ราชาซากศพ - บทที่ 27 สอน
บทที่ 27 สอน
“วิ๊ง…” หลินเว่ยลืมตาขึ้นและรู้สึกปวดหัวหนักๆ เขาอดไม่ได้ที่จะสูดอากาศเย็น ๆ เข้าปอด เพื่อคลายความเจ็บปวดลงไป
“ฟื้นแล้วหรือ!” เสียงของชายชราดังขึ้นในความคิดของเขา
“อาจารย์! ข้าเป็นอะไรไป?” เมื่อได้ยินเสียงของอาจารย์ หลินเว่ยพยายามทนกับความเจ็บปวดและถามในใจขึ้นอย่างรีบร้อน
“ไม่มีอะไรร้ายแรง เพียงแค่พลังจิตวิญญาณของเจ้ายังอ่อนแอเกินกว่าที่จะแบกรับความทรงจำที่ข้าฝึกฝนการกลั่นยาให้เจ้าเมื่อครู่ ดังนั้นเจ้าจึงหมดสติ แต่ในเมื่อตอนนี้ฟื้นแล้ว เจ้าน่าจะจำได้เกี่ยวกับสิ่งที่ข้าได้สั่งสอนไป อย่าลืมมันเด็ดขาด
ไม่อย่างนั้นเจ้าต้องเริ่มต้นใหม่ทั้งหมด เมื่อครู่ข้าได้ส่งมอบทักษะลับของ “การเข้าสมาธิ” ซึ่งหากว่าเจ้าสามารถฝึกฝนได้ ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่มีความสำคัญมากสำหรับการกลั่นยา
นอกจากนี้ยังสำคัญสำหรับศิลปะการคืนชีพนักรบโครงกระดูกของเจ้า ในครั้งนี้ข้าใช้พลังไปมากและต้องพักผ่อน หากไม่มีอะไรเร่งด่วน อย่ามารบกวนข้า ”
เมื่อได้ยินคำถามของหลินเว่ย ผู้อาวุโสหมิงอธิบายเล็กน้อย จากนั้นจึงตัดการติดต่อกับหลินเว่ย
หลังจากฟังคำพูดของอาวุโสหมิง หลินเว่ยก็ลุกขึ้นนั่งอย่างเร่งรีบ ตั้งสมาธิและเริ่มมองคิดถึงเนื้อหาที่เขาได้รับส่งมอบมาจากอาจารย์
“เคล็ดลับการควบคุมไฟ”
“การเข้าสมาธิ”
“ว่านเหยาลู่”
นี่คือสิ่งที่อาจารย์หมิงนั้นมอบให้หลินเว่ย
“เคล็ดลับการควบคุมไฟ” มันไม่ใช่ทั้งศิลปะการต่อสู้ หรือวิธีการฝึกพลังจิต แต่เป็นวิธีการควบคุมไฟ โดยใช้พลังจิตในการกลั่นยา สิ่งแรกที่ต้องเชี่ยวชาญคือการควบคุมเปลวไฟ จากนั้นตามด้วยรายการปรุงยา และสมุนไพรที่ต้องใช้
“ว่านเหยาลู่” คือบันทึกยาและยาล้ำค่าทุกชนิด ตั้งแต่ขั้น 1 ถึงขั้น 11 ส่วนเนื้องหาของจำนวนยาทั้งหมด หลินเว่ยนั้นไม่รู้ และในตอนนี้ตัวเขานั้นไม่อยากรู้ตอนนี้ เพราะตอนนี้พลังของเขานั้นอยู่แค่ขั้นหนึ่ง ซึ่งเขามีเวลามากมายในการค่อย ๆ ศึกษา
“การเข้าสมาธิ” เป็นทักษะลับในการฝึกฝนความแข็งแกร่งทางจิตวิญญาณ แม้ว่าหลินเว่ยจะไม่รู้ว่าตัวเขานั้นอยู่ที่ขั้นใด แต่เขาคิดว่าระดับของตนเองนั้นไม่น่าจะต่ำเกินไป ไม่อย่างนั้น เขาคงต้องฝึกฝนอย่างหนักอีกแน่นอน
หลินเว่ยนั้นยังคงหมกมุ่นอยู่กับวิธีการฝึกฝนความแข็งแกร่งทางจิตใจมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเขาเลื่อนระดับทักษะการคืนชีพของนักรบโครงกระดูกเป็นขั้นสาม มันเป็นเรื่องง่ายที่จะควบคุมโครงกระดูกขั้นสอง ระดับสี่
ในเวลาเดียวกัน อย่างไรก็ตามเขารู้สึกได้ว่าด้วยความแข็งแกร่งทางจิตในปัจจุบันของเขานั้นไม่สามารถควบคุมโครงกระดูกขั้นสามระดับแปดในเวลาเดียวกันได้ นับประสาอะไรกับการเลื่อนขั้นศิลปะการคืนชีพนักรบโครงกระดูก
เนื่องจากทะเลลมปราณของเขาแตกซ่านไปก่อนหน้านี้และเมื่อไม่นานมานี้ เขาสามารถหาที่รองรับการฝึกฝนลมปราณของตนเองได้
ดังนั้นหลินเว่ยจึงกระตือรือร้นที่จะเลื่อนขั้นการฝึกฝนพลังปราณของเขาให้ก้าวหน้ามากขึ้น ด้วยวิธีนี้ ความแข็งแกร่งทางวิญญาณของเขา ก็จะดีขึ้นตามลำดับ แม้จะไม่มาก…. แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย
ระดับของพลังวิญญาณสามารถแบ่งออกเป็น: ระดับธรรมดา, ระดับมนุษย์, ระดับปฐพี, ระดับสวรรค์, ระดับศักดิ์สิทธิ์ และระดับเทพเจ้า แต่ละระดับแบ่งออกเป็นสามระดับ: ระดับสูง ระดับกลางและระดับต่ำ พลังจิตในปัจจุบันของหลินเว่ยเป็นระดับกลางของทุกระดับ หลังจากนั้นหลินเว่ยใช้เวลาสองวัน ในการจดจำเนื้อหาที่ได้รับมาจากอาจารย์หมิง
…………
“อ๊า! มันล้มเหลวอีกแล้ว” ประตูห้องของหลินเว่ยนั้นถูกปิดลงอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันการรบกวนการฝึกฝนของเขา หลินเว่ยนั้นนั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้อง ด้านหน้าของเขามีเตาเผา ซึ่งส่งกลิ่นไหม้ตลบอบอวล
นี่คือความล้มเหลวครั้งที่สิบสามของหลินเว่ยที่ได้รับการสั่งสอนมาจากอาจารย์หมิง เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาหลินเว่ยได้ฝึกฝน “เคล็ดลับการควบคุมไฟ” จากนั้นขอให้เถาจุนนำสมุนไพรที่ต้องการ มาจากคลังของกองทหารรับจ้างโลกันตร์
เนื่องจากไม่มีแพทย์โอสถในค่าย จึงไม่มีการกลั่นยาเกิดขึ้น มีเพียง 14 ต้นเท่านั้น ที่สามารถรวบรวมมาได้ ด้วยเหตุนี้ หลินเว่ยฝึกฝนการควบคุมไฟด้วยสมุนไพร จนเสียไปทั้งสิ้น13 ต้น
ยาอายุวัฒนะที่หลินเว่ยต้องการปรุงขึ้นมา เป็นยาอายุวัฒนะชนิดหนึ่ง คือยาจูฉี โชคดีที่สมุนไพรสำหรับการกลั่นยาจูฉีเป็นเพียงสมุนไพรขั้นหนึ่งธรรมดา และหากว่าสูญเสียไป ก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โต
อันที่จริงการปรุงยาที่อาจารย์หมิงสอนนั้นมีรายละเอียดมาก เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ที่จะสามารถกล่าวได้ว่า หลินเว่ยสามารถประสบความสำเร็จได้เพียงครั้งแรกที่เขาทดลองฝึกฝน ตราบเท่าที่ทำตามที่อาจารย์หมิงสอน
อย่างไรก็ตามตอนนี้ ความแข็งแกร่งทางจิตใจของเขายังไม่แข็งแกร่งนัก และเขาสามารถใช้ “ทักษะการควบคุมไฟ” ได้ไม่ดีนัก โชคดีที่หลังจากความล้มเหลวหลายครั้ง หลินเว่ยจึงค่อย ๆ สามารถใช้มันได้อย่างชำนาญ
เขาเทกากยาออกมา ยิ่งไปกว่านั้นภายใต้เตาไฟ หลินเว่ยได้เพิ่มถ่านเข้าไปใหม่ และเริ่มการกลั่นยาอีกรอบ แต่เขายังไม่ทันโยนสมุนไพรลงในเตา หลินเว่ยต้องสกัดสมุนไพรให้บริสุทธิ์เสียก่อน
ไม่มีสมุนไพรและขั้นตอนยุ่งยากมากมาย ในการปรุงยาจูฉี มีเพียงสมุนไพรหลักเพียงตัวเดียว และส่วนผสมอย่างอื่นสี่อย่าง และไม่มีข้อกำหนดอะไรที่สำคัญ
ขั้นตอนแรกคือการกลั่นยา ขั้นตอนที่สองคือการทำให้ยาบริสุทธิ์ หลินเว่ยนั้นพยายามทำเสร็จทีละขั้นตอน แต่ต้องใช้เวลาสักพัก ท้ายที่สุดสิ่งที่ หลินเว่ยใช้ในตอนนี้ เป็นเพียงเตาไฟธรรมดาขนาดกลาง และเปลวไฟนั้นเกิดจากการเผาถ่านธรรมดา
แม้ว่าเขานั้นจะเริ่มปรุงยาแต่ความเร็วนั้นช้าอย่างมาก
หลังจากเริ่มกลั่นยาผ่านไปสองขั้นตอนนั้น เป็นเพียงครึ่งทางของวิธีการกลั่นยา แม้ว่าขั้นตอนจะไม่ยุ่งยาก แต่สำหรับหลินเว่ยนั้น ก็เป็นเรื่องยากที่สุดเช่นกัน หลินเว่ยนั้นล้มเหลวในขั้นตอนสุดท้ายไปถึง 11 ครั้งแล้ว แต่เขายังคงมุ่งมั่นในการกลั่นยาต่อไป
“อืม? กลิ่นถูกต้อง หลังจากใช้ความพยายามอย่างมาก เมื่อส่วนผสมชนิดสุดท้ายถูกใส่เข้าไป กลิ่นความสำเร็จของยา ก็ลอยฟุ้งออกมาจากเตาเผา ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิง จากครั้งที่ล้มเหลวก่อนหน้า
ยิ่งทำให้ท่าทางของหลินเว่ยนั้นดูมีความสุข เขาควบคุมไฟอย่างระมัดระวัง และไม่กล้าประมาท
“สำเร็จแล้ว!”
ในการรับรู้ของหลินเว่ย ตอนนี้ภายในเตาหลอมเม็ดยา กำลังเริ่มมีปฏิกิริยา ควันฟุ้งกระจายขึ้นไปกลางอากาศซึ่งเป็นผลมาจากการกลั่นยา
หัวใจของหลินเว่ยนั้นเต็มไปด้วยความสุข เขาเปิดฝาเตาอย่างรวดเร็ว มียาเม็ดหนึ่งพุ่งออกมา หลินเว่ยเอื้อมมือออกไปและคว้ายามาไว้ในมือ
เมื่อมองไปที่ยาร้อน ๆ ในมือของเขา หลินเว่ยก็ตกอยู่ในภวังค์ หากสมุนไพรหรือส่วนผสมต่าง ๆ ยังไม่ถูกใช้จนหมด เขาก็พร้อมที่จะปรุงยาเพิ่มเติม
หลังจากนั้น หลินเว่ยก็หลับตาและเริ่มฝึกใน “สูตรยาเข้มข้น” ที่สอนโดยอาวุโสหมิง พลังจิตของเขาถูกจำกัดให้เหลือน้อยลง ทุกครั้งที่เขากลั่นยา พลังจิตของเขาจะหมดลงไป เขาจะใช้โอกาสนี้ในการฝึก “การเข้าสมาธิ” หลังจากพลังจิตเริ่มฟื้นตัว
หลินเว่ยก็รู้สึกวางใจ
ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น หลินเว่ยไปที่ร้านขายยาหลายแห่งในเมือง เพื่อไปหาซื้อสมุนไพรและอุปกรณ์ที่ต้องใช้ในการปรุงยาและบรรจุยาเพิ่มเติม เพื่อการกลั่นจูฉีขั้นหนึ่งและจูหยวนขั้นสอง
แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ ที่มันจะมีส่วนผสมยาขายในร้านทั่วไป ย่อมมีแต่ในร้านขายยาเท่านั้น แม้ว่าเมืองจะมีขนาดเล็ก แต่ก็ยังมียาเม็ดขั้นหนึ่งและขั้นสองจำนวนมาก แต่หลินเว่ยนั้นไม่เสียเงินซื้อยาย่างแน่นอน เพราะตอนนี้เขาสามารถปรุงยาได้ด้วยตนเอง ฉะนั้นเขาจะไม่เอาเงินไปละลายกับที่ที่ไม่ควรเสีย
ราคาของสมุนไพรในการกลั่นยาจูฉีขั้นหนึ่งนั้นไม่แพง ราคาเพียง 10 เหรียญทอง หนึ่งร้อยเหรียญทองสำหรับยาที่มีระดับขั้นสูง ราคาของยาเม็ดของจูหยวนจะสูงกว่ามาก มันมีราคาสูงกว่ายาจูฉีหลายเท่า