ราชาซากศพ - บทที่ 367 ประณาม - บทที่ 368 กลับมา?
บทที่ 367
ประณาม
“สารเลว! จะทำอย่างไรดี … ” หลงซีเฉินมองไปยัง ชายสองคนที่ยืนขวางทางตรงหน้านาง ด้วยความโกรธเต็ม และใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความวิตกกังวล
ไม่เพียงแต่นางและ หลินคังซ่ง ที่ถูกขัดขวาง แต่ยังรวมถึงคนในอาณาจักรเฟิงหยู ในกลุ่มผู้ชมที่ถูกศัตรูของตัวเอง รอบล้อม
“หลงฉี! เจ้าปล่อยให้พวกเขาทำเช่นนี้จริงๆ หรือ ? หลงซีเฉินหันหน้าไปมองหลงฉีแล้วเอ่ยถามอย่างขุ่นเคือง
“นี่ … ” เมื่อได้ยินคำถามของหลงซีเฉิน หลงฉีก็หันหน้ามาพลางแสร้งทำท่าหลับตาลง ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าขออภัยและกล่าวว่า: “ขออภัย!”
หลังจากพูดเช่นนั้น หลงฉีก็ถอยกลับไป แสดงท่าทางและความหมายชัดเจนมาก เขาไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้
“เดรัจฉานน้อย! ปล่อยพวกเขาไปเร็ว ๆ และยินยอมรับโทษซะ” ทันทีที่เสียงของกัวห้วยลดลง เขาก็ตรงเข้าประมือกับหลินเว่ยโดยตรง ยื่นฝ่ามือประทับสีฟ้าอ่อน
ซึ่งประกอบไปด้วยพลังปราณอัดแน่น เบื้องหน้าปรากฏฝ่ามือหนาใหญ่จนบดบังดวงอาทิตย์ และกำลังจะตกลงบนศีรษะของ หลินเว่ย
“ตาเฒ่า! แสร้งทำเป็นพูดดี…..แต่กลับฉวยโอกาสที่จะกำจัดข้า หลินเว่ยมองไปที่ฝ่ามือขนาดใหญ่ที่กำลังจะร่วงหล่นมายังศีรษะของเขา จากนั้นเขาเงยหน้าขึ้นมองกัวห้วยที่อยู่บนอา ากาศ
เขาพูดใน เสียงที่เยือกเย็นแม้ว่าเสียงนั้นจะเบา แต่ก็กระจายไปทั่วสนามประลองต้าอู่
ซึ่งทุกๆคน ล้วนรับรู้กันอย่างทั่วถึง เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ทุกคนหยุดชะงัก และเพ่งมองไปที่ตำแหน่งของหลินเว่ยทีละคน
“สารเลว! เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้ หลินคังซ่งคำรามและรีบวิ่งไปที่สนามประลอง
หลงซีเฉินเองก็รีบติดตาม คราวนี้ไม่มีใครขวางพวกเขาได้ เพราะเนื่องจาก มองเห็นแล้วว่า ฝ่ามือยักษ์ของกัวห้วยกำลังเคลื่อนเข้าหาหลินเว่ย และจุดจบของหลินเว่ยคือความตายโดยไ ไม่ต้องสงสัย
สำหรับชายผู้แข็งแกร่งที่อยู่ด้านข้างของอาณาจักรมืดโบราณ พวกเขาถอยกลับอย่างชาญฉลาด ในขณะนี้เป้าหมายของกัวห้วย บรรลุผลสำเร็จแล้ว ด้วยความแข็งแกร่งขั้นอรหันต์ระดับแปดของ กัวห้วย
พวกเขาคาดคะแนนในใจแล้วว่า หลินเว่ยไม่สามารถหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดาย และไร้ปัญญาขัดขืน
ยิ่งไปกว่านั้นการโจมตีของกัวห้วยนั้น สายเกินไปที่ หลงซีเฉินจะรีบเข้าไปช่วยเหลือหลินเว่ยให้รอดพ้นภัยพิบัติในครั้งนี้ ดังนั้นยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความแข็งแกร่งของนางเพียงคน นเดียว ไม่สามารถขวางการโจมตีของกัวห้วยไปได้
ฝ่ามือขนาดใหญ่ของกัวห้วย ครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของสนามประลอง และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลบหนี อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของหลินเว่ยและจินหยู ย่อมสามารถขัดจขวางการโจมต ตีได้
อย่างไรก็ตาม หลินเว่ยไม่ได้ทำเช่นนั้น เขากลับโยนคนทั้งสองที่เขาถืออยู่ในมือ ราวกับว่าพวกเขาเป็นขยะลงไปที่พื้น จากนั้นเขาก็หยิบโล่ออกมา และชูขึ้นเบื้องหน้าของเขา
“ ตูม … !” หลินเว่ยที่เพิ่งเตรียมตัวเสร็จ ทันใดนั้นฝ่ามือยักษ์ก็ตกลงมายังร่างของเขา เสียงคำรามขนาดใหญ่ราวกับคลื่นกระจายไปทั่วเต็มไปด้วยควันและฝุ่นกระจัดกระจายตัวไปทั่ว ทุกหนทุกแห่ง
แม้แต่สนามประลองที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ก็ไม่สามารถทนต่อพลังการโจมตีของอรหันต์ระดับแปด เช่นกัวห้วยได้
เมื่อฝ่ามือยักษ์สลายหายไป ปรากฏร่างของคนทั้งสามคน ซึ่งแต่ละคนรวมทั้ง หลินคังซ่งก็เดินทางมาถึงยังบริเวณที่หลินเว่ยอยู่ทีละคน พวกเขาไม่ได้ตรงไปที่กัวห้วย แต่กลับจ้องมอง งไปที่หลินเว่ย ภายใต้ฝุ่นที่เริ่มกระจายตัวทีละน้อย
นักรบหลายสิบคนที่อยู่เหนือขั้นจักรพรรดิ และอีกหลายคน เบิกตามองไปที่สถานการณ์เบื้องหน้า อย่างไรก็ตามสถานการณ์บนสนามประลอง เริ่มคลี่คลายและ เผยให้เห็นอย่างชัดเจนต่อสายตา าของทุกคน
“เป็นไปได้อย่างไร…มันเป็นไปไม่ได้…ข้าจะถูกเด็กอมมือที่เพิ่งทะลวงเข้าสู่ขั้นอรหันต์มาขวางข้าได้อย่างไร?” กัวห้วยมองลงไปที่สนามประลองเบื้องล่าง โดยไม่รู้ตัว แต่ในวินาที ต่อมา ดวงตาของเขาแทบจะถลนออกมา ราวกับเห็นผี
การแสดงออกส่ายหัวครั้งแล้วครั้งเล่า เสียงแหบแห้งหมดแรง ราวกับสะเทือนใจ
สาเหตุที่กัวห้วยเป็นเช่นนั้น เป็นเพราะว่ามีรอยประทับฝ่ามือขนาดใหญ่ ยังคงตระหง่านอยู่บนสนามประลอง ด้วยร่องรอยความเสียหายลึกมากกว่าหนึ่งเมตร แต่ในประทับฝ่ามือ กลับมีคนคน หนึ่งยืนนิ่งราวกับรูปปั้น อย่างปลอดภัย
โล่ในมือของหลินเว่ยนั้นได้หายไป แต่ภายนอกร่างกายของหลินเว่ยกลับมี เกราะโปร่งแสงคอยปกป้องเขาอยู่ มือของหลินเว่ยไพล่อยู่ข้างหลัง ใบหน้าของเขาแสดงออกอย่างสงบนิ่ง ร่าง งกายสะอาดเอี่ยม ไม่มีร่องรอยของสิ่งสกปรก
“หืม ทำเอาข้าผิดหวังเหลือเกิน ความแข็งแกร่งของสุนัขแก่ตัวหนึ่ง มันช่างอ่อนแอเกินไป และเจ้าก็ไร้ยางอายมาก เจ้าเป็นผู้เดียวที่เกรงว่า ความแข็งแกร่งในอนาคตของข้าจะเหนือกว่า ความสามารถเช่นสุนัขของเจ้า นี่คงเป็นเหตุผลที่เจ้าริษยาข้า
และต้องการสังหารข้าสินะ”
ทันทีที่เสียงของกัวห้วยลดลง เสียงผรุสวาทของหลินเว่ยก็ดังขึ้นมาตามลำดับ กัวห้วยยังไม่ได้สติจากภาพที่เห็นตรงหน้า ใบหน้าของเขาตกอยู่ในภวังค์
“ศิษย์ข้า! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? บาดเจ็บหรือไม่?” ซางกวนฮ่าวหยางยืนอยู่ตรงหน้าหลินเว่ย และถามอย่างกังวลใจ
“ลองตรวจสอบดูสิ! เจ้ารู้สึกเจ็บปวดที่ใดหรือไม่?” หลงซีเฉินมองไปที่หลินเว่ยอย่างประหม่า และถามด้วยน้ำเสียงที่เป็นห่วง
ไม่เพียง แต่ ซางกวนฮ่าวหยางและภรรยาของเขา คนอื่น ๆ จาก สถานศึกษาเทียนหยู แต่ยังมี หลินคังซ่ง แห่งอาณาจักรเฟิงหยู พวกเขามีท่าทางวิตกกังวลอย่างมาก เกี่ยวกับความปลอดภัยของ ง หลินเว่ย
“อาจารย์ ท่านสบายใจได้…ข้าสบายดี” หลินเว่ยส่ายหัวและพูดด้วยรอยยิ้ม แต่ในหัวใจของเขาอบอุ่นมาก
ขณะที่หลินเว่ยถูกล้อมรอบไปด้วยฝูงชน ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนบนสนามประลอง เขาเห็นชายวัยกลางคนยืนอยู่หน้า เศษกองเนื้อและแอ่งเนื้อ และร่ำไห้ปานใจจะขาดและตะโก กนขึ้นว่า: “หลี่เอ๋อ! หลี่เอ๋อของข้า!
หลังจากพูดเช่นนั้น ชายคนนั้นก็คุกเข่าลงที่เท้าของหลงฉี ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก และความขุ่นเคืองและร้องออกมา: ” หลงฉี! ท่านต้องให้ความยุติธรรมกับข้า! ต้องล ล้างแค้นให้หลงหลี่!”
“ ไม่ต้องกังวล! ข้าจะให้ความยุติธรรมสำหรับบุตรชายของเจ้าอย่างแน่นอน” หลงฉีตบไหล่อีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจังมาก
หลังจากนั้นปรมาจารย์ขั้นอรหันต์ แห่งอาณาจักรกังหลันได้รายล้อมร่างของกัวห้วย และอาณาจักรแห่งความมืดโบราณ ต่างขเมาช่วยเป็นกำลังเสริมให้แก่เขา
จากนั้นผู้คนที่อาณาจักรแห่งแสง ก็เข้าร่วมวงเช่นเดียวกับ หลินคังซ่งและ หลงซีเฉิน ก็เข้าร่วมในการทวงคืนความยุติธรรม ในทันใดบรรยากาศก็ตึงเครียดและใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วย ยความโกรธ
นอกจากหลินเว่ยแล้ว ทั้งสองคนบนสนามประลอง ทั้งหลงหลี่และไท่ซาน ในตอนนี้กลายเป็นกองโคลนเนื้อจำนวนสองกอง พวกเขาไม่มีทางรอดชีวิต
“ กัวห้วย! ถึงเวลาให้คำอธิบายที่สมเหตุสมผลแล้วหรือไม่?” ชายชราที่อยู่ด้านข้างของอาณาจักรกังหลันกล่าวขึ้น
“อธิบายหรือ….คำอธิบายอันใด มันเป็นแค่อุบัติเหตุ หากจะตำหนิ ก็ควรตำหนิหลินเว่ยเถอะ เห็นได้ชัดว่าหลินเว่ยสามารถปกป้อง หลงหลี่และ ไท่ซาน ได้ แต่เขากลับไม่ได้ช่วยเหลื อ” เมื่อได้ยินอีกฝ่าย ทวงความผิดชอบ
กัวห้วยก็แสดงท่าทางแบมือ และทำหน้าราวกับเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ในทางตรงกันข้ามเขากล่าวโทษ หลินเว่ย และโยนความผิดให้หลินเว่ย
“ ไอ้ลูกหมา! ทำไมเจ้าไม่ช่วยพวกเขา” ชายชราจากอาณาจักรแห่งแสง ร้องตะโกนด่าหลินเว่ย หลังจากได้ยินคำพูดของกัวห้วย
“ฮึ่ม! ผู้อาวุโสหลี่! มันไม่ง่ายเลยที่จะปกป้องตัวเอง ด้วยความแข็งแกร่งของหลินเว่ย ยิ่งไปกว่านั้น เป็นกัวห้วยที่กระทำการอุกอาจ กล่าวได้ว่า หากเขาไม่ทำอะไรโง่ออกไป จะเกิด ดความสูญเสียงั้นหรือ?
หากเจ้าต้องการที่จะตำหนิจริง ๆ กัวห้วยเป็นผู้กระทำความผิด ในขณะที่พวกเจ้าทุกคนเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของเขา “หลินคังซ่งโค้งริมฝีปากของเขา และกล่าวด้วยความเยาะเย้ย คำพูดของเ เขาเต็มไปด้วยความถากถาง
“นี่มันเป็นความผิดของข้าจริง ๆ หากข้าใส่ใจเรื่องนี้สักนิด เรื่องต่าง ๆก็จะไม่ลงเอยเช่นนี้ หลงหลี่และ ไท่ซาน จะไม่ตายไปโดยเปล่าประโยชน์ มันเป็นความผิดพลาดที่ทำให้ข้านั น รังเกียจตนเองไปชั่วชีวิต” หลงฉีกล่าวว่าใบหน้าของความเสียใจ
เมื่อได้ยินคำพูดของหลงฉี ผู้คนที่อาณาจักรแห่งแสงก็ตกอยู่ในความเงียบ และใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเสียใจ
“ท่านสุภาพบุรุษ! คนตายก็ตายไปแล้ว! แต่หลินเว่ยยังมีชีวิตอยู่ เราต้องร่วมกันกำจัดเขาด้วยกัน เพื่อที่เขาจะได้ไม่ทำสิ่งชั่วร้ายในอนาคต” กัวห้วยยุยงผู้คนรอบข้าง
“ ชั่วช้า สารเลว! ในตอนนี้ มันยังวุ่นวายไปพอหรือ วันนี้ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตรอด! ด้วยวิธีนี้เท่านั้น ข้าจึงจะสามารถปลอบประโลมวิญญาณของพวกเขาทั้งสองคนได้ ชายแก่ที่อ อยู่ข้างๆ หลงฉีกล่าวด้วยความโกรธ
“สังหารให้สิ้น คนจากอาณาจักรมืด! ไปลงนรกซะ ชายชราจากอาณาจักรแห่งแสง กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว เมื่อคำพูดของเขาสิ้นลง เขาก็เป็นผู้นำ ในการชักดาบ และตรงเข้าไปยังกลุ่มผู้ค คนจากอาณาจักรมืดโบราณ
“หลี่ซาน ตาแก่เจ้าเล่ห์…กล้าทำร้ายคนของข้าต่อหน้าข้าหรือ ? ดูท่าเจ้าจะไม่ได้แก่ตายซะแล้ว” กัวห้วยเมื่อเห็นท่าทางของหลี่ซาน เขาเปล่งเสียงคำรามที่โกรธเกรี้ยว
ก่อนที่เสียงจะลดลง ร่างของกัวห้วยก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าชายชรา ที่ชื่อว่า หลี่ซาน ซึ่งขวางการโจมตีของอีกฝ่ายที่มุ่งทำร้ายศิษย์จากอาณาจักรมืดโบราณของเขา
“ปัง!” หลังจากการปะทะกันของอาวุธในมือของทั้งสองฝ่าย ต่างฝ่ายถอยกลับออกไปสองสามก้าว ทั้งสองคนมีความแข็งแกร่งในระดับเดียวกัน ดังนั้นทั้งพละกำลังเรี่ยวแรงจึงไม่แตกต่างกันมาก กนัก แต่ชายชราชื่อว่าหลี่ซาน กลับเซถอยหลังไปหลายก้าว
ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองเป็นคนแรกที่เปิดการโจมตี ในขณะที่กัวห้วยนั้นอยู่เฉยๆ และทำเพียงรับการโจมตี ด้วยวิธีนี้ แสดงให้เห็นว่ากัวห้วยมีความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าเล็กน้อย
“ท่านสุภาพบุรุษ! ชายคนนี้มีเจตนาชั่วร้าย และจงใจชักจูงพวกเรามาก่อนหน้านี้ ซึ่งทำให้กฎของการแข่งขันเปลี่ยนไป ยิ่งไปกว่านั้นเขายังฉวยโอกาสโจมตีผู้เข้าแข่งขัน ทำให้มีคนสองคนถู กสังหาร และอีกคนเกือบจะถูกฆ่า
ด้วยเจตนาอันชั่วร้ายของเขา หากวันนี้เราไม่ได้ลงโทษเขา อาณาจักรทั้งสามของเรา จะยืนอยู่บนแผ่นดินอันกว้างใหญ่นี้ได้อย่างไร ? ข้าหวังว่าทุกคนจะช่วยกันสังหารชายคนนี้” ห ลี่ซานรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของกัวห้วย
ดังนั้นเขาจึงพูดกับคนอื่น ๆ รอบตัวเขา
“ฮึ่ม! เจ้ากล้าโจมตีศิษย์ของข้า เราต้องสะสางปัญหาเหล่านี้ก่อน จากนั้นเราสามารถพูดคุยเกี่ยวกับการตัดสินโทษของเจ้า หลงฉีคร่ำครวญด้วยเสียงที่โกรธเกรี้ยว
“ตามที่ท่านกล่าว! จากนั้นคนอื่นที่เหลือมอบให้เป็นหน้าที่เรา ท่านพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อจัดการกับกัวห้วย” หลงฉีปรากฏตัวต่อหน้าผู้แข็งแกร่งแห่งอาณาจักรมืด และกล่าวด้วย น้ำเสียงทุ้ม
บทที่ 368
กลับมา?
“ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างผิดปกติ?!” หลินเว่ยมองไปที่ กัวห้วย และคนอื่น ๆ ที่รายล้อมพวกเขา เขาเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งสงบ ภายใต้สถานการณ์ที่รุนแรงเช่นนี้ คิ้วของหลินเว่ยขมวด แ และเขาขบคิดกับตัวเอง
ท้ายที่สุดแล้ว กัวห้วยและผู้แข็งแกร่งคนอื่นในอาณาจักรมืดโบราณ เป็นเพียงอรหันต์ขั้นแปด และมีนักรบสามคนที่อยู่ช่วงกลางของขั้นอรหันต์ สำหรับนักรบระดับจักรพรรดิเหล่านั้น ล ล้วนไม่ต้องพูดถึง
ในทางกลับกัน มีคนเกือบ 20 คน ในสามอาณาจักร ในหมู่พวกเขามีปรมาจารย์ขั้นอรหันต์ ระดับแปด จำนวนหกคน แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะสังหารยอดฝีมืออย่างกัวห้วย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป ป็นไปไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาได้เปรียบในเรื่องกำลังคน
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่นี้เองที่ทำให้หลินเว่ยรู้สึกแปลก ๆ เห็นได้ชัดว่ากัวห้วยน่าจะคาดเอาไว้ล่วงหน้าว่า หากเขาโจมตีสามอาณาจักรเขาจะต้องถูกคนอื่นๆ จัดการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ ได้ เนื่องจากเขาเสียเปรียบเรื่องกำลังคน
คาดว่าอีกฝ่ายน่าจะมีผู้ที่คอยเป็นกำลังอยู่เบื้องหลังที่ทรงพลัง และสามารถแก้วิกฤตนี้อย่างง่ายดาย
หากกัวห้วยไม่ได้เสียสติ และโง่ เขาคงไม่มีทางสังหารคนต่อหน้าสาธารณชน ซึ่งมันจะทำให้ผู้คนโกรธแค้น ท้ายที่สุดแล้วสำหรับผู้มีความสามารถเพียงไม่กี่คนในอาณาจักรของเขา
ก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากเกินกว่าอีกสามอาณาจักรนัก เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หลินเว่ยมองไปที่ทุกคน ที่อยู่ในอาณาจักรมืดโบราณ และในที่สุดก็จับจ้องไปที่ชายคนเดียวที่สวมเสื้อคลุมอยู
เขาสามารถรับรู้ลมปราณความแข็งแกร่งของผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ชายเพียงคนเดียวที่สวมเสื้อคลุม หลินเว่ยไม่สามารถรับรู้ถึงความแข็งแกร่งหรือแม้แต่ลมปราณของเขา ดูเ เหมือนว่า
อีกฝ่ายจะปิดบังความแข็งแกร่งโดยการใช้อุปกรณ์ช่วย เพื่อช่วยให้อำพรางสายตา และสร้างภาพลวงตาผู้คน ซึ่งยิ่งทำให้หลินเว่ยรู้สึกติดค้างอยู่ในใจมาก
ดูเหมือนว่ามีใครบางคนกำลังมองมาที่เขา ชายผู้สวมชุดคลุม หันศีรษะและมองไปยังทิศทางของหลินเว่ย หน้ากากสีดำ ปรากฏขึ้นในดวงตาของหลินเว่ย สิ่งที่หลินเว่ยสามารถมองเห็นได้ คือ ดวงตาที่ลึกล้ำ เบื้องหลังหน้ากาก
“เขาคือใคร?” หลินเว่ยมีความคิดที่อยากรู้ แต่ในใจของเขาเกิดความระมัดระวัง เขาฝึกฝนทักษะบางอย่างหรืออาจใช้สมบัติบางอย่าง เช่นเดียวกับเสื้อคลุมเฉียนซางหรือไม่ ? หาไม่แล้วควา ามแข็งแกร่งของเขาจะต้องสูงมากจนสามารถปิดความแข็งแกร่งและลมปราณได้อย่างไร้ร่องรอย
มีความเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง แต่ความกลัวในใจของหลินเว่ยคือ สิ่งสุดท้าย หากระดับการฝึกฝนของอีกฝ่ายถึงระดับเงินหรือสูงกว่านั้น ทั้งสามอาณาจักรคงจะจบสิ้นในวันนี้
“กัวห้วย! ด้วยความช่วยเหลือจากผู้แข็งแกร่งทั้งหมด ในวันนี้ข้าจะตัดหัวสุนัขของเจ้าออกมา และล้างแค้นให้กับองค์ชายของวิหารจรัสแสงของข้า” ในขณะที่หลินเว่ยกำลังขบคิด เขาก็ ได้ยินเสียง ผู้พูดคือ หลี่ซาน ผู้อาวุโสของวิหารจรัสแสง
ชายคนนี้เข้าต่อสู้กับกัวห้วยเมื่อครั้งที่แล้ว ในแง่ของการฝึกฝนเขาอ่อนแอว่ากัวห้วยเล็กน้อย แต่ก็ไม่มากนัก ในส่วนของความแข็งแกร่งในการต่อสู้ที่แท้จริงนั้น จะไม่แตกต่ างกันมากนัก
ในเวลานี้เขาได้รับความช่วยเหลือจากหลินคังซ่งและ หลงฉี เรียกได้ว่าเขามั่นใจมากพอที่จะพูดคำนี้
“ ฟู่!” ทันทีที่เสียงของหลี่ซานลดลง ร่างกายของเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยอาวุธ เขาถือหอกทองคำไว้ในมือ จากนั้นเขาก็สวมชุดเกราะสีทองที่ควบกลั่นโดยพลังปราณ
ชุดเกราะ พลังปราณบนร่างของหลี่ซาน แตกต่างจากชุดเกราะพลังปราณทั่วไป มันสว่างสดใส และมีความแวววาวลึกลับ ราวกับว่ามันถูกสร้างขึ้นเองโดยธรรมชาติ
นี่คือชุดเกราะรบพลังปราณ ที่สามารถสร้างขึ้นโดยใช้พลังปราณต้นกำเนิด การป้องกันของมันแข็งแกร่งมาก ซึ่งแข็งแกร่งกว่าผู้ที่มีความแข็งแกร่งเหนือความเขาหลายร้อยเท่า
เกราะพลังปราณของอรหันต์ช่วงปลายจะแตกร้าวได้ง่ายในการต่อสู้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเลือกสวมชุดเกราะที่แข็งแกร่ง แทนที่จะเสียพลังปราณในการสร้างมันขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้หลินเว่ยหูตาสว่างคือ อาวุธสงครามของหลี่ซานและ กัวห้วย รวมถึงเครื่องใช้ศักดิ์สิทธิ์หรืออาวุธวิเศษในมือของพวกเขา
อาวุธของชายสองคนคน ระดับต่ำสุดคือซวนฉี ระดับสูง ส่วนใหญ่เป็นซวนฉีระดับสูงภายในร่าง และอาวุธในมือของพวกเขา เปล่งลมปราณที่แข็งแกร่งกว่าซวนฉีระดับสูงหลายเท่า
เห็นได้ชัดว่าอาวุธที่แข็งแกร่งกว่าซวนฉีระดับสูง คือ อาวุธวิเศษ
นอกจาก หลี่ซานและ กัวห้วยแล้ว นักรบอรหันต์ระดับแปดต่างก็ถืออาวุธอยู่ในมือ เตรียมพร้อมที่จะเข้าห้ำหั่น หลงซีเฉินถือดาบยาว เป็นอาวุธวิเศษไว้ในมือของนาง
นอกจากนี้นักรบขั้นอรหันต์ที่เหลือ และระดับมหาจักรพรรดิ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ที่มีซวนฉีระดับสูง อย่างมากที่สุดก็เป็นบางชิ้นมีระดับกลาง
เมื่อเห็นอาวุธเหล่านี้ ความคิดแรกของหลินเว่ยคือ ทำให้พวกเขาหมดสติ จากนั้นจึงคว้าอาวุธและอาวุธวิเศษทั้งหมดเก็บไปอย่างเงียบๆ แต่ไม่นาน หลินเว่ยก็ล้มเลิกความคิดบ้าๆบอนี้ เสีย
ถึงอย่างนั้นหัวใจของเขาก็ยังคงร้อนรุ่มด้วยความปรารถนา ดวงตาที่เต็มไปด้วยความโลภนั้นยากที่จะปกปิด สายตาของเขาจับจ้องไปที่ กัวห้วย และชายที่แข็งแกร่งรอบ ๆ อีกด้านหนึ่ง และอาวุธในมือของอีกฝ่าย
อาวุธวิเศษของคนอื่นไม่สามารถปล้นได้ แต่ในฐานะศัตรู หลินเว่ยสามารถฉกฉวยพวกมันได้ ชายผู้แข็งแกร่งข้างกัวห้วย ถืออาวุธที่ดูไม่ค่อยเท่าทีเท่าใดนัก แต่ดาบยาวในมือของ งกัวห้วยนั้น เหมาะสมกับเขามาก!
หลินเว่ยกำลังพิจารณาอยู่ว่า จะตะโกนเรียกจื่อหยูดีหรือไม่? เพื่อที่เขาจะได้ไม่ต้องเปลืองแรงมากนัก
“ หวือ!” เมื่อบรรยากาศเริ่มกดดัน จนพลันระเบิดความดุเดือด หลี่ซานเป็นผู้นำในการโจมตีกัวห้วยด้วยหอกของเขา
“เจ้าเด็กน้อย ระวังตัว ข้าไม่มีเวลามาปกป้องเจ้า ไปอยู่กับอาจารย์ของเจ้า อย่าวิ่งไปวิ่งมา ” เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลงซีเฉินรีบบอกหลินเว่ยสองสามคำ จากนั้นนางก็พุ่งเข้าไปสังหารก กัวห้วย
หลังจากนั้นไม่นาน สนามรบย่อม ก็แบ่งออกเป็นสามส่วน หลี่ซาน, หลงซีเฉิน และ หลินคังซ่ง ได้สร้างสนามรบขึ้นมากับชายผู้แข็งแกร่งแห่งอาณาจักรมืดโบราณ
ทางด้าน หลงฉีและอรหันต์ระดับแปดแห่งอาณาจักร กังหลันอีกคน ได้ก่อตั้งสนามรบขึ้นอีกแห่ง ส่วนที่เหลือ เป็นนักรบที่ยังคงล้อมรอบอาณาจักรมืดโบราณ แต่ยังไม่เริ่มการต่อสู้
โดยธรรมชาติแล้วสามอาณาจักร กำลังรอให้อีกสองสนามรบ สามารถเอาชนะได้อย่างชัดเจน จากนั้นค่อยรวมตัวบดขยี้พวกเขา ด้วยความแข็งแกร่งที่แท้จริง ในทางกลับกันอาณาจักรความมืดโบราณ ดู เหมือนกำลังจะรออะไรบางอย่าง แต่หลินเว่ยนั้นไม่รู้ว่า พวกเขารออะไร
เมื่อเทียบกับผู้คนในสี่อาณาจักรที่นั่งชมการต่อสู้ ในขณะนี้สนามประลองทั้งหมดเงียบลง แต่ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ตื่นเต้น การต่อสู้ระหว่างอรหันต์ โดยเฉพาะระดับแปด นั้น หาได้ยากมาก และส่วนใหญ่แทบไม่เคยมีใครได้เห็น
“ตูม การต่อสู้เริ่มขึ้นด้วยเสียงอันดัง หลี่ซานฟาดหอกของเขา และเผชิญหน้ากับหน้าแข้งที่แข็งราวกับเหล็กของกัวห้วย เขาโจมตีจุดสำคัญของกัวห้วยอย่างต่อเนื่อง การเคลื่อนไห หวของเขาเปิดกว้าง ดูเหมือนว่าเขากำลังโจมตีและรอโอกาสเหมาะเจาะ
อย่างไรก็ตาม หลงซีเฉิน และ หลินคังซ่ง ทั้งสองฝ่ายเพื่อสนับสนุนซึ่งกันและกัน และคว้าโอกาสดีในการโจมตี แม้ว่าจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนร่วมมือกัน แต่ก็เป็นไปได้อย่างราบรื่น เมื่อเทียบกับ หลงหลี่ และไท่ซาน
ไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบได้ด้วยซ้ำ
สิ่งนี้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก เนื่องจากประสบการณ์การต่อสู้ เมื่อเทียบกับ หลงหลี่และ ไท่ซาน และ หลงซีเฉินพวกเขาได้รับการฝึกฝน มาจนถึงขั้นอรหันต์ระดับเจ็ดและแปด
ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าใด และพวกเขาต้องเผชิญกับการต่อสู้มากี่ครั้ง ทุกคนล้วนมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย
ด้วยเหตุนี้การต่อสู้จึงเพิ่งเริ่มขึ้น และกัวห้วยก็เริ่มหมดแรง ทำได้เพียงแค่ตั้งรับเท่านั้น
“ ในเวลานี้ หากเจ้ามีไพ่ตายก็รีบนำออกมาซะ กัวห้วย หรือไม่ก็ถูกสังหารอย่างเงียบๆ เถอะ” เมื่อเห็นกัวห้วยที่ถูกไล่ต้อน หลินเว่ยก็ขมวดคิ้วและขบคิดกับตัวเอง
ในขณะที่ดูการต่อสู้ หลินเว่ยมักให้ความสำคัญกับชายสวมชุดคลุม อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นจนจบ อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีใด ๆ ซึ่งทำให้ หลินเว่ยลังเลใจ ในการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขา
“ ฮึก … !” ขณะที่หลินเว่ยกำลังคิดอยู่ เสียงหวีดหวิวก็ดังเข้ามาในหูของเขา จากนั้นหลินเว่ยก็รู้สึกว่าอุณหภูมิรอบตัวเขาลดลงอย่างรวดเร็ว และร่องรอยของความเย็นก็ไหลลง งรูขุมขนและเข้าไปในร่างกาย
“ของเขตแห่งการรู้แจ้งพลังน้ำแข็ง” เขาเอื้อมมือไปจับเกล็ดน้ำแข็งที่ตกลงมา และรู้สึกถึงความหนาวเย็นที่ฝ่ามือของเขา หลินเว่ยแอบตกใจและมองไปที่ท้องฟ้าอย่างรีบร้อน
บนท้องฟ้าดวงอาทิตย์ยังคงสว่างไสว แต่มีเกล็ดหิมะตกลงมานับไม่ถ้วน หลี่ซานมองกัวห้วยด้วยความฉงน
“ระดับเก้า ขั้นอรหันต์ เข้าใจขอบเขตแห่งการรู้แจ้งกว่าครึ่งนึง ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะซ่อนความสามารถไว้ลึกขนาดนี้” หลี่ซานมีใบหน้าและท่าทางขมขื่นเล็กน้อยกล่าวขึ้น
“ ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะเปิดเผยมันเร็วถึงเพียงนี้ แต่พวกเจ้าทั้งสามสาม นั้นกัดไม่ปล่อย ทำให้ข้าต้องเปิดเผยตัวเอง เจ้าควรภูมิใจที่สามารถบีบบังคับข้าได้ถึงเพียงนี้” เมื่อได้ยิน นคำพูดของ หลี่ซาน กัวห้วยกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ นี่คือความลับของเขาหรือ?” คิ้วของหลินเว่ยขมวด และมีความสงสัยปรากฏในดวงตาของเขา เขารู้สึกว่าเบื้องหลังของ กัวห้วยนั้นง่ายดายเกินไป
แม้ว่าการฝึกฝนขั้นอรหันต์จะทรงพลังมาก แต่อย่าลืมว่า สถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ในเมืองเหยียนจิง ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรกังหลัน น่าจะต้องมีปรมาจารย์มากกว่าหนึ่ง ที่ม มีการฝึกฝนที่อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นอรหันต์
แม้ว่ากัวห้วยจะเป็นผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของขั้นอรหันต์ แต่ก็ยากที่ปิดซ่อนความแข็งแกร่งของตนเอง