เส้นทางเศรษฐีของ(ว่าที่)เชฟเหรียญทอง - ตอนที่ 9 หยั่งเชิง
ตอนที่ 9 หยั่งเชิง
ตอนที่ซ่งจื่อเซวียนรับชามมาไม่รู้จะพูดอะไร เพียงแค่พยักหน้าฉีกยิ้มกระอักกระอ่วน
หยางเสวี่ยคลี่ยิ้มบาง ใบหน้าขาวนวลเผยความชุ่มชื้น ต้องพูดเลยว่าความงดงามของเด็กสาวแผ่ออกมาถึงขีดสุด
ซ่งจื่อเซวียนมองหยางเสวี่ย รู้สึกว่ากวางน้อยในใจของเขากระโดดไปมารอบๆ[1] ไม่รู้ว่าตัวเองสูญเสียสติสัมปชัญญะไปกี่ครั้งแล้ว
“เหอะๆ ค่อยๆ กินล่ะ ผักของวันนี้ตอนเช้าฉันล้างเสร็จแล้ว เก็บให้อาจางเรียบร้อยแล้วด้วย”
หยางเสวี่ยพูดจบ เอามือเท้าคาง เอียงศีรษะมองซ่งจื่อเซวียน เหมือนว่าอยากจ้องเขากินโจ๊กชามนี้จนหมด
ซ่งจื่อเซวียนกินโจ๊กอีกคำ อยากมองใบหน้าของจางเสวี่ย กลับรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย กล้าแค่เหลือบมองด้วยหางตาแวบหนึ่งเท่านั้น เขาแอบคิดเงียบๆ ในใจว่า เสี่ยวเสวี่ยสวยจริงๆ อยากจะหยุดเวลาในวินาทีนี้ไว้ตลอดไปเลย
แม้ว่าหากมองแค่หน้าตาเพียงอย่างเดียว บางทีหยางเสวี่ยอาจจะเทียบกับความประณีตไร้ที่ติของถังหย่าฉีที่ซ่งจื่อเซวียนเจอในตลาดโบราณไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรหยางเสวี่ยก็อยู่ใกล้ตัว อีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายนุ่มนวลอ่อนโยนให้เขา สำหรับซ่งจื่อเซวียนที่ไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกอย่างนี้มาก่อน จึงได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง
เห็นภาพนี้ หยางต้าฉุยก็ดีใจ ในใจลอบชื่นชมลูกสาวแสนดีของตัวเองเงียบๆ
“พวกแกสองคนรอแป๊บนะ ฉันไปดูบัญชีเมื่อวานก่อน ฮ่าๆ” พูดจบ เขาก็เดินไปที่เคาน์เตอร์บาร์ ให้ซ่งจื่อเซวียนกับหยางเสวี่ยมีเวลาอยู่ด้วยกันตามลำพัง
“โจ๊กชามหนึ่งพอไหม ฉันจะได้เพิ่มให้นายอีกชาม?” เห็นซ่งจื่อเซวียนกินหมด หยางเสวี่ยก็ยืดตัวตรงพูด
“พอแล้ว แหะๆ ฉันไปทำงานก่อนนะ”
ซ่งจื่อเซวียนกำลังจะลุกขึ้น หยางเสวี่ยก็รั้งเขาไว้ “โธ่ ไม่ใช่ว่าบอกนายไปแล้วหรือไงว่าฉันล้างผักไปแล้ว ครัวข้างหลังก็จัดการเสร็จหมดแล้ว นายดูสิ โต๊ะพวกนี้ฉันก็เช็ดหมดแล้ว นายก็นั่งอยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันเอาน้ำมาให้ รอนี่นะ”
พูดจบ หยางเสวี่ยงก็เดินไปเทน้ำร้อนใส่แก้วที่เคาน์เตอร์บาร์ หยางต้าฉุยลอบยกนิ้วโป้งให้ลูกสาว แต่หยางเสวี่ยกลับเบะปากใส่เขา เหมือนกับไม่เต็มใจ
แต่ว่าซ่งจื่อเซวียนสับสนจริงๆ เช้านี้มีเรื่องสุขใจเข้ามากะทันหันเกินไป นึกไม่ถึงเลยว่าเทพธิดาจะมาเคี่ยวโจ๊กเสิร์ฟน้ำให้ตัวเองขนาดนี้ หากเป็นเมื่อก่อนแม้แต่จะคิดเขายังไม่เคยคิดมาก่อนเลย
ตอนนี้เอง ได้ยินเพียงเสียงนกหวีดดังมาจากข้างนอก ซ่งจื่อเซวียนจึงหันหน้าไปมอง ก็ยิ้มออกมาทันที
หัวเล็กๆ ที่พาดหน้าคว่ำอยู่กับขอบประตูทำให้ซ่งจื่อเซวียนหัวเราะ เป็นเด็กขอทานที่มาซ่อนตัวจากอันธพาลในร้านวันนั้นนั่นเอง
“เป็นนายนี่เอง นายมาได้ยังไงเนี่ย” ซ่งจื่อเซวียนลุกขึ้นวิ่งออกไป พูดกับเด็กขอทาน
“หึๆ ฉันไม่มีอะไรทำ เลยวิ่งมาดูนายสักหน่อย เป็นไง คนร้ายพวกนั้นไม่ได้มาก่อความวุ่นวายใช่ไหม” เด็กขอทานยิ้ม
ซ่งจื่อเซวียนส่ายหน้าพูด “ไม่ได้มา เหอะๆ นายบอกมาซิ ว่าเด็กขอทานอย่างนายไปยั่วโมโหพวกอันธพาลพวกนั้นได้ยังไง”
“โธ่ เรื่องมันยาวน่ะ”
พูดพลาง เด็กขอทานนั่งไขว้ขาบนพื้น ทำหน้าราวกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง มองซ่งจื่อเซวียนที่หลุดยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เจ้าเด็กขอทานคนนี้น่ารักเสียจริง
“ดูนายสิ นายเพิ่งอายุเท่าไรเอง”
เด็กขอทานส่ายหน้าน้อยๆ ทอดถอดใจ “เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับอายุหรอก ที่แบกอยู่บนบ่าหนักมากเกินไป กดดันมากจริงๆ บางทีเพิ่งจะกินข้าวไปแป๊บเดียวก็หิวอีกแล้ว จริงสิ มีอะไรให้กินไหม”
“หา? มี มีน่ะมี แต่เถ้าแก่อยู่ ไม่งั้น…นายค่อยมาตอนค่ำๆ โอเคไหม” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างลำบากใจ
เพิ่งจะพูด หยางเสวี่ยก็เดินออกมาจากร้าน เห็นเด็กขอทานข้างๆ ซ่งจื่อเซวียนก็ตกใจ หยางเสวี่ยยังเป็นวัยรุ่นอายุสิบแปดปี อีกทั้งยังเป็นเด็กผู้หญิง รักสะอาดถือเป็นเรื่องปกติ เด็กขอทานที่เนื้อตัวสกปรกและผมเหนียวเหนอะหนะตรงหน้านี้ ทำให้เธอรู้สึกคลื่นไส้อยู่เล็กน้อย
“นาย…ถ้าจะเอาข้าวก็ไปร้านอื่นเถอะ อย่ามายืนที่หน้าร้านฉันเลย” หยางเสวี่ยพูดออกไปตามจิตใต้สำนึก
เห็นได้ชัดว่าเด็กขอทานชินแล้ว จึงไม่พูดอะไร เพียงหันมาฉีกยิ้มให้ซ่งจื่อเซวียน แต่ตอนนั้นเอง ซ่งจื่อเซวียนกลับเห็นว่าในรอยยิ้มนั้นแฝงความช่วยไม่ได้อยู่รางๆ ความจริงก็เป็นอย่างนี้ ถ้าหากมีเงิน ใครจะยอมมาขอทานสกปรกๆ แบบนี้เล่า
“เสี่ยวเสวี่ย เขา…เป็นเพื่อนของฉันน่ะ” ซ่งจื่อเซวียนพูดอย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ในใจก็เอื้อเอ็นดูเด็กขอทานถึงทำให้เขาพูดออกมา
ประโยคนี้กลับทำให้รอบดวงตาเด็กขอทานชุ่มไปด้วยน้ำ หลายปีมานี้…เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกว่าเขาเป็นเพื่อน อีกทั้งยังพูดต่อหน้าคนอื่นอีกด้วย
เขาตบไหล่ซ่งจื่อเซวียน “พี่ชาย ฉัน กู่เสี่ยวเป่าจดจำประโยคนี้ไว้แล้ว นายก็จำไว้นะ นับแต่วันนี้ไป นายคือเพื่อนของฉัน!”
ระหว่างที่พูด กู่เสี่ยวเป่าแผ่รัศมีครอบงำออกมา ถึงขนาดกับทำให้ซ่งจื่อเซวียนแยกแยะไม่ได้ชั่วขณะหนึ่ง น้ำเสียงนี้เหมือนกับเด็กขอทานคนนี้ไม่ได้เป็นคนพูดออกมาจริงๆ
“เพื่อน? แต่เขา…” หยางเสวี่ยมองไปที่กู่เสี่ยวเป่าอย่างรังเกียจ แต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ ถึงอย่างไรตอนนี้เธอต้องตีสนิทซ่งจื่อเซวียนให้ได้
“เพื่อน? ฮ่าๆ เพื่อนเจ้ารองก็เป็นเพื่อนกับร้านเราเหมือนกันนะ หนุ่มน้อย เข้ามาสิ” หยางเสวี่ยกำลังมึนงงอยู่ หยางต้าฉุยที่อยู่ข้างหลังก็เดินตรงออกมา ต้องพูดเลยว่า ขอเพียงรั้งซ่งจื่อเซวียนไว้ได้ จะให้เขาทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น
ซ่งจื่อเซวียนไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเถ้าแก่เป็นอะไรไปแล้ว หลายวันมานี้เปลี่ยนตัวเองใหม่หมดเพื่อรั้งตัวเองไว้ แต่หยางต้าฉุยก็พูดอย่างนั้นมาแล้ว เขาจึงพยักหน้า “นี่คือเถ้าแก่ของพวกเรา เขาเป็นคนดีนะ เข้ามาสิ”
กู่เสี่ยวเป่าย่อมไม่เกรงใจ ได้ยินดังนั้นจึงเดินกร่างเขาไปในร้าน หยางต้าฉุยก็กำชับให้จางขุยทำกับข้าวให้เขาเล็กน้อย
สำหรับหยางต้าฉุย ซ่งจื่อเซวียนในร้านตอนนี้เป็นสมบัติล้ำค่า ลูกสาวเป็นยิ่งกว่าสมบัติล้ำค่า แน่นอนว่าหน้าที่จึงต้องตกเป็นของจางขุยแล้ว
กู่เสี่ยวเป่าหยิบเมนูอาหารขึ้นมาดู ชี้ภาพบนเมนูแล้วพูดว่า “เอาอันนี้จานหนึ่ง อืม นี่ก็ด้วย ใช่ อันนี้ก็ด้วย นี่ก็ไม่เลว มาอีกจาน แล้วก็เกี๊ยวต้มอีกนิดหน่อย จากนั้น…”
“อะแฮ่ม นายกินไหวเหรอ” จางขุยพูดดูถูก
“เฮ้ย ท่าทางอะไรของนายเนี่ย ฉันเป็นคนที่เถ้าแก่พวกนายเชิญเข้ามานะ นายจะขัดคำสั่งเหรอ” กู่เสี่ยวเป่าห้าวหาญ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มีกลิ่นเหมือนกิ้งก่าได้ทองอยู่เล็กน้อย
“นาย…” จางขุยฉุน หันหน้าไปมองหยางต้าฉุยแวบหนึ่งทันที แต่คนด้านหลังเพียงยักไหล่อย่างอับจนหนทางเท่านั้น จางขุยกัดฟันพูดว่า “กินไปเลย ระวังจะอิ่มจนท้องแตกตายแล้วกัน!”
กู่เสี่ยวเป่ากลอกตาใส่เขาแวบหนึ่ง ไม่สนใจ “ไปเถอะ สั่งเยอะขนาดนี้ ฉันชอบอาหารรสไม่จัด ทำรสอ่อนลงหน่อย ถ้าเค็มทำมาใหม่ด้วย!”
“นาย…ครับ ไอ้หนู เยี่ยมจริงๆ”
จางขุยเดินสะบัดสะบิ้งเข้าครัวด้านหลังไป เป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาถูกขอทานตำหนิ ที่สำคัญที่สุดคือถูกตำหนิแล้ว ยังต้องทำกับข้าวมาให้กินด้วย ทำไม่อร่อยก็ต้องทำใหม่ จางขุยรู้สึกว่าในใจเขามีอัลปาก้าหมื่นตัวล่องลอยผ่านไป[2] ตกลงเถ้าแก่เป็นอะไรไปแล้วเนี่ย…
ไม่นานนัก กับข้าวมากมายก็มาเสิร์ฟ กู่เสี่ยวเป่าเหมือนพายุพัดหอบเศษปุยเมฆ[3] ดูออกว่าหิวแล้ว ตะเกียบก็ไม่ใช้ นั่งยองๆ บนเก้าอี้ใช้มือหยิบ น้ำมันจากอาหารเปรอะเปื้อนไปทั่ว สำหรับซ่งจื่อเซวียนเขาเคยเห็นภาพนี้มาแล้ว แต่พ่อลูกหยางต้าฉุยกับจางขุยตะลึงตะลานไปแล้ว…
หลังจากกินจนอิ่มแล้ว กู่เสี่ยวเป่าพิงกับพนักเก้าอี้พลางตบหน้าท้อง “อิ่มแล้ว ถึงรสชาติจะไม่ได้นับว่าดีอะไร แต่ก็ไม่ได้ถึงขนาดกับกลืนไม่ลง ไม่ต้องทำใหม่แล้ว”
จางขุยโกรธจนหน้าดำคล้ำ อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ยังอดทนไว้ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ต้องจริงจังกับแค่ขอทานคนหนึ่ง
“เสี่ยวเป่า ไม่งั้นนายห่อกลับบ้านสักหน่อยไหม ตอนค่ำจะได้ไม่ต้องหิวอีก”
กู่เสี่ยวเป่าหยิบไม้จิ้มฟันมาแคะ ยิ้มตอบ “ไม่ต้องหรอก นายเคยเห็นขอทานที่ไหนกินเสร็จแล้วยังห่อกลับบ้านล่ะ ถ้าหิวตอนค่ำๆ ค่อยว่ากัน กินมื้อนี้แล้วไม่มีมื้อหน้าให้กินถึงจะเรียกว่าขอทานนะ ฮ่าๆ”
“สมน้ำหน้าที่นายต้องขอข้าวกินไปทั้งชีวิต!” จางขุยบ่นพึมพำกลั้วหัวเราะ
“ประโยคนี้ของนายไม่น่าฟังเลย ขอทานแล้วยังไงเล่า ฉันเป็นขอทานแต่มีเกียรตินะ!” กู่เสี่ยวเป่าชำเลืองมองจางขุยแวบหนึ่ง กระโดดลงจากเก้าอี้
ซ่งจื่อเซวียนส่งสายตาขอโทษไปทางจางขุย ถึงอย่างไรเขาก็มองว่ากู่เสี่ยวเป่าทำเกินไปหน่อยจริงๆ คนทำอาหารให้กิน ยังจะโวยวายอีก ไม่ว่าว่าขอทานมีเกียรติแค่ไหนแต่ก็ไม่ได้มีสิทธิพิเศษนี้นี่…
อิ่มหนำสำราญ กู่เสี่ยวเป่าก็เดินกร่างออกมาจากร้านอาหารชุนเซียง หยางต้าฉุยสั่งให้จางขุยรีบเก็บกวาด กินเปรอะน้ำมันไปทั่ว ลูกค้าคนอื่นมาจะกินอย่างไร…
“เสี่ยวเป่า เมื่อกี้นายทำเกินไปหน่อยนะ ยังไงเขาก็ทำอาหารให้นายกิน” ซ่งจื่อเซวียนพูด
“ฮ่าๆ ก็แค่ล้อเล่นเอง พี่จะจริงจังทำไม จริงสิพี่ชาย พวกเราสองคนเป็นเพื่อนกันแล้วยังไม่รู้เลยว่าพี่ชื่ออะไร”
“ฉันชื่อซ่งจื่อเซวียน เป็นลูกคนที่สองของบ้าน พวกเขาเรียกฉันว่าเจ้ารองกันทั้งนั้น นายจะเรียกฉันว่าอะไรก็แล้วแต่นาย”
“อ้อ พี่ซ่ง พี่รอง เข้าใจแล้ว ฮ่า ผมไปก่อนนะ!” กู่เสี่ยวเป่าพูดจบก็เดินด้วยร่างอุ้ยอ้ายจากไป ดูขี้เกียจเสียจริง
โดนกู่เสี่ยวเป่าทำให้ขาดทุนขนาดนี้ พวกหยางต้าฉุยจึงไม่ได้กินข้าวเที่ยง ถึงอย่างไรพอเห็นท่าทางการกินอย่างนั้น ก็ไม่อยากกินอะไรแล้ว
ตอนค่ำ หลังจากลูกค้าไปหมดแล้ว ทำความสะอาดร้านเสร็จ หยางต้าฉุยก็พูดว่า “เสี่ยวเสวี่ย เจ้ารอง ฉันเหนื่อยนิดหน่อยขอกลับก่อนนะ พวกแกสองคนยังหนุ่มยังสาวคงมีเรื่องให้คุยกันเยอะ ค่อยๆ คุยกันไปนะ”
ซ่งจื่อเซวียนกระอักกระอ่วน หยางเสวี่ยกลับตอบรับอย่างแจ่มใส
หลังจากหยางต้าฉุยเดินออกไปก็ไม่ลืมปิดประตูให้สนิท ปล่อยให้สองคนหนุ่มสาวได้มีเวลาด้วยกัน
หยางเสวี่ยหยิบน้ำอัดลมมาให้ซ่งจื่อเซวียน นั่งลงที่โต๊ะทันที พูดว่า “จื่อเซวียน ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้นายเริ่มทำอาหารแล้วเหรอ”
ซ่งจื่อเซวียนเป็นคนซื่อสัตย์ แต่เนื้อในไม่ใช่คนโง่ ไม่ว่าจะหยางต้าฉุยหรือจะหยางเสวี่ย ซ่งจื่อเซวียนล้วนเข้าใจจุดประสงค์พวกเขา ตนเองเป็นแค่เด็กครัวคนหนึ่ง เถ้าแก่กับลูกสาวของเถ้าแก่จะมาทำดีกับตนเองขนาดนี้โดยไม่หวังผลประโยชน์ได้อย่างไร
“แหะๆ ไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอก คนทำอาหารก็ต้องเป็นอาจางอยู่แล้วสิ” ซ่งจื่อเซวียนพูด
หยางเสวี่ยได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม ขยับเข้าไปใกล้ซ่งจื่อเซวียนทันที “หืม แต่ฉันได้ยินมาว่านายทำข้าวผัดให้พ่อฉันจานหนึ่งนี่ ดูน่ากินมากเลยเนอะ ไม่สนแหละ ฉันก็อยากกินเหมือนกัน!”
เห็นท่าทางออดอ้อนของหยางเสวี่ย ซ่งจื่อเซวียนก็ทนไม่ไหวอยู่บ้าง ถึงอย่างไรก็ไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องแบบนี้ โดนหยอกล้อเช่นนี้ ย่อมต้านทานไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
“ฉัน…” ซ่งจื่อเซวียนกลืนน้ำลาย เดิมคิดจะทำให้หยางเสวี่ยกิน แต่ก็นึกถึงคำพูดของฟางจิ่งจือขึ้นได้ จึงล้มเลิกความคิดนี้ ก่อนที่ข้าวผัดจะได้แสดงคุณค่าของตัวมัน จะทำส่งๆ ตามใจไม่ได้เด็ดขาด “ฉันทำไม่ได้จริงๆ ที่ฉันทำก็รสชาติทั่วๆ ไปนี่แหละ เถ้าแก่ก็แค่ชมฉันเกินไปเท่านั้น”
ซ่งจื่อเซวียนไม่คิดจะแสดงฝีมือ หยางเสวี่ยมุ่ยปาก “ฮึ นายเกลียดฉันใช่ไหม เลยไม่ทำให้ฉันกิน เด็กขอทานนั่นทำฉันกินข้าวไม่ได้ทั้งวัน ตอนนี้หิวจะตายแล้ว นายทนเห็นฉันหิวได้เหรอ”
หยางเสวี่ยพูดอย่างนี้ต้องมีเป้าหมายของตัวเองอยู่แล้ว ถ้าไม่ทดสอบฝีมือทำอาหารของซ่งจื่อเซวียนสักหน่อย ไม่แน่ใจว่าเขามีศักยภาพจริงหรือเปล่า หยางเสวี่ยจะให้ตัวเองคบกับเขาไปได้อย่างไร
“ฉัน…”
“ปัง! ปัง! ปัง!”
ซ่งจื่อเซวียนกำลังลำบากใจ เสียงเคาะประตูร้อนอกร้อนใจก็ดังเข้ามา
………………………………………..
[1] กวางน้อยกระโดดไปมารอบๆ (小鹿来回乱窜) เป็นสำนวน หมายถึง กระสับกระส่าย กระวนกระวาย
[2] อัลปาก้าหมื่นตัวล่องลอยผ่านไป (一万只羊驼飘过) หมายถึง ไม่พอใจอย่างรุนแรง
[3] พายุพัดหอบเศษปุยเมฆ (风卷残云) หมายถึง ทำให้สลายหายไปจนหมดสิ้น