ราชาซากศพ - บทที่ 37 กิ้งก่าเพลิง
บทที่ 37
กิ้งก่าเพลิง
“ไม่ต้องกังวล!” เถาจุนพยักหน้าเห็นด้วย
“มาเถอะ” หลังจากนั้นต่างคนก็ต่างพุ่งเข้าไปจัดการสัตว์อสูรตามที่ตกลงกันไว้ หยางอี้ร้องตะโกน
และรีบวิ่งไปที่สัตว์อสูรแมวเงาดำ
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ!” เมื่อเห็นว่าหยางอี้เริ่มเข้าไปต่อสู้กับสัตว์อสูรแล้ว จงชานและคนอื่น ๆ ก็พยักหน้าให้กัน แล้วรีบวิ่งตามออกไป อาวุธคู่ใจของหยางอี้นั้นคือดาบใหญ่ ระดับของมันเหนือกว่าอาวุธปกติธรรมดาและถือได้ว่าเป็นอาวุธระดับสูง ความแตกต่างระหว่างอาวุธระดับสูงกับอาวุธระดับธรรมดาก็คือ
พวกมันสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับนักรบได้ ในขณะที่อาวุธพื้น ๆ ธรรมดานั้นไม่สามารถเสริมพลังให้กับนักรบได้ เป็นเพียงเครื่องมือที่เย็นชืด
เมื่อพวกเขาเห็นหยางอี้และคนอื่น ๆ คนที่เหลือก็รีบพุ่งเข้าไป สัตว์อสูรยักษ์ภูเขาก็เริ่มการต่อสู้
เมื่อเห็นว่าต่างคนต่างมุ่งสนใจจากเป้าหมายของตนเอง หยางอี้และคนอื่น ๆ จึงกระจัดกระจายตัวและวิ่งไปคนละทางตามหาเป้าหมายของตนเอง แม้ว่าทิศทางจะแตกต่างกันแต่พวกเขาก็อยู่รอบ ๆ ตัวของหยางอี้ ซึ่งแน่นอนว่าเพื่ออำนวยความสะดวกในการช่วยเหลือของหยางอี้
หลังจากที่ทุกคนมาถึงยังเป้าหมายต่างคนก็ต่างเข้าโจมตี หยางอี้ก็หันมามุ่งสนใจกับเป้าหมายของตนเอง เขาห่อหุ้มร่างของเขาด้วยเกราะแสงสีแดงอ่อน
ซึ่งออร่าแบบนี้สามารถค้นพบได้ในร่างของนักรบขั้นสี่ระดับสูงเท่านั้น นั่นคือเกราะป้องกันร่างกายของเขาและพลังปราณที่แข็งแกร่ง
ในขณะที่คุณสมบัติอีกอย่างหนึ่งคือการปลดปล่อยพลังปราณ เมื่อเทียบกับนักรบขั้นต่ำกว่านั้นจะสามารถเพิ่มพลังในอาวุธของตนได้เพียงเท่านั้น
การปลดปล่อยพลังปราณในผู้ฝึกฝนขั้นนักรบระดับสี่ สามารถทำให้พลังปราณออกมาจากร่างกายของตนเอง เพื่อห่อหุ้มอาวุธ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกันกับสัตว์อสูรบางตน
ทางด้านของหยางอี้ เขาสร้างเกราะป้องกันร่างกายของเขา อย่างไรก็ตามสัตว์อสูรแมวเงาดำได้พุ่งมาถึงด้านหน้าของเขาแล้ว ระยะห่างระหว่างสองฝ่ายที่เผชิญหน้ากันน้อยกว่า 10 เมตร
ด้วยความเร็วของแมวเงาดำอุ้งเท้าข้างหนึ่งตบลงไปที่ใบหน้าของหยางอี้ในพริบตา เป้าหมายคือคอของหยางอี้
สัตว์อสูรแมวเงาดำนั้นเหมาะสมกับการขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์อสูรที่ว่องไวมากที่สุด หากเป็นคนธรรมดา ๆ ทั่วไป นั้นจะถูกตัดหัวด้วยกรงเล็บอันแหลมคมของสัตว์อสูรแมวเงาดำ
แม้ว่าพลังความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรแมวเงาดำนั้นจะต่ำกว่าหยางอี้สองขั้น แต่ความเร็วของมันก็เร็วกกว่าหยางอี้มาก โชคดีที่หยางอี้นั้นมีประสบการณ์การต่อสู้มากมาย
และสร้างเกราะการป้องกันร่างกายของตนเองในทันที
ทันทีที่อสูรแมวเงาดำนั้นเคลื่อนไหวเข้าโจมตีและเว้นระยะห่างจากหยางอี้ อย่างไรก็ตามหยางอี้นั้นดูเหมือนจะคาดการณ์เอาไว้แล้ว ในขณะที่อสูรแมวเงาดำนั้นกำลังเคลื่อนไหว
หยางอี้จึงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้ เพื่อเรียกใช้ทักษะศิลปะการต่อสู้ของเขา “มอดไหม้!”
รังสีดาบสีแดงพุ่งออกจากดาบของเขาไปอย่างรวดเร็ว และพุ่งที่ไปตัวอสูรแมวเงาดำที่อยู่ห่างออกไปหลายเมตร ตอนแรกที่มันพุ่งออกไป ในระดับสายตานั้นมองเห็นว่ามันมีขนาดเพียงน้อยนิด
แต่หลังจากนั้นมันขยายตัวอย่างรวดเร็ว และกระแทกเข้ากับสัตว์อสูรแมวเงาดำ
“เหมียว!” เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากปากของสัตว์อสูรแมวเงาดำ
รังสีสีแดงปักเข้าใกล้กับหัวใจของสัตว์อสูรแมวเงาดำจากอกถึงหาง มีร่องรอยอาการบาดเจ็บที่เผยให้เห็นรอยแผลลึกถึงกระดูก ไม่มีเลือดไหลออกจากบาดแผล
เนื่องจากผิวหนังบริเวณนั้นมีสีคล้ำไหม้ สัตว์อสูรแมวเงาดำนอนดิ้นอยู่บนพื้นหลายครั้งและสิ้นชีพลงไป
สำเร็จ! ทางด้านของหยางอี้ การต่อสู้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ผู้คนที่เห็นฉากนี้ต่างก็ยิ้มอย่างตื่นเต้น และหัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความชื่นชมหยางอี้
เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ หลินเว่ยเห็นความแตกต่างบนใบหน้าของหยางอี้ แม้ว่าเขาจะน่าทึ่งกับการฆ่าสัตว์อสูรแมวเงาดำด้วยการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ตามความคิดของหลินเว่ย แม้ว่าเขาจะสามารถสังหารสัตว์อสูรแมวเงาดำได้แต่ก็ต้องได้รับบาดเจ็บ ท้ายที่สุดอีกด้านหนึ่งคือ สัตว์อสูรขั้นสี่ระดับ 7 และมีความเร็วชั้นยอด อาจจะเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงขึ้นได้
เมื่อหยางอี้กำลังตะลึงงัน สัตว์อสูรอื่น ๆ นั้นไม่ได้สนใจสัตว์อสูรที่ตายลงไป พวกมันกลับมุ่งหน้าโจมตีต่อไป จงชานนั้นเข้าโจมตีสัตว์อสูรยักษ์ภูเขา ส่วนหลี่ซูและนักรบอีกคน คือ เซียวเย่ว ร่วมกันต่อสู้กับหมาป่า ในขณะที่เถาจุนและคนของเขากำลังสกัดกั้นกองทัพสัตว์อสูรขั้นสามจำนวนมาก
จำนวนคนของฝั่งเถาจุนนั้นประกอบด้วยนักรบจำนวนมาก พวกเขาสามารถวิ่งไปทั่วในเมืองหมั่นฉี แม้ว่าจะรอคอยการมาถึงของกองทัพเฮยสุ่ย แต่ตอนนี้พวกเขาต้องเอาตัวรอดเสียก่อน
แม้ว่าเหล่านักรบที่อยู่ข้างหลังเขาจะเป็นนักรบขั้นสาม แต่ก็มีจำนวนเพียง 200 กว่าคนเท่านั้น และฝ่ายสัตว์อสูรคาดว่าจะมีไม่น้อยกว่า 5,000 ตน
โชคดีที่จุดประสงค์ของพวกเขาเพียงเพื่อปกป้องหยางอี้ และสังหารสัตว์อสูรขั้นสามระดับสี่ ดังนั้นเถาจุนจึงขอให้นักรบเหล่านี้ช่วยกันปกป้องหยางอี้
หยางอี้พยายามเข้าไปช่วยเหลือหลี่ซูและวิ่งเข้าไปหาเขา เถาจุนนั้นไม่มีเวลาใส่ใจกับสถานการณ์รอบข้าง ทันทีที่ทั้งฝ่ายมนุษย์และฝ่ายสัตว์อสูรเข้าปะทะกันราวกับห่าฝนที่ตกลงมาโดยไม่หยุดหย่อน แม้ว่าพวกเขาจะพยายามป้องกันอย่างเต็มที่ แต่ก็มีหลายคนที่ได้รับบาดเจ็บ โชคดีไม่มีใครบาดเจ็บถึงขั้นเสียชีวิต
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเขามีการโจมตีมากมาย พวกเขาต้องพยายามต่อสู้และปกป้องร่างกายและสูญเสียพลังลมปราณไปมากเช่นกัน
การโจมตีของกองทัพสัตว์อสูรในด้านนี้ยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่ฝ่ายมนุษย์สามารถป้องกันได้อย่างอดทน ถึงแม้จะไม่สามารถโจมตีกลับได้
หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปกองทัพสัตว์อสูรจะใช้เวลาไม่นานในการโจมตีและสังหารทุกคนจนหมดสิ้น
เมื่อเห็นเช่นนี้หลินเว่ยก็ขมวดคิ้ว ครึ่งหนึ่งของนักรบขั้นสามหลายร้อยคนเป็นบุคคลของกองทหารรับจ้างโลกันตร์ ในฐานะเจ้านายที่อยู่เบื้องหลังกองทหารรับจ้างโลกันตร์ หลินเว่ยไม่สามารถทำใจดูได้อย่างเฉยเมย
โครงกระดูกทั้งแปดของหลินเว่ยปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าของเหล่านักรบอย่างเงียบเชียบ รวมถึงโครงกระดูกของสัตว์อสูรวานร โครงกระดูกหมาป่าลมกรด รวมทั้งสิ้นสี่ตัว
โครงกระดูกอสูรแมวเงาดำสองตัว และอีกหนึ่งเป็นโครงกระดูกกิ้งก่าเพลิง ที่มีเชื้อสายของมังกรเบาบาง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กิ้งก่าเพลิงเนื่องจากมันมีสายเลือดมังกรที่ไหลวนอยู่ในร่าง และระดับขั้นพลังของมันมาถึงขั้นสาม
แต่มันมีความแข็งแกร่งพอที่จะฆ่าสัตว์อสูรขั้นสี่ได้ มันคืออาวุธสังหารของหลินเว่ย
แม้ว่าสายเลือดมังกรนั้นจะเบาบางเกินไป แต่มันถือว่าเหนือกว่าสัตว์อสูรตนอื่น ๆ
โชคดีที่แม้ว่า สัตว์อสูรเหล่านี้จะมีจำนวนมาก แต่ก็ต่ำกว่าขั้นสี่ทั้งหมด เมื่อโครงกระดูกของกิ้งก่าเพลิงปรากฏขึ้น สัตว์อสูรรอบ ๆ กิ้งก่าเพลิงก็เคลื่อนไหวช้าลงเล็กน้อย ดวงตาของสัตว์อสูรส่วนใหญ่แสดงถึงความหวาดกลัว
“เกิดอะไรขึ้น นี่คือ?”
เพราะ จู่ ๆโครงกระดูกของหลินเว่ยก็ปรากฏขึ้น ซึ่งทำให้หลาย ๆ คนหวาดกลัวทันที โดยเฉพาะนักรบในรุ่นหลัง ๆ โชคดีที่คนที่ติดตามเถาจุนมาก่อน นั่นทำให้รู้ว่านี่คือสัตว์อัญเชิญของหลินเว่ย เพราะร่างใหญ่ของสัตว์ร้ายโครงกระดูกอสูรวานรนั้นโดดเด่นมาก
“ไม่ต้องกังวลนี่คือสัตว์อัญเชิญของนายน้อยของข้า” เมื่อเห็นความวุ่นวายเบื้องหน้า เถาจุนรีบใช้พลังปราณ เพื่อร้องตะโกนบอก
“ฮ่า ๆ! มันคือสัตว์อัญเชิญนี่เอง! ข้ากลัวแทบตาย”
“ท่านหลินเว่ย! คือ ปรมาจารย์แห่งจิตวิญญาณ! นี่เป็นครั้งแรก ที่ข้าเคยเห็นอะไรแบบนี้”