ราชาซากศพ - บทที่ 42 ตระกูลหนานหม่าน
บทที่ 42
ตระกูลหนานหม่าน
ถึงกระนั้น กองทัพสัตว์อสูรภายนอกก็ไม่ได้ให้เวลาพวกเขามากนัก เพราะค่ายกลป้องกันนี้ใกล้จะพังทลายลงแล้ว ท้ายที่สุดค่ายกลป้องกันนี้เป็นเพียงค่ายกลขั้นสาม และไม่สามารถต้านทานการโจมตีของสัตว์อสูรขั้นสี่ได้มากเกินไป
นั่นเป็นเหตุผลที่หยางอี้ ต้องออกจากเมือง เพื่อสังหารสัตว์อสูรขั้นสี่
มีผู้อาวุโสหกคนของตระกูลหนานหม่าน ทั้งหมดเป็นนักรบขั้นสี่ที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้หนานหม่านเหยียนฉวนเองก็อยู่ในขั้นสี่ระดับเจ็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสใหญ่และผู้อาวุโสรองล้วนเป็นนักรบขั้นสี่
เมื่อหนานหม่านเหยียนฉวนมาถึงสนามรบ ด้านนอกประตูทางทิศเหนือ เขาเห็นฝูงนกอินทรีขนเหล็กสองตัวในอากาศกำลังโจมตีโล่แสง ที่สร้างขึ้นจากค่ายกลป้องกันอย่างสนุกสนาน บนพื้นดินยังมีสัตว์อสูรขั้นสี่ระดับหก เดินนำหน้า สัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต่ำกว่าขั้นสามกำลังโจมตีค่ายกล ภายในโล่แสงมีนักรบหลายสิบคนได้รับบาดเจ็บและล้มลงบนพื้น
แม้ว่าจำนวนคนของหนานหม่านเหยียนฉวนจะมีจำนวนน้อยแต่ก็แข็งแกร่งมาก พลังปราณถ่ายเทไปที่เท้า ทำให้เขาสามารถเคลื่อนไหวชั่วพริบตาไปยังทหารเหล่านั้น พวกเขาต่างก็ตกใจและลุกขึ้นมาปกป้องตัวเอง
หลังจากพบว่าเป็นหนานหม่านเหยียนฉวน คนเหล่านี้ก็โล่งใจและยิ้มออกมา
ท่านเจ้าเมืองหนานหม่าน!”
คนเหล่านี้เห็นว่าคนที่มาคือหนานหม่านเหยียนฉวน ใบหน้าของพวกเขามีร่องรอยของความอับอาย และพวกเขาก็ทักทายอย่างเร่งรีบ
“อืม! พี่จู้กับทุกคนรีบกลับไปฟื้นตัวและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเรา” หนานหม่านเหยียนฉวนพยักหน้าก้าวไปข้างหน้า และกล่าวกับนักรบทั้งสอง
“ได้ ด้วยคำพูดของหนานหม่านเหยียนฉวนคนเหล่านี้รู้สึกโล่งใจ พยักหน้าแล้วเตรียมตัวล่าถอย
“ข้าจะจัดการนกทั้งสองตัวบนท้องฟ้า ส่วนเจ้าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจัดการกับสัตว์อสูรตัวอื่น ๆ บนพื้นดิน” หนานหม่านเหยียนฉวนศึกษาสถานการณ์ภายนอกอย่างรอบคอบ จากนั้นหันไปหาผู้อาวุโสทั้งห้าที่อยู่ข้างหลังเขาแล้วพูด
“ได้! เท่านี้ ไม่น่าจะเกินกำลังของพวกเรา”
“ใช่”
“ไปเถอะ!” หลังจากได้ยินสิ่งที่หนานหม่านเหยียนฉวนพูด ผู้อาวุโสทั้งห้าก็พยักหน้าเห็นด้วย หลังจากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็รีบออกจากค่ายกลการป้องกัน แล้วรีบวิ่งไปที่สัตว์อสูรขั้นสี่ที่กำลังโจมตีค่ายกลอยู่
ในตอนนี้ไม่มีกองทัพสัตว์อสูรขั้นต่ำที่อยู่ประตูทิศเหนือ แต่มีสัตว์อสูรขั้นสี่ที่กำลังโจมตีค่ายกลป้องกัน นอกจากนี้ยังมีบนท้องฟ้าสองตัวแล้วยังมีอีกเก้าตัวที่อยู่บนพื้น ไม่น่าแปลกใจที่กองกำลังแห่งประตูทิศเหนือจะพ่ายแพ้อย่างยับเยิน
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ ผู้อาวุโสของตระกูลหนานหม่านเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่เกรงกลัว แต่แท้จริงแล้ว พวกเขานั้นทำอะไรไม่ถูก ถ้าพวกเขาไม่ต่อสู้ค่ายกลก็จะพังทลายและทุกคนจะตายกันหมด แต่ถ้าพวกเขาเสี่ยงชีวิตเพื่อสู้อย่างเต็มที่อาจจะมีโอกาสรอด
“พี่ใหญ่ เราต้องหลอกล่อสัตว์อสูรตัวอื่น ๆ ออกไปก่อน พลังของท่านแข็งแกร่งที่สุดในตอนนี้ หากพวกมันยังรวมตัวกันจะทำให้เราสังหารมันได้เพียงทีละตัวเท่านั้น” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าว
“ดี! เจ้าไปจัดการพวกข้างหน้า ข้าจะนำสัตว์อสูรวานรตนนี้ออกไปที่อื่น ” เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโส เขาก็หยุดฝีเท้าและชี้ไปที่สัตว์อสูรวานรขั้นสี่ตรงหน้าเขา หลังจากนั้นเขาไม่รอให้คนอื่นพูดจบ
เขาก็เปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนไหว เพื่อหลอกล่อสัตว์อสูรวานรออกไป
สัตว์อสูรวานรขั้นสี่กำลังทุบที่โล่แสงโดยไม่สนใจสถานการณ์ ผู้อาวุโสรีบฉวยโอกาสนี้ หลังจากกระโดดไม่กี่ครั้ง เขาก็มาที่ด้านหลังของสัตว์อสูรวานรขั้นสี่ แม้ว่าสัตว์อสูรวานรขั้นสี่จะรู้ตัว แต่พวกมันก็ไม่สามารถหันกลับมาเพื่อต้านทานการโจมตีได้ จึงถูกดาบเย็น ๆ สับลงโดยตรง เกิดเป็นบาดแผลยาวจากด้านบนของศีรษะ ถึงด้านล่าง เลือดสีแดงสดพุ่งออกมาทันที
ไม่ใช่ว่าสัตว์อสูรวานรขั้นสี่จะอ่อนแอเกินไป มันคือสัตว์อสูรขั้นสี่ระดับหก แต่หนานหม่านเจวี๋ยเป็นผู้อาวุโสของตระกูลหนานหม่าน ระดับพลังของเขาคือ นักรบขั้นสี่ระดับเก้า และในมือถืออาวุธชั้นยอด
โดยปกติแล้วตราบใดที่สัตว์อสูรวานรขั้นสี่ใช้ความสามารถและทักษะของมัน หนานหม่านเจวี๋ยจะสามารถทำได้แค่สร้างบาดแผลเล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อมองไปที่สัตว์อสูรวานรขั้นสี่ที่นอนอยู่บนพื้นต่อหน้าเขากำลังจะตายและพยายามดิ้นรน จากนั้นหนานหม่านเจวี๋ยจึงไม่สนใจมันอีกต่อไป ท้ายที่สุดมันก็ต้องสิ้นใจลงไปเอง เขาจึงไม่อยากเสียเวลากับมัน
“ยินดีด้วย พี่ใหญ่!” ผู้อาวุโสรองเห็นสถานการณ์ที่น่าสังเวชใจ ของสัตว์อสูรวานรขั้นสี่ เขาก็เอ่ยยกย่องกับฝีมือการต่อสู้
หลังจากที่หนานหม่านเจวี๋ยสังหารสัตว์อสูรวานรขั้นสี่อย่างรุนแรง เขาก็ค้นหาเป้าหมายต่อไป สัตว์อสูรขั้นสี่ จำนวนที่เหลือ ไม่ได้รวมตัวกันเนื่องจากการตายของสัตว์อสูรวานรขั้นสี่ แม้ว่าพวกมันจะหยุดโจมตีค่ายกลป้องกัน แต่พวกมันก็หันมาต่อสู้กับฝ่ายมนุษย์แทน
ในไม่ช้าหนานหม่านเจวี๋ยได้เลือกเป้าหมายต่อไปในการสังหารเป็นสัตว์อสูรขั้นสี่ระดับสาม นั่นคือหมาป่าลมกรด ในบรรดาสัตว์อสูรขั้นสี่ที่เหลืออีกแปดตัว มีหมาป่าลมกรดขั้นสี่ ซึ่งหนึ่งในนั้นมีพลังมากที่สุดโดยมีระดับสูงถึงตั้งแต่สี่ถึงแปด น่าจะเป็นระดับผู้นำ
ในขณะที่หมาป่าลมกรดตัวอื่น ๆ เป็นเพียงผู้คุ้มกันของมัน มีเพียงระดับสามถึงสี่
หมาป่าลมกรดตัวเดียวขั้นสี่ระดับสาม ถูกสังหารโดยหนานหม่านเจวี๋ย หลังจากนั้นเพียงสิบนาที ก็สามารถสังหารได้อีกตัว
สัตว์อสูรหมาป่าลมกรดแม้ว่าความแข็งแกร่งจะไม่มาก ถึงแม้ว่าพวกมันได้พบกับคู่ต่อสู้ที่มีระดับสูงกว่าตน
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ เพราะพวกมันอยู่รวมกันเป็นฝูง ถึงระดับพลังของศัตรูจะสูงกว่า แต่การต่อสู้นั้นไม่เป็นปัญหาเพราะพวกมันสามารถหลบหนีไปได้
หลังจากสังหารหมาป่าลมกรด หนานหม่านเจวี๋ยก็เลือกหมาป่าอีกตัวเป็นเป้าหมายของเขา ก่อนหน้านี้ระดับของหมาป่าตัวนี้ยังอยู่ที่ขั้นสี่ระดับสาม บางทีเนื่องจากเขานั้นมีประสบการณ์การสังหารหมาป่ามาหลายตัวแล้ว ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไม่นานในการสังหารหมาป่า
เมื่อหมาป่าลมกรดตัวที่สองถูกสังหาร หนานหม่านเจวี๋ยดูเหมือนชื่นชอบการสังหารหมาป่า เขาวางเป้าหมายไว้ที่ตัวสุดท้าย เขารีบวิ่งเข้าไปหาราชาหมาป่าทันที
เมื่อหนานหม่านเจวี๋ยสังหารหมาป่าลมกรดตัวแรก นั้นยังไม่สามารถดึงดูดความสนใจของราชาหมาป่าลมกรดได้! แต่เมื่อสังหารตัวที่สองจนเหลือเพียงหมาป่าลมกรดผู้คุ้มกันเพียงตัวเดียว มันจึงส่งเสียงร้องทันที เพื่อเรียกตัวอื่น ๆ
จำนวนสัตว์อสูรทางด้านนี้ ยกเว้นอินทรีขนเหล็กสองตัว ที่ถูกหนานหม่านเหยียนฉวนสังหารลงไป เหลือเพียงหกตัว อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากการหมาป่าลมกรดระดับต่ำสุดของสัตว์อสูรที่เหลือคือระดับหก และระดับที่แข็งแกร่งที่สุดคือระดับเก้า
แม้ว่าจะมีน้อยลง แต่ความแข็งแกร่งก็ไม่ได้ลดลงมากนัก ยังคงเป็นเรื่องยากมากสำหรับผู้เฒ่าเหล่านี้
“เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก!”