ราชาซากศพ - บทที่ 378 สกัดแก่นเลือด
บทที่ 378
สกัดแก่นเลือด
ในฐานะอาจารย์ของเสวี่ยมู่ เขาเห็นว่า เสวี่ยมู่กำลังตกอยู่ในอันตราย แม้ว่าเขาจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของเขาไม่ดีเท่าของอีกฝ่าย แต่เขาก็ยังไม่ลังเลและบุกออกไปด้วยความรวดเ เร็ว
ในบรรดาผู้ชมต่างๆ ที่อยู่รายล้อมเสวี่ยมู่ พวกเขาแทบไม่ทันรู้สึก เมื่อยามสาวใช้ของมู่ชิวเสวี่ยคว้าร่างของเสวี่ยมู่ไป พวกเขาพบว่ามีแสงสว่างเกิดขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขา จากนั้นในหูของพวกเขาก็พลันเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นในอากาศ จนทุกคนทรุดตัวลงไปเนื่องจากเกิดอาการเจ็บปวด
เหลือเพียง เสวี่ยมู่ แม้แต่ ซางกวนหรูเสวี่ยเองก็ยังไม่ทันฟื้นสติจากอาการบาดเจ็บ ไม่ใช่ว่าพวกเขาเต็มใจที่จะมองดูเสวี่ยมู่ ถูกจับตัวไป อย่างไรก็ตามพวกเขาถูกพลังกดขี่ และไ ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ นับประสาการช่วยเหลือเสวี่ยมู่
แม้แต่เปล่งเสีงก็ยังไม่สามารถทำได้ ทั้งร่างแข็งทื่อ และเฝ้าดูเสวี่ยมู่ที่ถูกคว้าตัวไป
เหลยเป่าได้ยื่นมือเข้ามาขวางปรมาจารย์เฉียน จากนั้นก็หันหน้าไปมองมู่ชิวเสวี่ยด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม และการแสดงออกที่งงงวย เขาถามด้วยเสียงทุ้ม: ” ท่านคือผู้นำของคนพวกนี้ หรือ?!หมายความว่าอย่างไร เสวี่ยมู่ทำให้เจ้าขุ่นเคืองหรือไม่?
หากเป็นเช่นนั้น โปรดอภัยให้ข้าแทนนางด้วย เราค่อยๆพูดคุยกันเถอะ โปรดอย่าทำร้ายนาง
หลังจากเหลยเป่าพูดจบ หัวใจของเขาก็ตึงเครียด และมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นที่หน้าผากของเขา อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเขาแน่วแน่มาก แม้ว่าเขาจะรู้ว่าหลาย ๆ คนรอบ ๆ ตัวเสวี่ยมู่มี ความแข็งแกร่งมาก แต่เขาไม่มีทางเลือก ต้องเอ่ยปากขอร้องแทนนาง
เนื่องจากเสวี่ยมู่เป็นศิษย์ในสถานศึกษาของเขา
“เสวี่ยมู่หรือ…..ฮ่าฮ่าดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่รู้จักฐานะที่แท้จริงของนาง!” สำหรับคำพูดของเหลยเป่า มู่ชิวเสวี่ยอ้าปากหัวเราะเล็กน้อย พลางเอ่ยด้วยความเยาะเย้ย
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ? นางคงไม่ได้มาจากที่เดียวกับเจ้าหรอกนะ? หลินเว่ยเอ่ยถามคำถามนี้ เนื่องจากเขาได้ยินจากคำพูดของมู่ชิวเสวี่ย ราวกับนางและเสวี่ยมู่ รู้จักกันเมื่อน นานมาแล้ว และยังมีความสัมพันธ์บางอย่าง
“เจ้าคิดอย่างไรล่ะ ลูกพี่ลูกน้อง ประโยคครึ่งแรกของ มู่ชิวเสวี่ย ทำให้หลินเว่ยมองไปยังเสวี่ยมู่ที่ถูกกุมตัวโดยหญิงชรา
“ ลูกพี่ลูกน้อง?” ผู้คนต่างตกตะลึง เมื่อได้ยินคำว่า “ลูกพี่ลูกน้อง” ในปากของมู่ชิวเสวี่ย จากนั้นพวกเขาก็จำได้ว่าพวกเขาเคยได้ยินมู่ชิวเสวี่ยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ไม่มีใค ครคิดว่าเสวี่ยมู่จะเป็นลูกพี่ลูกน้องของมู่ชิวเสวี่ย
เมื่อเห็นทุกสายตาของผู้คน พวกเขาทั้งหมดก็หันมาหาตัวเองเสวี่ยมู่หลับตาไป และมองไปที่ ปรมาจารย์เฉียน อย่างขอโทษ นางพูดด้วยเสียงเบาๆ ” อาจารย์ ข้าขอโทษด้วย ที่ไม่ได้บอก ความจริงกับท่าน อันที่จริงข้าไม่ได้มาจากอาณาจักรเฟิงหยู
หรือแม้แต่จากอาณาจักรกังหลัน แต่มาจากเมือง ติงหลง ทางตะวันตกของ อาณาจักรเฉียนคุน ข้าชื่อมู่หลิงเสวี่ย ข้าเป็นหนึ่งในห้าตระกูลในเมืองติงหลง บุตรสาวของหัวหน้าตระกูล
เสวี่ยมู่เล่าประสบการณ์ชีวิตของนาง แต่ปรมาจารย์ เฉียนกลับส่ายหัวและพูดโดยไม่สนใจใด ๆ : “มีอะไรหรือ? ในใจของข้า เจ้าเป็นศิษย์ของข้าเสวี่ยมู่”
“โอ้…บุตรสาวของผู้นำตระกูลเมื่อก่อน ตอนนี้บุตรสาวที่หายไปเมื่อหลายปีก่อน เจ้าเป็นเพียงหญิงที่ตายไปแล้ว” เมื่อได้ยินคำพูดของเสวี่ยมู่ หญิงชราหัวเราะเยาะปากโค้งงอและพู ดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร พูดมาให้ชัดเจน บิดาของข้า….เกิดอะไรขึ้น?” เมื่อได้ยินคำพูดของหญิงชรา ใบหน้าของเสวี่ยมู่ก็เปลี่ยนไป ใบหน้าของนางแสดงความกังวลและถามอย่างรีบร้อน
“จะเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ? อยู่ ๆ เจ้าก็หายตัวไป ดังนั้นเจ้าจึงได้รับการปฏิบัติเหมือนคนตาย และสร้างหลุมศพของเจ้า” ได้ยินคำพูดของเสวี่ยมู่ หญิงชรากลอกตาสีขาวขุ่น จากนั้นก็กล ล่าวด้วยใบหน้าเหยียดหยาม
“ไม่เป็นไร! ดีแล้ว!” เสวี่ยมู่ไม่ได้สนใจในเรื่องที่หญิงชราพูด แต่นางรู้สึกโล่งใจและผ่อนคลาย หลังจากได้ยินว่าบิดาของนางสบายดี
“พวกเขาเป็นญาติกัน! ข้ากังวลแทบแย่ ปรมาจารย์เฉียนดูผ่อนคลายหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ใช่ใช่! พวกเราก็รู้สึกเช่นเดียวกับเจ้า รู้วึกเป็นกังวลและหวาดกลัว
“อย่าลืมข้าล่ะ หากเจ้าได้ดี”
“ใช่ใช่! เจ้ามีศิษย์ที่ดีจริงๆ
“ ……”
เมื่อเห็นว่าตัวตนของเสวี่ยมู่ได้รับการยืนยันแล้ว หลายคนจึงเข้ามาทักทาย ปรมาจารย์เฉียน ราวกับคนคุ้นเคยและกล่าวยกย่อง
อย่างไรก็ตาม มีเพียงไม่กี่คนที่รู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างมู่ชิวเสวี่ยและเสวี่ยมู่นั้นผิดปกติ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เหมือนญาติกันจริงๆ มู่ชิวเสวี่ยดูราวกับต้องการชีวิตของเ เสวี่ยมู่
ในความคิดของเขา เนื่องจากสวี่ยมู่ เป็นบุตรสาวของผู้นำตระกูล และสาวใช้ตัวเล็กๆกล้าปฏิบัติต่อเสวี่ยมู่เช่นนี้ได้อย่างไร?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หลินเว่ยก็ถามอย่างไม่แน่ใจ“ เสวี่ยมู่! เจ้าบอกว่าหลังจากที่เจ้าหายตัวไป ก่อนหน้านี้มู่ชิวเสวี่ยก็เข้ามาแทนที่ตำแหน่งของเจ้า เรื่องที่เจ้าหายตัวไปล่ะ น่าจะ ไม่เกี่ยวข้องกับนาง?
“ใช่! ในตอนแรก นางเป็นคนที่ส่งคนมาช่วยเหลือข้า และนางก็ส่งคนมาไล่ล่าข้าเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ ข้าตกลงไปในค่ายกลโบราณและมาที่นี่โดยบังเอิญ เพราะอาการบาดเจ็บสาหัสมาก และ คว วามแข็งแกร่งของข้าก็หายไป ข้าเพียงแค่อยากมีชีวิตที่ดี อยู่ที่นี่ โดยไม่คาดคิด นางจะพาคนมาไล่ล่าข้าที่นี่ “เมื่อเห็น หลินเว่ยเอ่ยถาม เสวี่ยมู่ก็พยักหน้าอย่างรวดเร็วและ พูดด้วยความขุ่นเคือง
“อะไรนะ?”
เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของเสวี่ยมู่ พวกเขาก็เปลี่ยนสีหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เคยกล่าวยกย่องปรมาจารย์เฉียน พวกเขาดูเหมือนจะตกใจ ดูเหมือนพวกเขาจะถอนตัวออกอย่างรวดเร็วจาก กปรมาจารย์เฉียน เพราะกลัวว่าตนเองจะถูกลูกหลง
ท่าทางของพวกเขาค่อนข้างแตกต่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เขารู้สึกว่า ปรมาจารย์เฉียนใบหน้าของเขาแข็งทื่อ และเขินอาย แต่ไม่นานใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความกังวลอีกครั้ง เขามองไปที่เสวี่ยมู่ ด้วยความกังวลบนใบหน้าของเขา จากนั้นเ เขาก็หันไปสบตากับมู่ชิวเสวี่ย
และพูดด้วยน้ำเสียงทุ้ม: “หญิงคนนี้ เนื่องจากนางไม่สามารถคุกคามเจ้าได้อีกต่อไปแล้ว เหตุใดต้องการสังหารนางไม่จบสิ้น! ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สายเลือด! ย่อมข้นกว่าน้ำ ”
“ฮึ่ม! เจ้าคิดมากเกินไป ข้าไม่ได้มาที่นี่ เพื่อสังหารนาง แต่กลับใช้เวลาสามปีเพื่อตามหานาง” ได้ยินคำพูดมากมาย มู่ชิวเสวี่ยโค้งปากของนาง และพูดด้วยใบหน้าดูหมิ่นพลางกล่าว
“สามปีหรือ เจ้าไม่ได้มาเพื่อสังหารนาง แต่ใช้เวลาตามหานางนานขนาดนั้น เจ้าต้องอยากได้อะไรจากนางหรือไม่? เรื่องนี้มีความสำคัญมากสำหรับเจ้า ในกรณีนี้ หากขอให้นางมอบบางสิ่งให ห้เจ้า เจ้าต้องปล่อยนางไป ข้าคิดว่านางไม่สามารถคุกคามตำแหน่งของเจ้าได้ด้วยกำลังของนาง เจ้าคิดว่าอย่างไร? ” หลินเว่ยกล่าวด้วยความกังวลใจ
เหตุผลที่ หลินเว่ยเป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของมู่ชิวเสวี่ย แต่เป็นเพราะเสวี่ยมู่ตกอยู่ในมือของอีกฝ่าย ด้วยความแข็งแกร่งของมู่ชิวเสวี่ย ย่อมจะส่งผลต่ออันตรายที จะเกิดกับเสวี่ยมู่ ดังนั้นหลินเว่ยจึงประนีประนอมและไม่กล้าเปิดการต่อสู้กับมู่ชิวเสวี่ย
“เจ้าเดาได้ถูกต้อง ข้าใช้เวลามากมายในการตามหานาง เพื่ออะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับนางจริงๆ ” หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเว่ย แสงแปลก ๆ ก็สว่างวาบในดวงตาของ มู่ชิวเสวี่ย แต่ แล้วนางก็พยักหน้าและพูดขึ้น
“อะไรหรือ นั่นคืออะไร หากมีบางอย่างที่เจ้าต้องการจริง ๆ ก็บอกมาเถอะ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าต้องการอะไร” เมื่อได้ยินมู่ชิวเสวี่ยยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ใบหน้าของเสวี่ยมู่ก็แสดงสีท ที่น่าสงสัย นางมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสับสน
นางขมวดคิ้วและถามว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างของข้า ล้วนอยู่ในแหวนมิติของข้าในตอนแรก เจ้าไม่ได้นำมันไปหรือ”
“ไม่! ยังมีอีกอย่างหนึ่ง” มู่ชิวเสวี่ยส่ายหัวและพูดขึ้น
“อะไรนะ?” มู่ชิวเสวี่ยขมวดคิ้วและถาม นางคิดอยู่นานในใจ แต่นางไม่เข้าใจ มู่ชิวเสวี่ยกลับไม่ได้สนใจสมบัติของนาง
“มันเป็นเพียงเลือดของเจ้า ตราบใดที่เจ้าเต็มใจที่จะร่วมมือกับข้า และดึงพลังสายเลือดออกมาจากร่างของเจ้า ข้าจะสัญญาว่าละเว้นเจ้า” มู่ชิวเสวี่ยกล่าวเสียงหนักแน่น
“อะไรนะ เจ้าจะเอาเลือดของข้าไปเพราะอะไร” เมื่อได้ยินมู่ชิวเสวี่ยต้องการเลือดของตนเอง เสวี่ยมู่ก็ร้องออกมาทันที จากนั้นมีใบหน้าที่ตื่นตระหนก
“ฮึ่ม! ไม่ใช่เพราะเจ้าหรือ เพื่อที่จะสังหารเจ้า ข้าเองก็ตกลงไปยังค่ายกลโบราณ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงถูกขังอยู่ในค่ายกล แม้ว่าในที่สุดข้าจะได้รับการช่วยเหลือจากผู้อาวุโสของตระก กูล แต่ข้าก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และรากฐานของข้าได้รับความเสียหาย
เพราะเคล็ดลับต้องห้ามในตระกูล มีเพียงเลือดของเจ้าเท่านั้นที่คล้ายคลึงกับข้ามาก และมีระดับที่สูงกว่าข้า เลือดของเจ้าเท่านั้นที่สามารถซ่อมแซมความเสียหายนั้นได้ ” มู่ชิวเสวี ยเปล่งประกายแสงเย็นในดวงตา พลางกล่าวด้วยใบหน้าไม่พอใจ
“โอ้! คนพวกนี้เป็นคนแบบใดกัน! ไล่ล่าสังหารคนอื่น แต่โชคไม่ดีที่เขาถูกขังอยู่ค่ายกล แต่กลับผลักความรับผิดชอบไปให้เสวี่ยมู่ที่ถูกไล่ล่าโดยเจ้า เจ้ามีเหตุผลอันใดกัน?” การได้ยินคำพูดของมู่ชิวเสวี่ย ทันใดนั้นหลินเว่ยก็ไม่รู้ว่า จะร้องไห้หรือหัวเราะ จู่ ๆ เขาก็โกรธและหัวเราะออกมา เขามองหน้าอีกฝ่ายด้วยความดูถูกเหยียดหยามและพูดประชดประชั น
“ฮึ่ม! เจ้าจะรู้อะไร หากไม่ใช่เพราะไล่ล่านาง ข้าจะติดอยู่ในค่ายกลจนบาดเจ็บได้อย่างไร หากนางไม่ต่อต้าน ท้ายที่สุดมันเป็นความผิดของนางทั้งหมด … ”
“เจ้าหุปปาก!”
เมื่อได้ยินคำพูดที่น่าวิตกของ มู่ชิวเสวี่ย หลินเว่ยก็พลันเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของเขาต่อมู่ชิวเสวี่ยไปหมด เมื่ออีกฝ่ายกำลังจะพูดต่อ เขาก็เอ่ยขัดจังหวะโดยตรง และคำพูดหยา าบคายและตรงไปตรงมา ออกจากปากของหลินเว่ย
“สามหาว! ข้าคิดว่าเจ้ารนหาที่ตาย กล้าที่จะดูถูกนายหญิง หากข้าไม่สั่งสอนเจ้าให้ดี วันนี้ข้าจะไม่ยินยอม”
“ใช่เจ้าลูกหมา เอาตัวเองให้รอดเถอะ ในสายตาของเรา เจ้ามันไร้ค่า เป็นขยะ ที่เหมือนหายใจอยู่ไปวันๆ