เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 8 ลูกเขยเต่าทองคำ[1]
ตอนที่ 8 ลูกเขยเต่าทองคำ[1]
“อะไรนะ เจ้ารองเหรอ”
ครั้งนี้ หยางเสวี่ยสำลักข้าวออกมาจริงๆ พร้อมพูดเสียงดัง
หยางเสวี่ยลอบดูปฏิกิริยาของจางขุย กดเสียงต่ำพูดทันที “พ่อ พ่อไม่ได้มีไข้ใช่ไหม ลูกเพิ่งกลับมาก็ล้อลูกเล่นแบบนี้เนี่ยนะ”
หยางต้าฉุยส่ายหน้าเบาๆ พูดด้วยรอยยิ้ม “พ่อไม่ได้ล้อเล่น พ่อพูดจริง แกก็ลองคิดดูแล้วกัน เจ้ารองคนนี้ไม่เลวเลยนะ”
“พ่อนี่เพี้ยนแล้วนะ ลูกกับเจ้ารองเนี่ยนะ จะเป็นไปได้ยังไง”
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ เจ้ารองเด็กคนนี้ดีมาก ไม่เหมาะสมกับแกเหรอ”
หยางเสวี่ยสับสนแล้วจริงๆ เธอคิดว่าหยางต้าฉุยกำลังบังคับคลุมถุงชนเธอ ถึงซ่งจื่อเซวียนเป็นคนดีเพียงใดแต่ก็เป็นพนักงานคนหนึ่ง กระทั่งยังเทียบจางขุยไม่ได้ แต่เธอเพิ่งสอบติดมหาวิทยาลัย อนาคตข้างหน้าสว่างไสว คนสองคนต่างกันราวฟ้ากับเหว
อีกทั้งต่อให้จะหาแฟน เธอก็ไม่มีทางคิดถึงซ่งจื่อเซวียน เธอใฝ่ฝันอยากจะไปเดินเล่นที่สนามหญ้าในรั้วมหาวิทยาลัยกับแฟนหนุ่มด้วยกัน ถึงอีกฝ่ายจะไม่ใช่ทายาทรุ่นสองของมหาเศรษฐี ก็ควรจะมีภูมิหลังที่ดี อย่างไรก็ไม่มีทางเป็นซ่งจื่อเซวียนได้!
“พ่อ ล้มเลิกความคิดนี้ไปเถอะ ลูกหาแฟนในตอนนี้ไม่ได้หรอก ต่อให้หาก็ไม่มีทางเป็นเจ้ารองได้!” หยางเสวี่ยกลอกตามองหยางต้าฉุยแวบหนึ่งพลางพูด
เห็นลูกสาวเริ่มโมโหแล้ว หยางต้าฉุยก็ไม่พูดอีก จุดเด่นเขาคนนี้ปกติมีอยู่สองอย่าง อย่างหนึ่งคือตระหนี่ถี่เหนียว อีกอย่างก็คือรักลูกสาวตัวเองอย่างไม่ลืมหูลืมตา ยิ่งทนดูลูกสาวโกรธไม่ได้เลย
แต่ในใจเขาก็ไม่ได้ยอมแพ้ แม้ว่าเขาจะไม่ใช่ผู้ประกอบการรายใหญ่อะไร แต่ประสบการณ์ที่ทำการค้าขายมาหลายสิบปี สายตาก็ยังพอมีแววบ้าง เห็นแก่ที่ซ่งจื่อเซวียนทำข้าวผัดจักรพรรดิได้ ศักยภาพเขาประเมินค่าไม่ได้แน่นอน
ระหว่างที่กินข้าว ในสมองหยางเสวี่ยก็มีคำพูดก่อนหน้านี้ของหยางต้าฉุยสะท้อนก้อง เธอไม่เข้าใจ ว่าอะไรทำให้พ่อมีความคิดแบบนี้ จะจับคู่ลูกสาวหัวแก้หัวแหวนของตัวเองกับพนักงานตัวเล็กๆ ในร้านอาหาร…
“พ่อ สรุปเรื่องมันเป็นยังไงกันแน่เนี่ย เมื่อก่อนพ่อไม่ได้มีท่าทีอย่างนี้กับเจ้ารองนี่ พ่อยังพูดอยู่เลยว่าให้ลูกสอบเข้ามหาลัย หาลูกเขยเต่าทองคำให้พ่อ แต่วันนี้พ่อกลับให้ลูกกับเจ้ารอง…” หยางเสวี่ยถาม
หยางต้าฉุยเก็บเงินใส่กล่องเก็บเงิน พูดว่า “ลูกสาวพ่อ ถ้าพ่อบอกว่าเจ้ารองเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือแล้ว เขาเป็นลูกเขยเต่าทองคำ แกจะเชื่อไหม”
“หมายความว่ายังไงน่ะ” ท่าทีของหยางเสวี่ยจริงจังขึ้นมา
“เจ้ารองเด็กคนนี้ไม่รู้ว่าไปเรียนเทคนิคจากที่ไหน ทำข้าวผัดออกมาเป็นอาหารชั้นยอดได้ แกรู้ไหมว่านี่หมายความว่ายังไง” หยางต้าฉุยพูด
“ข้าวผัดชั้นยอดเหรอ พ่อกำลังล้อลูกเล่นอยู่เหรอ ข้าวผัดชั้นยอดแค่ไหนแล้วมันยังไงล่ะ”
“ไอหยา ลูกสาวพ่อ แกยังรู้น้อยไปน่ะสิ ในวงการอาหารเนี่ย อาหารที่โดดเด่นทำให้ร้านอาหารสามชั้นโด่งดังเป็นสิบปีได้เลยนะ!” หยางต้าฉุยพูดพลางตื่นเต้นขึ้นมา
“แต่นี่ก็แค่ข้าวผัดชามเดียวเองนี่!”
“นั่นไม่มีทางเป็นข้าวผัดธรรมดาๆ หรอกนะ แต่เป็นข้าวผัดจักรพรรดิ พ่อถามใจตัวเองว่าทั้งชีวิตนี้อาจจะผัดออกมาไม่ได้ด้วยซ้ำ แค่อาศัยเทคนิคนี้เขาก็เก่งพอที่จะเป็นอาจารย์ของพ่อแล้ว”
ประโยคนี้ของหยางต้าฉุยทำหยางเสวี่ยประหลาดใจ เธอรู้ดีว่าถึงพ่อจะเปิดร้านอาหารเล็กๆ แต่ฝีมือทำอาหารไม่ธรรมดาแน่นอน เป็นถึงอาจารย์ของหยางต้าฉุยได้ ประโยคนี้หนักหน่วงมากจริงๆ
ตอนที่แม่ยังมีชีวิตอยู่เคยพูดกับเธอว่า หยางต้าฉุยเคยเป็นพ่อครัวชั้นแนวหน้าในภาคเหนือของจีนแผ่นดินใหญ่ แต่เพราะตอนที่แข่งขันสุดยอดพ่อครัวระดับท้องถิ่นจงใจอ่อนให้คู่แข่งจนสูญเสียชื่อเสียงและเกียรติยศ ถึงได้มาเป็นเถ้าแก่ที่ร้านอาหารชุนเซียง
“ข้าวผัดจักรพรรดิ…”
“ลูกสาวพ่อ แกเข้าใจพ่อหรือยัง” หยางต้าฉุยพูดพลาง ในดวงตาก็เหมือนมีเปลวไฟ หยางเสวี่ยเห็นความปรารถนาในตัวซ่งจื่อเซวียนของพ่ออย่างชัดเจน
หยางเสวี่ยเงียบไปพักหนึ่ง พยักหน้าค่อยๆ “พ่อ ที่พูดนี่จริงเหรอ”
“จริงแท้แน่นอน พันเปอร์เซ็นต์หมื่นเปอร์เซ็นต์”
“ก็ได้ ลูกจะลองคิดดู”
พูดจบ หยางเสวี่ยก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง และหาที่นั่ง
หยางต้าฉุยเป็นคนฉลาดมากๆ คนหนึ่ง ลูกสาวก็ต้องมีหัวคิดอยู่บ้าง แม้ว่าเธอจะยังเด็ก แต่ก็เข้าใจเหตุผลที่ว่าผู้หญิงยุคนี้จะขยันแค่ไหนก็ไม่เท่าหาผู้ชายดีๆ สักคน เพียงแต่ว่ากับซ่งจื่อเซวียน…เธอยังไม่ทันได้เตรียมตัวจริงๆ
เธอเคยคิดว่าจะหาผู้ชายที่ภูมิหลังดีๆ สักคนในมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบไม่ต้องขยันมากก็มีชีวิตอู้ฟู่ได้ แต่ถ้าศักยภาพของซ่งจื่อเซวียนเป็นอย่างที่หยางต้าฉุยพูดจริงๆ ก็ย่อมเป็นโอกาสอย่างแน่นอน
ในบ้านเล็กๆ ของฟางจิ่งจือ
ฟางจิ่งจือนั่งโยกเบาๆ บนเก้าอี้ไม้ไผ่ แต่เพราะกลัวแดดร่มลมตกจะหนาวเย็น ซ่งจื่อเซวียนจึงนำผ้าผืนบางมาคลุมให้เขาอย่างใส่ใจ
“ปู่ ผมไม่เข้าใจเนื้อหาข้างหลังในหนังสือสูตรอาหารเล่มนี้เลย ตกลงว่ามันหมายความว่ายังไง” ซ่งจื่อเซวียนกำลังถือหนังสือสูตรอาหาร เดาะลิ้นถาม
ฟางจิ่งจือยิ้มบางๆ “หึ หลานเอ๊ย แกอ่านสูตรอาหารนี่ได้ก็ทำปู่ตกใจแล้ว แกรู้ไหมว่าเจ้าของหนังสือเล่มนี้คนแรกใช้เวลาอ่านนานเท่าไรเล่า”
ซ่งจื่อเซวียนมองฟางจิ่งจืออย่างสงสัย ไม่ได้ตอบกลับ
“เขาใช้เวลาสี่ปีถึงจะอ่านสูตรอาหารจานที่หนึ่งเข้าใจได้ จากนั้นอ่านอีกเจ็ดปีถึงจะเข้าใจได้ห้าเมนู”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็ชะงักค้างไปทั้งตัว ในใจก็นับถือขึ้นมาทันที และที่นับถือไม่ใช่แค่เจ้าของสูตรอาหารคนเก่า แต่ยังมีหนังสือสูตรอาหารเล่มนี้ด้วย
“สี่ปี…เจ็ดปี…” ซ่งจื่อเซวียนพึมพำ
ฟางจิ่งจือยิ้ม “ถูกต้อง ดังนั้นแกยังคิดว่าจะอ่านหนังสือสูตรนี่เข้าใจในรวดเดียวอีกไหมล่ะ”
“ผมเข้าใจแล้วปู่ ผมจะค่อยๆ ศึกษาดู”
“หึ อ่านเนื้อหาข้างหลังไม่เข้าใจมีแค่สามความเป็นไปได้เท่านั้น หนึ่งคือใจแกไม่สงบ รวบรวมสมาธิไปตระหนักเนื้อหาไม่ได้ สองคือข้อจำกัดด้านสติปัญญา พออ่านเนื้อหาแรกสุดเข้าใจได้ก็ถือว่าโชคดีแล้ว แต่ข้อสาม…ก็คือพื้นฐานแกไม่มั่นคง แต่เดิมเทคนิคทำอาหารไม่ได้มีพื้นฐานอะไรมากมาย ก็เป็นธรรมดาที่จะทำความเข้าใจได้ช้า”
ซ่งจื่อเซวียนพยักหน้าน้อยๆ “ที่ปู่พูดก็ถูก ผม…ไม่มีพื้นฐานจริงๆ อีกทั้งจิตใจก็ไม่สงบ”
ได้ยินดังนั้น ฟางจิ่งจือก็แค่นเสียงหัวเราะ “ไอ้หนู เป็นเพราะข้าวผัดหยกทองเหรอ”
“ข้าวผัดหยกทอง?” ซ่งจื่อเซวียนชะงัก ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย เขาเคยได้ยินแค่หยางต้าฉุยบอกว่านี่คือข้าวผัดจักรพรรดิ
“ถูกต้อง สูตรอาหารจานที่หนึ่งก็เกี่ยวกับข้าวผักหยกทองนี่แหละ แกน่าจะเข้าใจแล้วใช่ไหม”
“ครับ ปู่ ผม…เคยทำไปแล้วด้วยสองครั้ง”
จากนั้น ซ่งจื่อเซวียนก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นมาสองวันก่อนให้ฟางจิ่งจือฟัง
ฟางจิ่งจือหรี่ตาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง “อืม ได้สิ ได้เงินตั้งแปดหมื่อนหยวนเชียวนะ เหอะๆ หลังจากนี้แกก็ไม่ต้องมาดูแลคนแก่อย่างฉันแล้ว”
“ปู่พูดอะไรเนี่ย ผมจะได้เงินเท่าไรก็ต้องคอยดูแลปู่อยู่แล้ว ผมก็แค่อยากให้แม่มีชีวิตที่ดีขึ้น ถ้าปู่ไม่อยากให้ผมไป พรุ่งนี้ผมก็จะปฏิเสธหลินเทียนหนานไปเลย” ซ่งจื่อเซวียนลุกขึ้นสวนเร็วรี่ สีหน้าจริงจังคร่ำเคร่ง
“เหลวไหล!” ฟางจิ่งจือถลึงตา สายตามองซ่งจื่อเซวียนอย่างดุดัน ในความทรงจำของซ่งจื่อเซวียน เหมือนจะยังไม่เคยเห็นปู่โมโหขนาดนี้มาก่อน
“ปู่ นี่ปู่…”
“แกไม่มีเงิน ข้าจะหาเหล้าดีๆ ที่ไหนดื่มเล่า แกนี่มันไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย สามร้อยหกสิบอาชีพ ทุกๆ อาชีพมีจอหงวน[2] อาชีพไหนที่ไม่ใช่ทำเพื่อเงินเล่า”
ได้ยินประโยคนี้ ซ่งจื่อเซวียนก็หัวเราะออกมา “ฮ่าๆ ปู่ ไม่คิดว่าเลยปู่จะเป็นคนหยาบคายนะเนี่ย”
“เพ้อเจ้อ ถ้าข้าเป็นคนหยาบคาย ก็ต้องอดตายก่อน” ฟางจิ่งจือชำเลืองมองซ่งจื่อเซวียนแวบหนึ่ง หรี่ตาลงทันที “แต่หลานเอ๊ย แกจำไว้นะ ถ้าคิดจะเอาเทคนิคนี้ไปหาเงิน ต้องศึกษาเทคนิคทำอาหารเป็นอย่างแรก อย่านึกว่าข้าวผัดอย่างเดียวจะเลี้ยงแกได้ทั้งชีวิต”
“ครับปู่ ผมเข้าใจแล้ว!”
“อย่างที่สอง ก่อนที่แกจะเผยพลังที่แท้จริงออกมา ใครให้แกผัดข้าวก็ห้ามแสดงฝีมือเด็ดขาด แก้วแหวนเงินทองใดๆ มากเกินไปก็ไม่มีค่าแล้ว ฝีมือทำอาหารก็เช่นกัน!” ฟางจิ่งจือพูดช้าเนิบ
ซ่งจื่อเซวียนเข้าใจที่ปู่จะสื่อแล้ว นั่นก็คือบอกกับตนเองว่าก่อนที่จะไปทำงานกับหลินเทียนหนาน ห้ามไปทำข้าวผัดหยกทองให้ใครเห็นอีกเด็ดขาด หากทำมากไปก็ไม่มีใครประหลาดใจแล้ว และตัวเขาเองก็เป็นไปได้มากว่าจะไม่เหมาะสมกับเงินเดือนแปดหมื่นอีกต่อไป
“ผมเข้าใจแล้วครับปู่ ปู่วางใจได้ ผมจะไม่ทำให้ใครเห็นอีกแล้วครับ อีกอย่างต่อให้ไปทำงานกับทางหลินเทียนหนาน ผมก็จะเสนอเงื่อนไขว่าทุกวันทำได้มากสุดเท่าไร”
ฟางจิ่งจือได้ยินก็ยิ้ม “ฉลาดเหลือเกินนะ ชอบไอ้เด็กเวรที่ฉลาดแบบแกเสียจริง”
“หึๆ ปู่ ยังไงผมก็ไม่เข้าใจเนื้อหาหน้าถัดไปเลย ไม่งั้นปู่อธิบายให้ผมฟังสักหน่อยได้ไหม”
“ไสหัวไป ของแบบนี้ต้องตระหนักด้วยตัวเอง ฉันไม่พูดให้แกฟังหรอก”
“ชิ ทำเป็นฉุนเฉียว พรุ่งนี้ไม่ซื้อเหล้ามาให้แล้ว”
“เจ้าเด็กคนนี้ แกก็ลองดูสิ ข้าจะฉีกหนังสือสูตรทิ้ง!” ฟางจิ่งจือพูดอย่างเคืองๆ
“อย่าๆๆ อย่านะปู่ หึๆ ถ้างั้น…ปู่ เรามาพูดเรื่องคราวที่แล้วกันต่อดีกว่า พ่อครัวพเนจรในยุคจักรพรรดิยงเจิ้ง[3]ที่เปิดร้านอาหารแปดแห่งในเวลาห้าปีคนนั้นที่พึ่งตะหลิวลายนกฟีนิกซ์นั่นอย่างเดียว แล้วหลังจากนั้นตะหลิวนั่นเป็นยังไงต่อ”
“เหอะๆ อยากฟังเหรอ” ฟางจิ่งจือยกขวดสุราข้างๆ ขึ้น เคาะขวดเล็กน้อย
“ได้ พรุ่งนี้ผมซื้อให้อีก ปู่เล่าก่อนโอเคไหม”
ฟางจิ่งจือยิ้มน้อยๆ “ก็ได้ ตะหลิวลายฟีนิกซ์นั่นน่ะ…หลังจากนั้นไม่รู้หรอก จะยังไงตอนที่ฉันอายุสามสิบ ก็ใช้เงินเจ็ดสิบหยวนซื้อมันมาแล้ว!”
“เจ็ดสิบ? ปู่ล้อเล่นอะไรเนี่ย จริงหรือหลอก? ปู่เอามาให้ผมดูเป็นบุญตาหน่อยสิ!” ซ่งจื่อเซวียนสนใจขึ้นมาทันที เดิมทีเขาก็สนใจสิ่งของของชายชราอยู่แล้ว บวกกับเป็นเครื่องครัวแล้วด้วย เขาอดใจรอไม่ไหวจริงๆ
ฟางจิ่งจือกลับไม่สนใจ ลุกขึ้นยืนด้วยรอยยิ้ม “อยากดูเหรอ รอแกเข้าใจสูตรอาหารจานที่สองก่อนแล้วกัน ฉันค่อยให้แกดู!”
พูดจบ ฟางจิ่งจือเปิดวิทยุ เดินเอ้อระเหยเข้าไปในห้อง
ซ่งจื่อเซวียนเบะปาก “ตาเฒ่านี่ใจแคบเสียจริง…”
เช้าวันถัดมา ซ่งจื่อเซวียนก็มาถึงร้านอาหารชุนเซียง ถึงอย่างไรช่วงเช้าก็เป็นช่วงที่มีงานให้ทำมากที่สุด เก็บผัก ล้างผัก งานเบ็ดเตล็ดอื่นๆ ก็เป็นเขาที่ทำทั้งหมด
แต่ที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจก็คือ หยางต้าฉุยมาร้านอาหารแต่เช้าตรู่ ต้องรู้ว่าปกติเขาไม่ได้มาทุกวัน ต่อให้มาก็จะมาหลังสิบโมง เพราะเขาไม่ใช่คนตื่นเช้า
“เจ้ารองมาแล้ว กินข้าวเช้าหรือยัง” หยางต้าฉุยเห็นซ่งจื่อเซวียนเดินเข้าร้านมา รีบเอ่ยถาม
“ยังเลยครับ เถ้าแก่ ผมไปทำงานก่อนแล้วกัน ทำเสร็จค่อยกิน” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“อย่าเลย แกดูสิ เสี่ยวเสวี่ยเคี่ยวโจ๊กที่บ้านตั้งแต่เช้ามืด แกมาชิมดูสิ” หยางต้าฉุยพูด หยางเสวี่ยก็เดินออกมาจากครัวด้านหลังแล้ว ทั้งยังถือกระติกเก็บอุณหภูมิไว้ด้วย ตักมาให้ซ่งจื่อเซวียนชามหนึ่งทันที
“เอ่อ…ไม่ค่อยเหมาะมั้งครับ เถ้าแก่ เสี่ยวเสวี่ยกลับมาแล้วเหรอ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“อืม เจ้าเด็กคนนี้โตแล้ว ปิดเทอมก็รีบกลับมาทันทีเชียว รู้จักช่วยเหลือจุนเจือที่บ้านแล้ว เหอะๆ เจ้ารอง เสี่ยวเสวี่ยช่างเป็นเด็กดีมีคุณธรรมเสียจริง”
“ใช่ ใช่ นั่นแน่อยู่แล้วครับ” ซ่งจื่อเซวียนยิ้มซื่อ รับโจ๊กมากินคำหนึ่ง
หยางเสวี่ยมองซ่งจื่อเซวียน หน้าแดงเล็กน้อย “ระวังลวกปากล่ะ จื่อเซวียน รสชาติถูกปากไหม”
ซ่งจื่อเซวียนชะงักค้างไป นี่เป็นอะไรกัน เมื่อก่อนตอนอยู่ที่ร้าน แต่ไหนแต่ไรมาหยางเสวี่ยไม่เคยทักทายเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องยกโจ๊กมาให้แล้วเรียกเขาว่าจื่อเซวียนเลย…
หยางต้าฉุยข้างๆ กลับพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ลูกสาวเขาช่างรู้เรื่องรู้ราวดีจริง…
…………………………………………….
[1] ลูกเขยเต่าทองคำ (金龟婿) หมายถึง ลูกเขยที่มีฐานะร่ำรวย โดยในอดีตเต่าสีทองเป็นสัญลักษณ์ของขุนนางชั้นสูงในสมัยราชวงศ์ถัง
[2] สามร้อยหกสิบอาชีพ ทุกๆ อาชีพมีจอหงวน (三百六十行,各行有状元) เปรียบถึง อาชีพใดก็ตาม หากทุ่มเทก็จะสามารถเป็นที่หนึ่งในสายอาชีพนั้นได้
[3] จักรพรรดิยงเจิ้ง (雍正) เป็นจักรพรรดิองค์ที่ 5 แห่งราชวงศ์ชิง ครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 1722 ถึง ค.ศ. 1735