ราชาซากศพ - บทที่ 343 จูกังเลี่ยผู้ชั่วร้าย
บทที่ 343
จูกังเลี่ยผู้ชั่วร้าย
“ฮ่าฮ่า! มันคือเรื่องจริงที่ ร่างที่แท้จริงของข้าคือ หมูปีศาจนรก ข้ากลืนหมูภูเขาเพลิงตัวนี้เข้าไป และต้องใช้ระยะเวลาหลายปี รวมทั้งพลังงานมากมายจึงสามารถเปลี่ยนแปลงร่างให้กลับไปเป็นร่างที่แท้จริงได้ ความแข็งแกร่งของหมูภูเขาเพลิงนั้นอ่อนแอเกินไป
ต่อให้ฝึกฝนต่อไปก็ไม่สามารถไปได้ไกลกว่านี้ได้ “จูกังเลี่ยมองไปที จินหยูด้วยรอยยิ้ม และสนับสนุนคำพูดของจินหยู
“ ดังนั้นมันตั้งใจที่จะกลืนกินการฝึกฝนของสัตว์อสูรเสือขาว โดยหวังว่าจะทะลวงถึงขั้นทองแดง แล้วครอบครองร่างของหญิงสาว ไม่เพียงแต่สามารถฟื้นฟูความแข็งแกร่งดังเดิมได้ อีกทั้งยังสามารถก้าวข้ามไปสู่ระดับความแข็งแกร่งที่สูงขึ้น” จินหยูพูดกับหลินเว่ย
“ฮ่าฮ่า! แม้ว่าข้าจะไม่อยากยอมรับ แต่สายเลือดของมังกรแห่งความว่างเปล่านั้น แข็งแกร่งกว่าเลือดปีศาจนรกดั้งเดิมของข้ามาก ด้วยร่างกายของนาง การฝึกฝนของข้าจะไม่หยุดเพียงแค่ระดับ ทองแดง แต่จะก้าวไปสู้ ทอง และอาจจะสามารถไปถึงระดับทองขาว ทองนิล แม้แต่ตำนาน และกลายเป็น ราชันย์” จูกังเลี่ยพูดด้วยความตื่นเต้นมาก ทั้งร่างสั่นสะท้าน
“ข้าเข้าใจแล้ว! หากเป็นสงผิงหรือคนอื่น ขอติดตามไปกับข้า เจ้าจะไม่กระโดดออกไปขวางพวกเขา?” หลินเว่ยพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อืม! เจ้าพูดถูก! แม้ว่าเสือ นางจะเป็นเด็กสาวที่มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม แต่ข้าก็ไม่เห็นว่าจะโดดเด่นไปมากกว่า สายเลือดมังกรแห่งความว่างเปล่า แม้ว่าพวกเขาสามคนต้องการจากไปกับเจ้า ข้าก็จะไม่ขวาง แต่ในทางกลับกันข้าย่อมเห็นด้วย ท้ายที่สุดมันจะเป็นการช่วยข้าได้มาก หากไร้ทั้งสามคน “จูกังเลี่ยพยักหน้าและพูดอย่างตรงไปตรงมา
“โอ้…ข้าไม่รู้ว่า…ตนเองนั้นโชคดีหรือไม่?ที่ได้รับเลือกจาก เสี่ยวหมี และในที่สุด ข้าก็ค้นพบสิ่งที่เจ้าต้องการ หลินเว่ยพูดด้วยใบหน้าเย้ยหยันตัวเอง
“ ฮึบ!” จูกังเลี่ยสามารถได้ยินอย่างชัดเจนว่า ประโยคสุดท้ายของหลินเว่ยคือการดุด่าเขา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาพูดด้วยใบหน้าที่เย็นชา: “ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องส่งเจ้ายังนรก
อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่า เจ้ากำลังผัดวันประกันพรุ่ง และรอให้เวลาในการเปลี่ยนร่างของข้าหมดลง ข้าขอโทษที่จะต้องบอกเจ้าว่า แม้ว่าจะมีเวลาจำกัดสำหรับการใช้พลังสายเลือดนี้ แต่ก็เพียงพอแล้ว สำหรับข้าที่จะฆ่าเจ้าเป็นพัน ๆ ครั้ง ”
“ระวัง…” ทันทีที่ได้ยินดังนั้น ใบหน้าของจื่อหยูก็พลันเปลี่ยนไป นางก็เปล่งเสียงอุทานในปากของนาง จากนั้นก็รีบเคลื่อนไหวไปที่จูกังเลี่ย เนื่องจากนางพบว่า แท้จริงแล้วอีกฝ่ายพร้อมที่จะโจมตีหลินเว่ยทันที
“ฮึบ! อย่าทำร้ายเขา จื่อหยูสบตามองจูกังเลี่ยด้วยเจตนาสังหาร และความเร็วของนางก็เพิ่มขึ้นทันทีสองสามเท่า
“โฮก!” หลังจากการทดสอบพลังของจูกังเลี่ยครั้งก่อน จื่อหยูรับรู้ถึงพลังของเขี้ยวทั้งสอง ตามธรรมชาติแล้ว นางจะไม่ต่อสู้ในระยะประชิดกับจูกังเลี่ย แต่นางหลบไปด้านใดด้านหนึ่ง
ก่อนที่อีกฝ่ายทันจะกระแทกร่างของนางออกไป จากนั้นเมื่ออีกฝ่ายเดินผ่าน นางไปนางก็เหวี่ยงตัวเข้าไปที่คอของจูกังเลี่ยในพริบตา
จื่อหยูกัดเข้าไปที่คอของจูกังเลี่ยอย่างบ้าคลั่ง กรงเล็บของนางคล้องที่คอของจูกังเลี่ย เพื่อป้องกันไม่ให้นางถูกเหวี่ยงออกไป
สำหรับจื่อหยูที่ห้อยอยู่รอบคอของเขา จูกังเลี่ยไม่ได้สนใจเลย เขาเดินลากร่างของจื่อหยู และกำลังจะรีบไปหา หลินเว่ย
จื่อหยูค้นพบสิ่งนี้ทันที แต่นางก็ไม่มีทางเลือก เนื่องจากผิวหนังของอีกฝ่ายหนาเกินไป นางสามารถกัดมันจนขาดวิ่นได้ แม้แต่บาดแผลฉกรรจ์ก็ไม่สามารถทำให้ผิวหนังมีร่องรอยได้
นางจึงจับขาทั้งสองข้างของจูกังเลี่ย หวังจะช่วยชะลอความเร็วของอีกฝ่าย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะกอดรัดขาของจูกังเลี่ย แต่นางก็ไม่สามารถชะลอความเร็วในการวิ่งของจูกังเลี่ยได้ ตรงกันข้าม นางกลับเป็นฝ่ายถูกอีกฝ่ายลากถูไปกับพื้น เมื่อเห็นดังนั้น จื่อหยูร้องเรียกหลินเว่ยอย่างกังวล: “วิ่ง…หนีไป!”
สำหรับเสียงร้องของจื่อหยู หลินเว่ยไม่ได้ขยับตัว เขายังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าสงบ ราวกับหวาดกลัวจนโง่เขลา
“มันจบแล้ว…” เมื่อเห็นจูกังเลี่ยรีบวิ่งไปข้างหน้าหลินเว่ย ใบหน้าของจื่อหยูก็ปรากฏท่าทางราวกับนางไม่สามารถทนมองได้ นางหันศีรษะไปโดยไม่รู้ตัว ในความคิดของนาง ร่างกายที่ เล็ก ๆของหลินเว่ย จะสามารถทนต่อเขี้ยวของจูกังเลี่ยได้อย่างไร
บาดแผลลึกจะต้องปรากฏบนร่างของเขาไม่ช้าก็เร็ว ไม่ว่าจะอย่างไร….หลินเว่ยต้องตายแน่นอน
“ พรึ่บ!”ร่างกายที่ใหญ่โตของจูกังเลี่ย อยู่ห่างจาก หลินเว่ยไม่ไกลนัก มันเข้าโจมตีหลินเว่ยในทันที เมื่อเห็นดังนั้นเสี่ยวหมีและหูหนิว ได้วิ่งไปช่วยหลินเว่ยก่อนที่ จูกังเลี่ยจะทันได้แตะต้องร่างของหลินเว่ย
จูกังเลี่ยเมื่อโจมตีลงไปยังตำแหน่งของหลินเว่ยก็พลันรู้สึกว่า ว่างเปล่า เขาหยุดทันทีและโยนจื่อหยูออก หันกลับมาและกวาดตามองไปทั่ว อย่างไรก็ตาม มันพบว่าไม่มีร่องรอยเลือด ณ บริเวณที่หลินเว่ยยืนอยู่
เบื้องหลังของหลินเว่ย ปรากฏร่างของเสือและเสี่ยวหมีที่เกาะติดอยู่กับหลินเว่ย
บัดซบ! เจ้าเด็กหลิน อาศัยประโยชน์จากความสามารถในการโจมตีของนาง
” เป็นพื้นที่มิติซึ่งผู้คนต่าง ๆ ก็อยากได้มาครอบครอง” ดวงตาของจูกังเลี่ยเปล่งประกายไปที่เสี่ยวหมี และอุทานออกมา
หลังจากนั้นไม่นาน จูกังเลี่ยยิ้มเย็น และพูดว่า: “พาคนสองคนไปที่พื้นที่มิติ แม้ว่าระยะทางจะไม่ไกล แต่สำหรับความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ จะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานมาก ไม่รู้ว่าจะทนได้กี่ครั้งกัน ”
หลังจากอยู่ด้วยกันมาหลายปี เขาก็ให้ความสนใจกับเสี่ยวหมีมาเป็นเวลานาน ดังนั้น จูกังเลี่ยจึงรู้จัก เสี่ยวหมี เป็นอย่างดี อาจกล่าวได้ว่าไม่มีใครรู้เสี่ยวหมีดีไปกว่าเขา ดังนั้น เสี่ยวหมีจึงไม่อาจสู้เขาได้
สำหรับความสามารถของเสี่ยวหมี นางเองมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ นางรู้ดีว่า ความสามารถของพื้นที่มิติสามารถพาคนไปได้ไม่กี่คนเท่านั้น อย่างไรก็ตามด้วยนิสัยของนาง จะไม่ยอมทิ้งจื่อหยู
หากเป็นเช่นนี้ แสดงว่ามีจุดอ่อน ซึ่งง่ายต่อการจัดการ ตราบใดที่มันโจมตีหลินเว่ยอย่างต่อเนื่อง มันก็จะเร่งให้เสี่ยวหมีใช้พื้นที่มิติ ยิ่งไปกว่านั้น การต้องพาคนอื่นหลบหนีไปพร้อม ๆกัน เป็นการสิ้นเปลืองพลังเป็นสองเท่า
อย่างไรก็ตาม จูกังเลี่ยคิดเสียว่าเป็นการออกกำลัง ระหว่างรอให้เสี่ยวหมีพลังงานหมดลงไป
ดังนั้น จูกังเลี่ยจึงรีบพุ่งไปหาหลินเว่ยอีกครั้ง และคอของเขาก็ถูกจื่อหยูกระโดดกัดอีกครั้ง แม้ว่านางจะรู้ว่ามันไร้ประโยชน์ แต่ จื่อหยูไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องนี้
“ พี่หลินเว่ย! เราจะทำอย่างไรดี มันตั้งใจจะทำให้พลังงานของเสี่ยวหมีหมดลงไปเรื่อยๆ
“ไม่เป็นไร! มันเป็นแค่ระยะทางสั้นๆ ด้วยความแข็งแกร่งของข้า ข้าสามารถอดทนได้หลายสิบครั้ง” เสี่ยวหมีส่ายหัวและพูดเบา ๆ
ในความเป็นจริง มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ได้กล่าวไว้ นั่นคือแม้ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้ายไม่ว่าไกลหรือใกล้ก็สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม ตามที่จูกังเลี่ยคาดเดา นางจะไม่ปล่อยให้จื่อหยู และ สงผิง อยู่ที่นี่
“ดูเหมือนว่าข้าจำเป็นต้องออกกำลัง การฝึกฝนของข้าไม่ได้ออกเรี่ยวแรงมานานแล้ว ข้าอยากจะพาชายคนนี้ไปทดสอบดู”หลินเว่ยมองไปที่ จูกังเลี่ย ที่กำลังจะรีบพุ่งมาหาเขา รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา จากนั้นเขาก็พูดอย่างคาดหวัง
เสียงของหลินเว่ยนั้นเบามาก มีเพียงหูหนิว และ เสี่ยวหมี ที่อยู่รอบตัวเขาเท่านั้น ที่ได้ยิน อย่างไรก็ตามพวกนางสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับคำพูดของหลินเว่ย เนื่องจากฝึกฝนของหลินเว่ยเพิ่งทะลวงผ่านขั้นอรหันต์ แม้แต่ จื่อหยูซึ่งเป็นยอดฝีมือขั้นศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ จูกังเลี่ย พวกนางจึงตื่นตะลึง
“ พี่หลินเว่ย! อย่าหุนหันพลันแล่น เสี่ยวหมีจับมือ หลินเว่ยแน่น และพูดอย่างกระตือรือร้น
“พี่หลินเว่ย! เจ้าหนีไปก่อนเถอะ! เป้าหมายของคนชั่วนี้คือพวกเรา มันจะไม่ไล่ตามเจ้าไป” หูหนิวลังเลใจและรีบบอก หลินเว่ย
“ ไม่ต้องห่วง พี่ชายจะไม่ไป ข้าจะพาพวกเจ้าไปเอง หลินเว่ยส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม
“แต่…” หูหนิวพยายามเกลี้ยกล่อม แต่นางถูกขัดขวางด้วยการโบกมือของหลินเว่ย จากนั้นหลินเว่ยก็ผละมือออกจากมือของเสี่ยวหมี จากนั้นราวกับสายฟ้าฟาด หลินเว่ยยกมือขึ้นและโบกลงไปที่จูกังเลี่ย ที่กำลังพุ่งเข้ามาหาเขา
“ หัตถ์สายฟ้า ”
“กึก ๆ ตูม ในเวลาเดียวกับที่หลินเว่ยโบกมือฝ่ามือ ก็พลันเกิดสายฟ้าขึ้น ในท้องฟ้าที่ปลอดโปร่ง หลังจากที่หลินเว่ยจู่โบกมือลง ฝ่ามือของเขาที่ประสานกับสายไฟนับไม่ถ้วน ก็ถูกประทับลงคอของจูกังเลี่ยทันที
“ตูม เสียงคำรามดังขึ้น จากนั้นหลินเว่ยก็หันศีรษะ และปลิวถอยหลัง หลังจากปลิวไปได้มากกว่าสิบเมตร หลินเว่ยก็ทรงตัวขึ้น อย่างไรก็ตามฝ่ามือของเขาสั่นเล็กน้อย
“เด็กน้อยหลินเว่ย! สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในนรกนั้น แข็งแกร่งมาก ในการป้องกันร่างกายของพวกนั้น ดีกว่ามนุษย์และสิ่งมีชีวิตตนอื่น ๆ ” จินหยูยืนอยู่บนไหล่ของหลินเว่ย อ้าปากเพื่อเตือนหลินเว่ย
“บัดซบ! เป็นไปได้อย่างไร เจ้าเป็นใคร มีสายฟ้าลึกลับได้อย่างไร” เส้นขนของจูกังเลี่ยลุกชันทั่วร่างกาย ทั้งร่างสั่นเทา ตัวแข็งทื่อ และการเคลื่อนไหวของเขาก็ช้าลงมาก
ไม่ใช่แค่ จูกังเลี่ยเท่านั้น แต่จื่อหยูนั้นยิ่งแย่กว่านั้น เพราะนางแขวนอยู่บนร่างกายของจูกังเลี่ย จึงถูกผลกระทบของสายฟ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลังจากนั้นจูกังเลี่ย ร่างกายพลันกลายเป็นอัมพาต และนอนลงอย่างไร้เรี่ยวแรง