ราชาซากศพ - บทที่ 361 การประลอง (9)
บทที่ 361
การประลอง (9)
“หืม?” หลินเว่ยพยักหน้า แม้ว่าเขาจะคิดว่าการแสดงออกบนใบหน้าของซูว่านนั้นแปลกไปนิดหน่อย แต่เขาก็ไม่ได้สนใจม มากเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ ฮึก … !” ซูว่านอดไม่ได้ที่จะรู้สึกโล่งใจที่เห็นว่าหลินเว่ยไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางประดักประเดิดของนาง
หลังจากได้จำนวนสิบอันดับแรกแล้ว ผู้แข่งขันจะได้พักผ่อนเป็นจำนวนหนึ่งชั่วโมง เพื่อฟื้นฟูพลังที่ถูกใช้ไปก่อนหน น้านี้
ในช่วงเวลาสั้น ๆ หนึ่งชั่วโมงก็หมดลงในพริบตา คนแรกที่ยุติการต่อสู้ได้ และมีพลังเหนือกว่าอีกฝ่าย ก็จะยิ่ง มีเวลาฟื้นตัวมากขึ้นเท่านั้น
แม้ว่าการใช้พลังปราณหรือพลังวิญญาณ จะสามารถเร่งการฟื้นฟูได้ด้วยหินหยวนหรือยาเม็ด แต่พลังกายและพลังงานในร่า าง ทำได้เพียงพักผ่อน และไม่อาจฟื้นฟูได้สมบูรณ์ในช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมง
“ ตึก! ปัง! ปัง เสียงกลองดังรัวขึ้นอีกครั้งและมีคนสิบคน รวมทั้งหลินเว่ยเดินออกจากพื้นที่พักผ่อนทีละคน จากนั นก็หยุดอยู่บนสนามประลองกลาง ใบหน้าของพวกเขาสงบ และมองไปในทิศทางของผู้พิพากษา
พื้นที่ของสนามประลองนี้ มีขนาดใหญ่กว่าสนามประลองธรรมดา โดยรอบถึงสิบเท่า ไม่ว่าวัสดุที่อยู่บนพื้นหรือค่ายกล ป้องกันที่ปรากฏบนนั้น มันทรงพลังมากๆ สนามประลองที่พวกเขาเคยใช้
ยิ่งไปกว่านั้นสนามประลองแห่งนี้ ยังไม่เคยถูกผู้ใดใช้มาก่อน มันมีไว้สำหรับการแข่งขันรอบคัดเลือกในรอบสุดท้าย
“ต่อไป! จะมีรอบสุดท้ายของการแข่งขัน เพื่อคัดเลือกผู้มีความสามารถที่ดีที่สุด ไม่เพียงแต่จะได้รับรางวัลจากการแข่ง งขันศิลปะการต่อสู้อู่เจ๋อเท่านั้น แต่ยังสามารถเลือกคัมภีร์ลับ ศิลปะการต่อสู้ระดับศักดิ์สิทธิ์ ในคลังของ ราชวง งศ์กังหลันได้อีกด้วย “หลงฉีลอยตัวและประกาศด้วยรอยยิ้ม
“โอ้ๆ” หลังจากได้ยินคำพูดของหลงฉี ทุกคนในสนามประลองต้าอู่ ต่างตกตะลึง และขอบตาของพวกเขาก็ร้อนผ่าว แม้ว่าคน นส่วนใหญ่ไม่เคยเห็นทักษะเทียนจี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเขาจะไม่ต้องคัมภีร์ที่ช่วยให้ตนเองแข็งแกร่งขึ้น
หลินเว่ยยังรู้สึกว่า หลายคนรอบตัวเขา เริ่มหายใจเร็วมากเมื่อ หลงฉีบอกความลับเกี่ยวกับทักษะศักดิ์สิทธิ์ มีเพี ยงไม่กี่คน ในสนามประลองต้าอู่ และ หลินเว่ย ที่ไม่ได้แปลกใจกับคำพูดของหลงฉี
เนื่องจากในความทรงจำของหลินเว่ย ในโลกนี้ มีทักษะมากมายหลายพันทักษะ ซึ่งผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด สามารถฝึกฝนได้ เพียงทักษะระดับ 5 เท่านั้น
ในความเป็นจริง ทักษะนี้ด้อยกว่าอาวุธวิเศษไปสองส่วนในความคิดของหลินเว่ย ใบหน้าหลินเว่ยสงบราบเรียบ เพราะเขาไ ไม่สนใจ แต่ในสายตาของหลงฉี
กลับมองเห็นว่า อารมณ์ของหลินเว่ยสามารถควบคุมได้ดี แต่ในความเป็นจริง เป็นเพราะหลินเว่ยไม่สนใจ เนื่องจากสิ่งของ งที่มอบให้ไม่ได้กระตุ้นความสนใจของหลินเว่ย
“บ้าน่า! เมื่อรู้ว่าผู้ที่คว้าอันดับหนึ่งได้ ในที่สุดต้องเป็นหลินเว่ย การทำเช่นนี้ไม่เป็นการชักนำให้บุคคล ลอื่น มุ่งมั่นในการโค่นล้มหลินเว่ยหรือ?! มันชัดเจนเกินไป ที่จะพุ่งเป้ามาที่อาณาจักรเฟิงหยูของเรา?” หลินเสวี ยเฟิงนั่งอยู่ข้างๆ หลินคังซ่ง, พลางตบต้นขาของเขาโดยตรง และพูดอย่างขุ่นเคือง
“เป็นอย่างไรล่ะ ข้าพูดแล้วว่า มันต้องมีแผนการที่พุ่งเป้ามายังอาณาจักรเฟิงหยูของเรา แต่เราไม่สามารถทำอะไร กับพวกเขาได้เว้นแต่ … ” หลินคังซ่งยักไหล่ และพูดอย่างช่วยไม่ได้
หลินคังซ่ง ยังพูดไม่จบ แต่คนรอบข้างเดาได้ว่า อีกฝ่ายต้องการจะพูดอะไร?
เว้นแต่! ยกเว้นอะไร? เว้นแต่พวกเขาตระกูลหลิน ต้องเดินออกจากที่นี่ หลังจากจบการแข่งขันและมีอำนาจมากกว่าหรือเที ยบเท่าราชวงศ์กังหลัน
“ถ้าเช่นนั้น! เริ่มจับฉลากกันเถอะ ! ด้วยการโบกมือของหลงฉี เหล่าบอลแสงปรากฏตัวต่อหน้าเขา จากนั้นพวกเขาก็ลอยไป ปยังเหนือศีรษะของหลินเว่ยและคนอื่น ๆ ทีละคน เช่นเดียวกับสองครั้งก่อนหน้านี้
พวกมันหมุนอย่างช้า ๆ สามารถมองทะลุเข้าไปด้านในได้อย่างง่ายดาย คนอื่น ๆ ล้วนเอื้อมมือไปคว้าบอลแสง รวมทั้งหลิน เว่ย เขามองไปที่มัน และเห็นคำสลักอยู่ในนั้นอย่างชัดเจน
“อืม..ข้าโชคดีจริงๆ?” ใบหน้าของหลินเว่ยตะลึงเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็หัวเราะออกมา ไม่สำคัญว่าเขาจะได้เริ่มลงสน นามประลองเมื่อใด
“เอาล่ะ! ในตอนท้ายของการจับฉลาก มีชายสองคนมีหมายเลขสลักที่ใกล้เคียงกัน รอเวลาที่จะเดินเข้าสนามประลองตามลำดั บ หลังจากที่หลงฉีพูดจบ ไม่นานนัก เขาก็เหินออกไปจากสนามประลอง แต่ไม่ได้กลับไปยังที่ที่นั่งตัดสิน ได้แต่วน นเวียนอยู่ที่บริเวณขอบสนามประลอง
“ดูสิ! นั่นซ่งลุ่ยแห่งอาณาจักรมืดโบราณไม่ใช่หรือ ? เขาเป็นคนแรกที่ได้ลงสนาม ข้าได้ยินมาว่า เขาได้ทะลวงไปถึ งมหาจักรพรรดิระดับสี่ และเป็นหนึ่งในเมล็ดพันธุ์ ที่มีแนวโน้มที่จะคว้าชัย มากที่สุดในการแข่งขันสามอันดับแรกไม่ รู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาคือใครกัน?
“ให้ตายเถอะ! เจ้าไม่เห็นหรือว่า มันน่าจะเป็นหลินเว่ย เขาไปยังสนามประลองการต่อสู้แล้ว พวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ของก กันและกันสินะ?”
“นั่นไง เขาได้พบกับหลินเว่ยเช่นนี้ ใครยังรับประกันว่าเขาจะได้จะอยู่ในสามอันดับแรกอีก”
“ฮึ่ม! ซ่งลุ่ยสมควรได้รับมัน ปล่อยให้เขาหยิ่งผยองมามากแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาควรถูกลงโทษ! อย่ามาดูถูกลิขิต สวรรค์”
“ ……” เมื่อเห็นชายสองคนที่กำลังเดินอยู่บนสนามประลอง แต่เสียงของผู้คนกลับไม่ได้สนใจการแข่งขัน กลับพูดคุยกั นอย่างออกรสออกชาติเกี่ยวกับหลินเว่ยและซ่งลุ่ยแทน บางคนรู้สึกเสียใจกับซ่งลุ่ย ในขณะที่คนอื่น ๆก็เฝ้ารอคอยการ รแข่งขัน
“สารเลว … ” เมื่อมองไปที่หลินเว่ย ที่ยืนอยู่ตรงข้ามกับเขา ซึ่งมีใบหน้าเฉยเมย ซ่งลุ่ยขมวดคิ้วแน่น หยดเหงื่อ ปรากฏบนหน้าผากของเขา แล้วค่อยๆไหลลง หลินเว่ยยืนอยู่ที่นั่นเฉยๆ ราวกับสร้างแรงกดดันอย่างมากให้กับเขา
เขาอดไม่ได้ที่จะก่นด่าในใจ แม้ว่าเขาจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของ หลินเว่ยแต่ ซ่งลุ่ยก็ไม่ เต็มใจอย่างยิ่งในใจของเขา ดังนั้นเขาไม่ต้องการยอมรับความพ่ายแพ้ แต่เลือกที่จะต่อสู้
“ตูม หลินเว่ยไม่ได้บอกกล่าว หรือทักทาย บนสนามประลอง ทั้งสองคุ้นเคยกันดีและไม่จำเป็นที่จะต้องมามีมารยาทต่อกัน น ดังนั้นทั่วร่างของหลินเว่ยจึงปกคลุมไปด้วยอาวุธอย่างรวดเร็ว
และจากนั้นพลังปราณรุนแรงก็กดขี่ลงไปที่ร่างของซ่งลุ่ยโดยตรง
“กึก!” ซ่งลุ่ยรู้สึกเพียงว่า มีภูเขาลูกใหญ่ทับอยู่บนร่างกายของเขา ทำให้ชุดเกราะพลังปราณมีรอยแตกร้าว เป็นแน นวยาว ราวกับจะสลายไปได้ทุกเมื่อ
“ผายลม! เจ้าจะใช้พลังปราณของเจ้าเพียงอย่างเดียวเพื่อเอาชนะข้า ดูถูกข้ามากเกินไปแล้ว” ซ่งลุ่ยคำรามและพลังปราณ ในร่างกายของเขาก็แล่นไปทั่วร่างกาย แม้ว่าเขาจะไม่สามารถหักล้างพลังปราณแห่งการกดขี่ของหลินเว่ยแต่ก็พอที่จะ ะทำให้เขาเริ่มเคลื่อนไหวได้บ้าง
“ฆ่า!”
“ พรึ่บ!”ซ่งลุ่ยอ้าปากและส่งเสียงคำราม เขาเหยียบพื้นด้วยเท้าขวา พลังลมปราณที่รุนแรงแผ่ออกมาจากเท้าของเขา ท ทั้งร่างพุ่งเข้าหาหลินเว่ยด้วยความเร็วมาก
ก่อนที่เขาจะทันได้สัมผัสตัว คลื่นพลังที่รุนแรงได้เฉือนเอา เส้นผมที่อยู่ข้างๆ หูของหลินเว่ย
อาวุธที่ซ่งลุ่ยใช้คือ ขวานสองคมด้ามยาว เขารีบวิ่งไปที่ร่างของหลินเว่ย คว้าขวานไว้ในมือ และบิดอย่างแรง พลางเอียงตัวไปด้านข้าง อย่างไรก็ตามขวานในมือของเขา โบกมือราวกับกังหันลม ไปยังด้านบนของศีรษะของหลินเว่ย และ ะตัดมันลงทันที การโจมตีของซ่งลุ่ยนั้นรุนแรงมาก ซึ่งทำให้ผู้คนรู้สึกถึงภาพลวงตา ราวกับว่าขวานนี้สามารถผ่าภูเ เขาออกเป็นเสี่ยงๆ
แต่ความจริง หลินเว่ยเพียงรู้สึกเสียวซ่าน บนใบหน้าของเขา โดยธรรมชาติแล้ว หลินเว่ยจะไม่โง่พอที่จะปล่อยให้อาวุธ สัมผัสร่างของเขาได้ แม้ว่าเขาจะมีความมั่นใจมาก แต่เขาก็ไม่ยินยอมให้มาทุบตีเขาฝ่ายเดียวและยืนนิ่งคอยตั้งร รับ
ขณะที่เท้าของเขาเหยียบพื้น หลินเว่ยหลีกเลี่ยงการโจมตีของซ่งลุ่ยแล้ว อย่างไรก็ตามแม้ว่าขวานของซ่งลุ่ยจะล้มเหล ลว แต่มันก็ไม่ได้ตกลงบนพื้น ในขณะที่มันกำลังจะแตะพื้น จู่ ๆ มันก็เปลี่ยนเส้นทางตวัดขึ้น และคมขวานก็กวาดไป ปตามแนวทแยง
มุ่งไปที่หน้าอกของหลินเว่ย
เมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ หลินเว่ยจึงล้มตัวนอนหงาย และใช้ทักษะผีเสื้อโฉบดอกไม้ เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่น นต่อร่างกาย ในขณะที่เขากำลังจะล้มลง เขาก็จิกปลายเท้าของเขา จากนั้นหมุนตัวเป็นวงกลมแล้ว ลุกขึ้นยืนอีกครั้ง
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้ขยับสักก้าว
“ ข้าจะดูว่าเจ้าจะซ่อนตัวไปถึงเมื่อใด? ด้วยเหตุนี้ซ่งลุ่ย จึงมีเพิ่มการโจมตีขั้นพื้นฐาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงการโจมตีที่ไม่หยุดหย่อนของซ่งลุ่ย หลินเว่ยสามารถหลีกเลี่ยงได้ทุกครั้ง ตั้งแต่ต้นจนจบ ซ่งลุ่ยยังไม่สามารถแตะที่ชายเสื้อของเขาเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าทักษะผีเสื้อโฉบดอกไม้ จะเป็นเพียงทักษะขั้นกลางของเทียนจี้ แต่พลังของมันก็ยิ่งทรงพลัง หากผู้ใช้นั้นม มีความแข็งแกร่งมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งหลินเว่ยได้ทะลวงไปถึงขั้นอรหันต์แล้ว ในแง่ของลมปราณภายใน และความแข็งแกร่งทา างจิตใจรวมทั้งความแข็งแกร่งทางกายภาพล้วนสูงสุด
ในสายตาของเขา การโจมตีของซ่งลุ่ยช้าลงมาก แม้ว่าหลินเว่ยไม่จำเป็นต้องแสดงทักษะความสามารถใด แต่ก็สามารถหลีกเ เลี่ยงได้อย่างง่ายดาย ในขณะนี้พลังของทักษะผีเสื้อโฉบดอกไม้ได้เพิ่มขึ้นกว่าสองเท่า
ดูเหมือนว่า หลินเว่ยไม่ได้มีความกดดันใดๆ ในการรับมือกับการโจมตีของซ่งลุ่ย
นี่คือข้อได้เปรียบที่เกิดจากการฝึกฝนในระดับที่สูงกว่า ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะข้ามระดับไปท้าทายผู้ที่ มีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า ด้วยความแข็งแกร่งของซ่งลุ่ย เขาอาจสามารถท้าทายกับนักรบธรรมดาเหล่านั้น แต่ไม่สามาร รถนำมาใช้กับหลินเว่ยได้
“สารเลว เจ้าจะหลบไปถึงเมื่อใด?” ซ่งลุ่ยขมวดคิ้วและแววตาของเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล โดยธรรมชาติแล้ว เขารู้สึกว่ าการโจมตีของเขา ดูเหมือนจะทำให้หลินเว่ยถอยร่น
แต่ในความเป็นจริง เขายังไม่สามารถแตะเสื้อผ้าของหลินเว่ยด้วยซ้ำ เพื่อรักษาการโจมตีที่มีความรุนแรงสูงเช่นนี้ เขา าต้องใช้พลังปราณและความแข็งแกร่งทางกายภาพเป็นจำนวนมาก