไม่ดีจะทำให้หลินเทียนหนานผิดหวัง แต่ผ่านเรื่องราวมามากขนาดนี้ เขาก็ทำเงินให้ต้าสือไต้ไม่น้อย ถือว่าตอบแทนความกรุณาเรื่องเงินเดือนแปดหมื่นหยวนกับหลินเทียนหนานแล้ว ถ้าออกมา ก็ไม่มีอะไรขาดทุน
ที่สำคัญที่สุดคือตอนนี้ข้าวผัดจักรพรรดิโด่งดังกระฉ่อนไปทั้งวงการอาหารตู้เหมินแล้ว ก้าวถัดไปมีความเป็นไปได้มากว่าจะโด่งดังไปทั่วสารทิศ เขาที่มาพร้อมกับฝีมือแบบนี้ ไปอยู่ที่ไหนก็สามารถเปล่งประกายได้ทั้งนั้น
แต่เงื่อนไขแรกที่สำคัญอย่างหนึ่งนั่นก็คือเขาต้องดูแลความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยเฉิงปาให้ดี ไม่อย่างนั้นเฉิงปาคนเดียวอาจจะพัฒนาบทบาทกลายเป็นเคอซานหรือหลินเทียนหนานได้
ดังนั้นมีทางเดียวก็คือจะก้มหัว ยอมจำนน หรือกระทั่งถอยให้และประนีประนอมต่อหน้าเฉิงปาไม่ได้เด็ดขาด ต้องแสดงท่าทีที่ว่าถ้านายกล้าแข็งขืนฉันก็จะตัดเส้นทางรวยของนายเสียถึงจะรอด!
เนื่องจากนอนเร็ว วันถัดมาซ่งจื่อเซวียนจึงตื่นแต่เช้าตรู่ อีกทั้งยังกระปรี้กระเปร่า สำหรับเขาแล้วภารกิจวันนี้นอกจากทำข้าวผัดจักรพรรดิยี่สิบที่แล้ว ยังมีอีกอย่างนั่นก็คือรอการมาเยือนของเสี่ยเฉิงปา ขอแค่เขามั่นใจว่าตนเองเป็นคนทำข้าวผัดจักรพรรดิ แผนการทั้งก็เริ่มต้นได้แล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้ซ่งจื่อเซวียนเหนือความคาดหมายก็คือเพิ่งจะบ่ายโมง ข้าวผัดจักรพรรดิก็ไหลมาเทมาถึงยี่สิบที่แล้ว ภารกิจสำเร็จก่อนล่วงหน้าเสียอีก
ถึงแม้ช่วงนี้จะมีออร์เดอร์ไหลมาเทมาก็เป็นเรื่องปกติสำหรับซ่งจื่อเซวียนแล้ว แต่เร็วขนาดนี้ยังเป็นครั้งแรก ต้องรู้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้พ้นช่วงเที่ยงไปเลยแม้แต่น้อย
“อาจารย์ วันนี้เร็วจริงๆ นะ พวกเราเลิกงานได้แล้ว” ซางเทียนซั่วพูดอย่างดีใจ
ที่เขาดีใจย่อมไม่ใช่เพราะเลิกงานได้แล้ว จะอย่างไรเขาก็ไม่มีที่ไป เดาได้ว่าคงยังคิดจะตามติดซ่งจื่อเซวียน เพราะฉะนั้นเขายินดีกับซ่งจื่อเซวียนจริงๆ
“ดูท่าตอนนี้…ข้าวผัดจักรพรรดิจะโด่งดังแล้วจริงๆ นี่เพิ่งบ่ายโมงเองนะ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
ซางเทียนซั่วพูดด้วยรอยยิ้ม “นั่นสิอาจารย์ อาจารย์หลบอยู่แต่ในครัวด้านหลังก็ต้องไม่รู้สถานการณ์ด้านหน้าอยู่แล้ว เมื่อกี้ผมออกไปสูบบุหรี่มา อาจารย์ทายสิว่าเกิดอะไรขึ้น”
“หืม”
“คนข้างนอกเบียดกันสั่งข้าวผัดจักรพรรดิอยู่ตรงเคาน์เตอร์ต้อนรับทั้งนั้น ดีไหมล่ะ เป็นครั้งแรกที่เห็นคนต่อแถวกินข้าวในภัตตาคาร”
ซ่งจื่อเซวียนก็ค่อนข้างตกใจ ภัตตาคารบางที่ดังแล้วถึงจะต่อคิวกัน แต่ทั้งหมดล้วนรอที่โต๊ะด้านนอกภัตตาคาร แต่ต่อคิวสั่งอาหารด้านในความจริงยังพบเห็นได้น้อย
“ทำไมพวกเขาไม่สั่งที่โต๊ะล่ะ”
“ฮ่าๆ กลัวสั่งไม่ได้น่ะสิ หลายวันมานี้ออร์เดอร์ข้าวผัดจักรพรรดิไหลมาเทมาทุกวัน พวกลูกค้าก็รู้กันอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาเลยไม่รอให้พนักงานเดินไปหาก็รีบมาสั่งที่เคาน์เตอร์ต้อนรับแทน ไม่อย่างนั้นถ้ารอที่โต๊ะ มีหวังตอนที่พนักงานเดินไป คนอื่นคงสั่งข้าวผัดจักรพรรดิไปกันหมดแล้ว”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เบิกตากว้าง “ตอนนี้…เป็นแบบนี้หมดเลยเหรอ”
“ใช่ อาจารย์ไม่ได้ทำอาหารเร็วนัก อาจารย์เลยไม่ได้รู้สึกตัว แต่ที่จริงออร์เดอร์พวกนี้แทบจะเต็มภายในสิบห้านาทีด้วยซ้ำ”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าเบาๆ ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ การทำข้าวผัดจักรพรรดิไม่ได้รวดเร็วนัก ถึงอย่างไรก็ต้องสอดประสานพละกำลังในร่างกายกับกระบวนการการทำอาหาร อีกทั้งต่อให้จะมีอีกกี่ออร์เดอร์ เขาก็ทำเสิร์ฟทีละออร์เดอร์ จึงไม่มีทางรับรู้ได้ว่าออร์เดอร์พวกนั้นแน่นแค่ไหน
แต่คิดถึงตรงนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็พูดพึมพำกับตัวเอง “ดูท่า…ต้องลองพัฒนาความเร็วจัดเสิร์ฟสักหน่อยแล้ว”
ในระยะนี้ ช่วงหัวค่ำถ้าซ่งจื่อเซวียนไม่มีธุระอะไรก็จะอยู่ที่ครัวด้านหลังเพื่อผัดอาหาร แต่รสชาติอาหารไม่ได้พัฒนาขึ้นมากนัก ความจริงแล้วสู้เอาเวลาไปใส่ใจกับข้าวผัดจักรพรรดิ ลองดูว่าจะเร็วกว่านี้ได้ไหมน่าจะดีกว่า
ขณะกำลังคุยกันอยู่ หลัวลี่ลี่ก็เดินเข้ามาในครัวด้านหลัง พูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “เชฟซ่ง…นายดูสิ…”
ซ่งจื่อเซวียนชะงัก “หืม”
ได้ยินดังนั้น ซ่งจื่อเซวียนครุ่นคิด ก็ระบายรอยยิ้มออกมาทันที “เข้าใจแล้ว ฉันจะไปคุยกับพวกเขาเอง”
เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ คนที่มาก็คือเสี่ยเฉิงปานั่นเอง
เสี่ยเฉิงปาสวมเสื้อคลุมแบบจีนสีคราม คลึงลูกเหล็กอยู่ในมือ เผยให้เห็นกำไลทองหนาหนึ่งนิ้วบนข้อมือ คนที่เดินผ่านเห็นท่าทางนี้ต่างหลีกทางให้เล็กน้อย
“เสี่ยปา คุณมาไม่ถูกจังหวะเอาเสียเลย วันนี้เสิร์ฟครบยี่สิบที่แล้วครับ” ซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าไปพูดพลางประสานหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม
เสี่ยเฉิงปาพยักหน้า “ไม่ถูกจังหวะจริงๆ แต่ว่า…ยังไม่พ้นมื้อเที่ยงเลย ไม่ถือว่าฉันมาสายใช่ไหม”
ซ่งจื่อเซวียนก้มหน้ายิ้ม “ไม่เลยครับ วันนี้ลูกค้ามากันเยอะแต่เช้า อีกทั้งยังไปกระจุกสั่งข้าวผัดกันตอนเที่ยงหมดเลยครับ”
เสี่ยเฉิงปาได้ยินดังนั้นก็มองซ้ายมองขวา มีหลายโต๊ะไม่น้อยที่กำลังกินข้าวผัดจักรพรรดิกันอยู่จริงๆ เนื่องจากจุดประสงค์ของลูกค้าที่มาเหล่านี้เฉพาะเจาะจงมาก นั่นก็คือมากินข้าวผัดจักรพรรดิ โดยพื้นฐานเมื่อสั่งข้าวผัดจักรพรรดิแล้วจะไม่สามารถสั่งอาหารอย่างอื่นได้อีก ดังนั้นแค่กวาดตาผ่านๆ ก็เห็นได้ชัดเจนมาก
ภัตตาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่ามีกี่โต๊ะที่มีเพียงข้าวผัดหนึ่งจานหรือสองสามจานวางอยู่ ดูแล้วกลับเหมือนร้านเล็กๆ ร้านหนึ่ง เพียงแต่กำไรในนี้…กำไรที่ยังไม่ได้หักต้นทุนของข้าวผัดยี่สิบที่ก็คือหนึ่งหมื่นแปดพันหยวน อีกทั้ง 90% ขึ้นไปยังเป็นกำไรสุทธิ ใช่ว่าร้านเล็กๆ ที่ไหนจะสามารถทำได้
“เสี่ยปาเห็นแล้วว่ามีคนไม่น้อยกินข้าวผัดอยู่ อีกทั้งเมื่อกี้ฉันเพิ่งเรียกเชฟข้าวผัดออกมา สาวสวยคนนั้นก็เรียกแกออกมาจริงๆ แต่ว่า…แกจะทำให้เสี่ยปาเชื่อได้ยังไงว่าข้าวผัดนี่แกเป็นคนทำน่ะ”
“ฮ่าๆๆ ที่เสี่ยปาพูดมาก็ถูก มีความเป็นไปได้ว่าผมอาจจะสมคบคิดกับพนักงาน วันนี้ไม่เพียงแค่ขายข้าวผัดหมดแล้ว ยังบอกว่าผมก็คือเชฟข้าวผัดจักรพรรดิอีก คุณเดาแบบนี้ก็สมเหตุสมผล”
เสี่ยปาพยักหน้าน้อยๆ แต่ไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรเลย เห็นได้ชัดว่าอยากให้ซ่งจื่อเซวียนพูดออกมาอย่างลูกผู้ชายตัวจริง
แต่ซ่งจื่อเซวียนกลับพูดด้วยรอยยิ้ม “เรื่องเมื่อวานผมก็ตกลงกับเสี่ยปาเรียบร้อยแล้ว คุณมาไม่ถูกจังหวะเอาเสียเลย ผมก็จนปัญญา แหกกฎข้าวผัดยี่สิบนี้ไม่ได้ด้วย รบกวนคุณมาพรุ่งนี้แต่เช้าหน่อยหรือว่าจะช่างมันไปทั้งอย่างนี้ดีครับ”
ช่างมันเหรอ เสี่ยเฉิงปาอย่างเขาย่อมไม่ยินยอมอยู่แล้ว กำไรของที่นี่น่าตกใจเป็นอย่างมาก แต่เรื่องมาขนาดนี้แล้ว จะมากจะน้อยเขาก็ไม่เหลือศักดิ์ศรีแล้ว อีกทั้งซ่งจื่อเซวียนไม่ได้ทำให้เขาเชื่อใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ด้วย
ขณะที่สับสน สุดท้ายเสี่ยปาก็เลือกเชื่อใจ เจอเข้ากับกำไรแบบนี้ จะสู้ก็ต้องสู้กันสักตั้ง!
“ก็ได้ เสี่ยปาก็ไม่ได้ใจแคบขนาดนั้น ฉันรับปากเรื่องของแก อีกเดี๋ยวจะไปติดต่อเดินเรื่อง!”
“เสี่ยปาใจกว้างมาก!” ซ่งจื่อเซวียนยกยิ้มมุมปากอย่างภาคภูมิใจ
……………………………………………………..