ราชาซากศพ - บทที่ 16 อสูรวานร
บทที่ 16 อสูรวานร
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วที่หลินเว่ยสามารถเรียกทหารโครงกระดูกเพิ่มขึ้นได้ทันทีที่ทักษะของเขาได้รับการเลื่อนระดับ หลังจากการเปลี่ยนแปลงหลายครั้ง ทหารโครงกระดูกทั้งสี่ ที่เขาปลุกขึ้นมา คือเสือดาวลมกรดทั้งสามตัว ขั้นสองระดับเก้า และหมาป่าลมกรดขั้นสองระดับเก้าทั้งหมดเป็นสัตว์อสูรธาตุลม
“มีการเคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้า!” หลินเว่ยที่กำลังมองหาสัตว์อสูร จู่ ๆ ก็รู้สึกได้ว่ามีพลังงานที่ผันผวน อยู่ตรงหน้าเขา ซึ่งดึงดูดความสนใจของเขา ถ่ายเทลมปราณไปที่ขา แล้ววิ่งออกไปด้วยความเร็ว ทำให้ความเร็วของหลินเว่ยเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในทันที
หลังจากนั้นไม่นาน หลินเว่ยก็มาถึงหุบเขาด้านนอก ในหุบเขานั้นความผันผวนของพลังงานยังคงอยู่แต่เบาบางลงไป หลินเว่ยรู้สึกได้ชัดเจนในตอนแรก แต่ในพลังงานนี้มีกลิ่นของสัตว์อสูรและพลังลมปราณหลายระลอก ในเวลาเดียวกัน
เขายังได้ยินเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ซึ่งอยู่เข้าไปในหุบเขา และกำลังตรงออกมาจากหุบเขา
“นี่คือกล่มคนที่ล่าสัตว์สัตว์ ดูจากกลิ่นอายแล้ว น่าจะเป็นสัตว์อสูรที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าขั้นสามแน่นอน” หลินเว่ยรู้สึกถึงการระเบิดของพลังลมปราณและหัวใจของเขาก็ตกตะลึง ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม เขารับรู้ได้ถึงไอสังหารของสัตว์อสูรขั้นสามระดับเก้าอีกหลายตัว กลิ่นอายนั้นแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
ตอนนี้หลินเว่ยตัดสินใจอยู่ที่นี่ และจะไม่จากไปอย่างง่าย ๆ หลังจากหยุดอยู่ที่ปากหุบเขา หลินเว่ยก็ตัดสินใจก้าวเข้าไปในหุบเขา
ความผันผวนของลมปราณนั้นชัดเจนและเกิดขึ้นในหุบเขา ดังนั้นจึงใช้เวลาไม่มากในการไปถึงที่หมาย แต่หลินเว่ยนั้นปีนขึ้นไปบนหุบเขายืนบนเหนือหุบเขาและจ้องมองลงไป
“นี่น่ะหรือ…สัตว์อสูรขั้นสาม” ร่างของสัตว์อสูรในหุบเขานั้นเด่นชัดมาก มันสูงมากกว่าสามเมตร ยากที่จะสังเกตว่าเป็นสัตว์อสูรประเภทใด แต่ว่าหลินเว่ยนั้นสามารถจดจำมันได้ในครั้งแรกที่เห็น
สัตว์อสูรวานร เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่สัตว์อสูรขั้นที่สาม โดยทั่วไปความแข็งแกร่งของมันนั้น จะสูงกว่าสัตว์อสูรขั้นสามทั่ว ๆ ไป เพราะพวกมันไม่สามารถใช้พลังธาตุเพื่อปลดปล่อยทักษะการโจมตีออกมาได้เหมือนกับสัตว์อสูรตนอื่น ๆ แต่ทักษะของพวกมัน ทำงานด้วยร่างกายของมันเอง
ทักษะโลหะ เป็นทักษะเสริมชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถทำให้ขนของวานรนั้น แข็งราวกับเหล็กกล้า โดยร่างของอสูรวานรจะเปลี่ยนเป็นสีเทาเมื่อมันเริ่มใช้ทักษะเสริม จะเป็นผลทำให้ความแข็งแกร่งอันทรงพลังของมันอยู่ในขั้นสามระดับสูงสุด
อย่างไรก็ตาม ในหุบเขามีมนุษย์อยู่กลุ่มหนึ่ง มีจำนวน 13 คน แต่มีนักรบอยู่หลายคนมาก ในหมู่คนพวกนั้น มีพลังอยู่ในระดับเดียวกับอสูรวานร ดูเหมือนว่าพวกเขาน่าจะเป็นนักรบขั้นสาม
ส่วนใหญ่เป็นนักดาบ ดูเหมือนจะมีเพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้นที่เป็นนักสู้ แต่พวกเขานั้นไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ เพียงแค่เฝ้าดูจากระยะไกล ๆ
ความแข็งแกร่งของอสูรวานรตัวนี้ แข็งแกร่งกว่าตัวใดที่เคยพบเจอมา อย่างไรก็ตามมันถูกรุมทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า เนื่องจากอีกฝ่ายมีกำลังคนมากกว่า
“สารเลว!อสูรวานรตนนี้แข็งแกร่งมาก “หนึ่งในสามนักรบขั้นสาม เอ่ยออกมา
“ขนาดพวกเรารวมพลังการต่อสู้แล้ว มันยังทนได้อยู่อีก แต่ข้าคิดว่าขาหนึ่งข้างของมันใกล้จะพิการเต็มที” นักรบขั้นสามอีกคนเอ่ยโต้ตอบ
“ใช่ เมื่อได้ยินคำพูดของชายคนนั้น อีกสองคนก็ตอบรับและเห็นด้วยกับคำพูดนี้
เนื่องจากหลินเว่ยนั้นอยู่ห่างจากพื้นที่ต่อสู้เล็กน้อย เขาจึงไม่ได้ยินพวกเขาพูด อย่างไรก็ตามหลินเว่ยรู้ดีว่าคนเหล่านั้นกำลังพยายามต่อสู้อย่างหนัก สิ่งนี้สามารถอนุมานได้จากการเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน ของความผันผวนของลมปราณของทั้งสาม
แน่นอนว่า โอกาสดีจะมาถึงในไม่ช้า เพื่อสร้างโอกาสให้กับนักรบขั้นสามทั้งสาม นักดาบเดินไปรอบ ๆ ด้านหลังของอสูรวานรและเริ่มการโจมตีพร้อมกัน แม้ว่าร่างกายของอสูรวานรจะแข็งแกร่งมาก แต่การลอบโจมตีจากทางด้านหลังก็ทำให้มันเสียเปรียบ
และต้องหันกลับมาเพื่อปกป้องเบื้องหลังของตนเอง อย่างไรก็ตามเนื่องจากขาข้างหนึ่งได้รับบาดเจ็บ ทำให้การป้องกันตนเองของอสูรวานรนั้นเชื่องช้าลงเล็กน้อย แม้ว่ามันจะปิดกั้นการโจมตีที่อยู่ข้างหลังได้อย่างสมบูรณ์
แต่มันก็เปิดช่องโหว่ทางด้านหน้าให้กับมนุษย์ทั้งสามคน
“ตอนนี้ล่ะ!” นักรบขั้นสามหนึ่งในสามคนเห็นโอกาสที่ดี จึงร้องบอกสองคนที่เหลือ
“เผามันซะ!” นักรบขั้นสามทั้งสามคนประสานเสียงกัน เพื่อร่วมมือกันจัดการอสูรวานรตนนี้
“เผามัน!”
เมื่อเห็นโอกาสอันดี ทั้งสามคนจะปล่อยโอกาสนี้ไปได้อย่างไร? พวกเขาทั้งหมดเป็นคนที่มีประสบการณ์ และได้เรียกใช้ทักษะศิลปะการต่อสู้ของพวกเขาทันที
ในขณะที่เกิดเสียงระเบิดและเสียงโห่ร้องทั้งสามครั้ง หลินเว่ยก็เห็นว่าแสงสีแดงอ่อนจากดาบทั้งสาม กำลังพุ่งออกจากอาวุธของนักรบขั้นสามทั้งสาม ซึ่งมีลักษณะยาวเกือบครึ่งเมตร พวกมันตรงเข้าสับที่ข้อต่อระหว่างขาซ้ายและต้นขาขวา
“โฮ่กกกก!” เสียงร้องโหยหวนของอสูรวานรดังขึ้น
“ปัง!” ในขณะเดียวกันร่างกายของมันก็ล้มลงบนพื้น เนื่องจากขาทั้งสองข้างได้รับบาดเจ็บ และไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้
เมื่อเห็นว่าขาของอสูรวานรบาดเจ็บสาหัส มันจึงสามารถต่อสู้ได้เพียงมือเดียวเท่านั้น เนื่องจากมืออีกข้างต้องใช้พยุงร่างกายขึ้นมาต่อสู้แล้วมนุษย์กลุ่มนั้น จะปล่อยโอกาสดี ๆ ให้หลุดลอยไปได้อย่างไร
อสูรวานรที่สามารถต่อสู้ได้เพียงมือเดียว เผชิญหน้ากับการโจมตีมากมาย ซึ่งมันไม่ง่ายเลยที่จะต้านทานจำนวนคนหมู่มาก หลังจากนั้นไม่นาน มันก็ล้มตัวลง และร่างกายของมันก็เกิดบาดแผลและมีเลือดไหลออกมา
“โอ้ … !” เมื่อเห็นว่าสัตว์อสูรกำลังจะพ่ายแพ้ กลุ่มมนุษย์ก็เพิ่มการโจมตี และเอาชนะอสูรวานรที่ร้องโหยหวนอย่างโศกเศร้าเป็นเวลานาน
“มาเถอะ! มันทนไม่ไหวแล้ว พวกเรามาช่วยกัน ผู้อาวุโสที่สุดในสามนักรบขั้นสามก็ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
“โฮ่ก!” เสียงคำรามของอสูรวานรยังคงกึกก้อง
ขณะที่กลุ่มคนวางอาวุธเสียงคำรามสูงดังขึ้นจากทางเข้าหุบเขาและกระจายไปยังหุบเขาทั้งหมดอย่างรวดเร็ว
“เสียงนั้นคืออะไร? อย่าบอกว่ามีอสูรวานรอื่นอีก?”
“หัวหน้า เราไม่ได้รับรายงานว่ามีอสูรวานรอีกตน จะทำอย่างไรดี?”
เมื่อเขาได้ยินเสียงคำรามดังขึ้นมา คนอื่น ๆ ที่ร่วมกันโจมตีอสูรวานรก็ช้าลงโดยไม่รู้ตัว
“อย่าพึ่งตกใจไป! ลิงตัวนี้กำลังจะตาย รีบทำงานให้เร็วขึ้น และเราจะได้ออกไปเสียที หัวกลุ่มเอ่ยอย่างรีบร้อน
“ใช่ ๆ ทันทีที่พวกเขาได้ยินคำพูดของผู้นำกลุ่ม พวกเขาก็เข้าใจทันที พวกเขาสงบใจและเริ่มโจมตีอย่างรุนแรงอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของผู้คนสงบลงแล้ว หัวหน้ากลุ่มจึงพูดกับนักรบขั้นสามอีกสองคนว่า: “เอาล่ะ ข้าจะไปดูว่ามีอะไรเกิดขึ้น ที่นี่ฝากพวกท่านด้วย”
เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้านักรบขั้นสาม ทั้งสองก็ตอบกลับอย่างรวดเร็ว: “พี่ใหญ่ วางใจได้! ข้ากับน้องสาม จะอยู่ที่นี่
“พี่ใหญ่ ท่านไปที่ด้านบนเถอะ อีกสักพักพวกเราจะตามไปที่นั่น”
เมื่อได้ยินการตอบรับของทั้งสองคน หัวหน้าของกลุ่มก็รีบรุดออกจากวงล้อมและหันหน้าไปทางปากหุบอย่างรวดเร็ว