ราชาซากศพ - บทที่ 290 เหม็น
บทที่ 290
เหม็น
หลินเว่ยฟังคำบรรยายของจื่อหยู แต่ความสนใจของเขาอยู่ที่หยดน้ำสีม่วงบนใบไม้เสมอ ดูเหมือนว่าเขาจะค่อนข้างเหม่อลอย
“ฮ่าฮ่าดูเหมือนว่า ข้าจะพูดมากเกินไป! ตอนนี้มันเป็นของเจ้าแล้ว” เมื่อเห็นท่าทางของหลินเว่ย จื่อหยูก็ส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ใบหน้าของหลินเว่ยแสดงให้เห็นถึงความลำบากใจ แต่ในไม่ช้ามันก็หายไป จากนั้นเขาก็พยักหน้าให้จื่อหยูอย่างขอบคุณ และเดินไปที่ใบไม้ที่มีจื่อฉีเทียนหลิงลู่อยู่
แม้ว่าจะผลประโยชน์ร่วมกัน แต่อีกฝ่ายก็ทำเพื่อเพิ่มโอกาสในการออกไปจากดินแดนลับเท่านั้น ท้ายที่สุดการฝึกฝนของหลินเว่ยเป็นเพียง จักรพรรดิขั้นหก เท่านั้น แม้ว่าจะมีการรวมตัวของจิตวิญญาณ
แต่ก็ยังไม่แน่นอน ซึ่งไม่อาจจะชี้ชัดได้ว่า เขาจะสามารถรอดจากการชำระล้างของพลังงานแห่งสวรรค์และโลกหรือไม่?
แม้ว่าหลินเว่ยจะล้มเหลวในครั้งนี้ อีกฝ่ายก็สามารถรอครั้งต่อไปได้ แต่โอกาสก็น้อยเกินไป เป็นเวลาหลายหมื่นปีที่อีกฝ่ายได้พบกับหลินเว่ย เพียงผู้เดียวที่มีโอกาสความเป็นไปได้
ก่อนที่นางจะถึงขีดจำกัดของช่วงชีวิตที่ยืนยาว
แน่นอนว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีอัจฉริยะบางคนที่เข้ามาในดินแดนลับ ความสำเร็จของพวกเขาอาจอยู่ในขั้นจักรพรรดิ หรือแม้แต่ในระดับสูงสุดของจักรพรรดิ
หากพวกเขาได้รับจื่อฉีเทียนหลิงลู่ มันอาจช่วยประสานพลังวิญญาณของพวกเขา อย่างไรก็ตามด้วยความแข็งแกร่งของวิญญาณนั้น…. ยากจนเกินกว่าที่จะผ่านการชำระล้างของพลังแห่งสวรรค์และโลก
แน่นอนว่า หากให้เวลาพวกเขาสักระยะ พวกเขาจะค่อยๆเติบโต และจิตวิญญาณของพวกเขาและเหนียวแน่นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คนนอกทุกคนสามารถอยู่ในดินแดนลับได้เพียงปีเดียว และไม่มีเวลาเพียงพอ
ดังนั้น ในครั้งนี้ จื่อหยูสามารถพูดได้ว่า นางพยายามที่สุดแล้ว วงแหวนมิติเหล่าก็เช่นกัน หากหลินเว่ยตายไปแล้ว มันจะคงอยู่ตามธรรมชาติ แต่มีน้ำค้างจื่อฉีเทียนหลิงลู่เหลือเพียงหยดเดียวเท่านั้น
และนางได้ตัดสินใจครั้งยิ่งใหญ่ และมอบให้หลินเว่ย
หลินเว่ยส่ายหัวละทิ้งความคิดทั้งหมด และกระพือปีก เขาหยุดอยู่ข้างใบไม้ที่มีจื่อฉีเทียนหลิงลู่อยู่ จากนั้นเขาก็หยิบขวดหยกออกมา นำปากขวดไปจ่อที่จื่อฉีเทียนหลิงลู่อย่างระมัดระวัง จากนั้นยื่นมือออกไปเพื่อกดใบไม้เพื่อเอียงใบ หยดน้ำสีม่วงอ่อนกลิ้งไปตามปากขวดอย่างราบรื่น
หลังจากปิดจุกขวดแล้ว หลินเว่ยก็กลับไปหาจื่อหยู และประสานกำปั้นของเขาอย่างเคร่งขรึม เขากล่าวอีกครั้งว่า “ขอบคุณพี่สาวจื่อหยู”
“ฮ่าฮ่า! ยินดี เรากลับกันเถอะ! เจ้าควรดูดซับโดยเร็วที่สุดไปที่ห้องของข้า จื่อหยูพยักหน้าด้วยความพึงพอใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อืม! ดี หลินเว่ยไม่ได้คิดเกี่ยวกับข้อเสนอของจื่อหยู ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย เขาไร้ซึ่งผู้คอยปกป้องในดินแดนลับ ที่มีที่ใดที่ปลอดภัยไปกว่าที่นี่
สิบนาทีต่อมา หลินเว่ยเดินเข้าไปในบ้านหินของจื่อหยู พยักหน้าให้ จื่อหยูอย่างเงียบ ๆ จากนั้นก็ค่อยๆปิดประตู
เมื่อมองไปที่ประตูหินที่ปิดอยู่ จื่อหยูก็หันไปรอบ ๆ และนั่งตรงนอกประตูหิน นางไม่อาจวางใจต่อสถานการณ์ใดๆ ที่มีผลต่อหลินเว่ย ดังนั้นนางจึงยังคงอยู่นอกประตู จึงจะรู้สึกวางใจ
ด้วยวิธีนี้นางสามารถหลีกเลี่ยงการรบกวนหลินเว่ยได้
ในบ้านหินหลินเว่ยปิดพื้นอีกครั้ง จากนั้นหยิบหนังสัตว์ออกมาหลายชิ้นแล้ววางลงบนพื้น หลังจากนั้นหลินเว่ยก็นั่งลงบนหนังสัตว์และคุกเข่าลง
ขวดหยกที่บรรจุวิญญาณม่วงและน้ำค้างวิญญาณสวรรค์ ปรากฏขึ้นในมือของหลินเว่ย โดยไม่มีร่องรอยของความลังเล เขาเปิดจุกขวดแล้วเทใส่ปากทันที
หยดน้ำค้างจื่อฉีเทียนหลิงลู่ที่สัมผัสกับลิ้น ไร้ซึ่งร่องรอยของรสชาติ กลับถูกกลืนเข้าไปโดยตรง
และเข้าสู่ร่างกายของเขา ในช่วงเวลาหนึ่ง หลินเว่ยรู้สึกถึงความรู้สึกเย็นลึก ซึมเข้าไปในจิตวิญญาณของเขา
ความรู้สึกนี้เหมือนกับการดื่มน้ำเย็น ในฤดูร้อนซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกสบายตัว
หลังจากนั้น มันก็แปรสภาพกลายเป็นเปลวไฟน้ำแข็งที่สมบูรณ์ จากนั้นค่อยๆดูดซับพลังงานของจื่อฉีเทียนหลิงลู่ พลังงานของจื่อฉีเทียนหลิงลู่นั้นมีมากมาย มันอ่อนโยนมากและบริสุทธิ์มาก ความบริสุทธิ์นี้ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ แม้แต่ผลหยวนเยว่ก็ไม่สามารถเปรียบเทียบได้
ครึ่งชั่วโมงต่อมาหยดน้ำได้หายไป และกลายเป็นหมอกสีม่วง และเริ่มแทรกซึมเข้าไปในร่างกายของหลินเว่ย แม้แต่ทะเลแห่งจิตสำนึก ก็ไม่สามารถหยุดยั้งย่างก้าวของอีกฝ่ายได้ ในไม่ช้า มันก็ห่อหุ้มวิญญาณของหลินเว่ย
และบังเกิดรัศมีสีม่วงขึ้น นอกจิตวิญญาณของเขา ด้วยหมอกสีม่วงที่หลอมรวมเข้าสู่จิตวิญญาณของเขา หลินเว่ยสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า จิตวิญญาณของเขารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่หยุดหย่อน
ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกว่า จิตใจของเขาอ่อนไหวมากขึ้น กล่าวคือเขามีความตระหนักรู้มากขึ้นกว่าเดิม
พลังวิญญาณที่เชื่อมต่อกับจิตวิญญาณก็เพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่ได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด ท้ายที่สุดพลังวิญญาณของหลินเว่ยได้ก้าวเข้าสู่ระดับอรหันต์ ดังที่จื่อหยูกล่าวว่า ผลลัพธ์ของจื่อฉีเทียนหลิงลู่นั้น ไม่ได้ผลดีมากนัก หากใช้ในระดับขั้นศักดิ์สิทธิ์
การปรับปรุงที่ดีที่สุดคือ การฝึกฝน ทั้งพลังปราณ และพลังวิญญาณของหลินเว่ยพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามในช่วงเวลาหนึ่ง พลังปราณของเขาได้ทะลวงสู่จักรพรรดิ ขั้นที่เจ็ดอย่างเป็นทางการ
ในทางกลับกันพลังจิตวิญญาณของเขา ได้สร้างความก้าวหน้าครั้งแรก ในพลังปราณซึ่งได้รับการเลื่อนระดับ เป็นจักรพรรดิวิญญาณขั้นสอง และหลังจากการเพิ่มระดับพลังปราณ ทำให้พลังวิญญาณของเขาก็พัฒนาขึ้นอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้นหมอกสีม่วงเหล่านี้ ยังวนเวียนอยู่ในร่างของหลินเว่ย แม้แต่กระดูกของเขา รวมไปถึงเส้นผม ทุกอณูมีหมอกสีม่วงวนเวี่ยนไปทั่วทั้งร่าง
หนึ่งชั่วโมงต่อมา พลังวิญญาณของหลินเว่ยเกิดการทะลวงด่านอีกครั้ง สองชั่วโมงต่อมา พลังปราณและพลังวิญญาณ ก็ทะลุทะลวงในเวลาพร้อม ๆ กัน ด้วยการเลื่อนระดับอย่างต่อเนื่อง ส่งผลทำให้รากฐานเพิ่มความเสถียรมากขึ้นตามลำดับ
น้ำค้างจื่อฉีเทียนหลิงลู่นี้ มีไว้เพื่อเพิ่มพูนรากฐานของพลังเป็นหลัก และเสริมสร้างการฝึกฝนเป็นเรื่องรอง ดังนั้นจึงสามารถทำให้คนกลายเป็นอรหันต์ได้ภายในครึ่งวัน และกลายเป็นเทพเจ้าได้ในวันเดียว
แน่นอนว่า หยาดน้ำค้างวิญญาณม่วงที่หลินเว่ยดูซับนั้น ยังได้รับผลลัพธ์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขากำลังเปลี่ยนร่างเพื่อสร้างร่างบริสุทธิ์
เขาก็ยังสามารถเลื่อนระดับความแข็งแกร่งของตนเองได้ไปพร้อมๆกัน
สองเดือนถัดมา ดวงตาที่ปิดอยู่ของหลินเว่ยได้เปิดขึ้นอีกครั้ง มือขวาของเขายื่นออกมาช้า ๆ และหงายฝ่ามือของเขาก็ขึ้นเบื้องหน้า หลังจากไม่กี่อึดใจ พลังงานสีม่วงก็ว่ายวนเวียน เข้ามาในมือของเขา และพลังงานก็เปล่งแสงวูบวาบออกมาเป็นครั้งคราว
“ นี่คือพลังแห่งความชอบธรรมงั้นหรือ?” หลินเว่ยมองไปที่พลังในมือของเขา และอดไม่ได้ที่จะอุทาน
แม้ว่าพลังงานนี้ จะมีขนาดเล็กมาก แต่ หลินเว่ยรู้สึกว่า มันมีพลังทำลายล้างที่ทรงพลัง เขาเดาว่าหากการโจมตีของเขา มีพลังงานนี้ควบแน่นอยู่ พลังของมันจะเพิ่มขึ้นมากกว่าสิบเท่า
นี่เป็นหนึ่งในความสำเร็จของหลินเว่ยในสองเดือนที่ผ่านมา ครึ่งหนึ่งของความสำเร็จของเขาคือ เขาเลื่อนระดับพลังวิญญาณเป็นจักรพรรดิวิญญาณขั้นสี่ และความแข็งแกร่งเลื่อนระดับเป็นจักรพรรดิขั้นเก้า
ส่วนร่างวิญญาณในจิตสำนึกนั้น สูงขึ้นกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง และไม่ได้เป็นสีเทาอีกต่อไป แต่กลายเป็นสีเทาอมดำ และหนักไปทางสีดำมากกว่าสีเทา
เมื่อวิญญาณมีสีดำสนิท วิญญาณย่อมถือได้ว่ามีอยู่จริง เมื่อถึงระดับเหล็กดำ มันสามารถแยกออกจากร่างเพื่อต่อสู้ได้ อย่างไรก็ตาม จะไม่มีใครทำเช่นนี้ เว้นแต่เขาจะถูกบังคับให้ไปสู่ทางตัน
และจิตวิญญาณของเหล็กดำ หรือที่เรียกว่าจิตวิญญาณสงครามเหล็กดำ ถือว่าเป็นวิญญาณระดับต่ำสุดเช่นกัน มีจิตวิญญาณสงครามสำริด จิตวิญญาณสงครามเงิน และระดับอื่น ๆ
หลินเว่ยยังไม่ได้ดูดซับพลังงานทั้งหมดของ จื่อฉีเทียนหลิงลู่ แต่พลังงานจำนวนมากขึ้นได้แทรกซึมเข้าไปในร่างกายของเขา ทำให้ร่างกายของเขาเปลี่ยนแปลง และปรับปรุงคุณสมบัติของหลินเว่ยอย่างไม่น่าเชื่อ
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป ความแข็งแกร่งของเขาจะดีขึ้นตามลำดับ แต่เวลานี้อาจใช้เวลาหลายเดือนหรือหลายปี
เขาพ่นลมหายใจออกช้า ๆเมฆสีเทา และอากาศขุ่นก็ฟุ้งออกมาจากปากของเขา จากนั้นก็ค่อยๆสลายไป ในเวลานี้รูจมูกของ หลินเว่ยกระตุกเล็กน้อย และคิ้วของเขาก็ย่นลงในทันที จากนั้นเขาก็มองลงไป และพบว่าร่างกายของเขาถูกปกคลุมไปด้วยสิ่งสกปรกหนา ๆ ซึ่งทั้งหมดถูกยึดติดกับเสื้อผ้าของเขา ในขณะนี้ร่างกายของหลินเว่ยกำลังส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลออกมามากมาย
“ข้าไม่ได้คาดคิดว่าจะมีสิ่งสกปรกมากมายในร่างกายของข้า” หลินเว่ยส่ายหัวและอดไม่ได้จะรำพึงกับตนเอง
ในความเป็นจริง เขาได้ใช้ผลึกวายุเพื่อขจัดสิ่งสกปรกในร่างกายของเขา และผลที่ได้นั้นน่าทึ่งมาก อย่างไรก็ตามสิ่งสกปรกบางอย่างที่ซ่อนอยู่นั้นลึกมาก และผนึกวายุนั้นไม่สามารถขับมันออกมาได้หมด
ยิ่งไปกว่านั้นการฝึกฝนของเขานั้น ล้วนมาจากการกลืนยาอายุวัฒนะ นอกจากนี้อาหารที่เขามักจะกินเข้าไป มักจะก่อให้เกิดสิ่งสกปรกเพิ่มขึ้นใหม่ในร่างกายของเขา
เว้นแต่เขาจะไม่ใช้ยาเม็ดหรือกินอะไรอีกต่อไป ไม่เช่นนั้นการก่อตัวของสิ่งสกปรกเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
แน่นอนว่าหลังจากใช้จื่อฉีเทียนหลิงลู่ แม้ว่าร่างกายของเขาจะไม่ได้ถูกเปลี่ยนให้เป็นร่างที่มีแต่กำเนิด ในระดับอรหันต์ แต่ก็เป็นร่างกึ่งศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่สามารถกินอะไรได้อีกต่อไป สามารถกินพลังปราณแห่งสวรรค์และโลก
หลินเว่ยยืนขึ้น และผลักเปิดประตูหินและก้าวออกไป เขาเห็นสามร่างยืนอยู่นอกประตู พวกเขาคือ จื่อหยู หูหนิว และ เสี่ยวหมี
หลินเว่ยกำลังจะเปิดปากของเขา แต่เขาพบว่าสีหน้าของจื่อหยูเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน คิ้วของนางขมวดแน่น นางยื่นมือออกไปบีบจมูก นางถอยหลังอย่างทุลักทุเล ในปากของนางร้องซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “เหม็น…เหม็นเพียงใดกันแน่!
“ เอ่อ … !” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทั้งสาม ทำหน้าตาราวกับไม่อยากอยู่ใกล้เขา ใบหน้าของหลินเว่ยก็แข็งกระด้าง เพราะความสุขที่ได้รับการปรับปรุงความแข็งแกร่ง จากนั้นเขาก็เกาหัวด้วยความลำบากใจ และส่ายหัวด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “เดี๋ยวข้าขอตัวอาบน้ำก่อน” ทันทีที่พูดจบ หลินเว่ยวิ่งไปที่ทะเลสาบไม่ไกลด้วยความเร็วสูง
“สวบสาบ ตูม! หลินเว่ยกระโดดลงไปในทะเลสาบ โดยหลงเหลือเพียงศีรษะที่โผล่ขึ้นมา จนกระทั่งถึงเวลานั้น เสื้อผ้าของเขาก็สลายไปอย่างช้าๆ ก่อนที่มันจะตกลงสู่พื้น กลายเป็นขี้เถ้าลอยและลอยไปตามกระแสลม
“หืม?” จื่อหยูเปล่งเสียงที่น่าตกใจออกมาจากปาก