ราชาซากศพ - บทที่ 47 เคลื่อนย้ายไปเมืองเฮยสุ่ย
บทที่ 47
เคลื่อนย้ายไปเมืองเฮยสุ่ย
สำหรับเหตุการณ์นี้มีหลายคนที่ทนดูไม่ไหวแต่พวกเขาก็อดทน จ้องมองด้วยสายตาเย็นชา ไม่มีใครลุกขึ้นมาพูดแทนชาวบ้านเหล่านี้ ยิ่งหลินเว่ยก็ยิ่งทนไม่ได้ แม้ว่าเขาจะอายุน้อย แต่เขาก็มีหัวใจที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่มาก เขาไม่ใช่นักบวช
และเขาไม่มีความแข็งแกร่งมากพอที่จะลุกขึ้นไปช่วยเหลือใคร ในปัจจุบันยังต้องอพยพหลบหนีด้วยซ้ำไป
ส่วนคนของหลินเว่ย คือ เถาจุนที่เดินตามเขาไปอย่างเงียบ ๆ เนื่องจากหลินเว่ยไม่ได้มีคำสั่งอะไร พวกเขาก็ไม่มีความคิดเห็น
ดินแดนบานเกล็ดซึ่งเป็นของดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรเฟิงหยู มีเมืองหลวงและเมืองเล็กใหญ่หลายสิบเมือง ภายใต้แต่ละเมืองมีบางเมืองที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจการปกครองของเมืองหลวง ในหมู่พวกเขาเมืองเฮยสุ่ยก็เป็นหนึ่งในนั้น มีเมืองหลัก ๆ มากกว่าสิบเมืองและมีหมู่บ้านจำนวนนับไม่ถ้วนล้อมรอบเมืองเฮยสุ่ย ผู้ดูแลเมืองนี้เป็นตระกูลไป๋ของเมืองเฮยสุ่ย ซึ่งตระกูลนี้ได้รับการสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองมาร่วมหลายร้อยปี
ภายในเมืองมีพื้นที่กว้างขวางใช้เวลานานกว่าสองเท่าในการเดินทางไปยังประตูเมืองทางทิศใต้ของเมืองเฮยสุ่ย ในที่สุดหลินเว่ยและคนอื่น ๆ ก็มาถึงที่นี่ จากนั้นพวกเขาก็ปะปนกับกลุ่มคนจำนวนมากที่เข้ามาในเมืองเฮยสุ่ย และก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ
ในระหว่างการเดินทางเถาจุนก็ได้พบกับหน่วยสอดแนมหลายคนที่เขาส่งออกไป จากนั้นเขาก็รีบวิ่งไปหาหลินเว่ย และพูดด้วยเสียงเบาๆ ว่า: “นายน้อย กล่าวกันว่าพวกกองทัพสัตว์อสูรนี้ไม่เพียงแต่มุ่งเป้าไปที่เมืองหมั่นฉีของเราเท่านั้น แต่หน่วยสอดแนมที่ข้าส่งออกไปเพื่อตามหาข่าวพบว่า กองทัพสัตว์พวกนี้ยังโจมตีรอบ ๆ เมืองเฮยสุ่ย และที่ได้รับความเสียหาย มีเพียงส่วนเล็ก ๆ ของสองเมืองเท่านั้น ที่พากันอพยพมาที่นี่ ผู้คนส่วนใหญ่นั้นไม่ทราบข่าวคราว ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่เดินทางมาที่นี่”
“อืม! ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าน่าจะไม่ได้มีแค่เมืองหมั่นฉีเท่านั้นที่อพยพเข้ามา เนื่องจากจำนวนคนที่มากมายเกินไป” สำหรับข่าวของเถาจุน หลินเว่ยไม่ได้แสดงความประหลาดใจมากนัก
เมื่อมองไปที่ฝูงชนหนาแน่นข้างหน้า ก็ถึงคราวที่พวกเขาจะได้เข้าไปในเมือง คาดว่าจะต้องใช้เวลาสักพัก ก่อนที่หลินเว่ยจะได้เข้าเมือง เขาจะใช้โอกาสนี้เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับเมืองเฮยสุ่ย จากเถาจุน
“เมืองเฮยสุ่ย! มีผู้อยู่อาศัยเกือบสิบล้านคน แม้ว่าพวกเขาส่วนใหญ่จะเป็นชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ไม่ได้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ แต่จำนวนผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ก็น้อยมากเช่นกัน ในหมู่พวกเขามีทั้งหมดแปดกองกำลังหลักที่นำโดยผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ มีพวกสมาคมแพทย์โอสถ สหภาพแรงงานทหารรับจ้าง หอการค้าหรูหยุนชิวหลิวถัง ตระกูลซุย ตระกูลเย่ ตระกูลหลิว และตระกูลไป๋ แห่งจวนของท่านเจ้าเมือง ”
“ในหมู่พวกเขาสมาคมแพทย์โอสถ สหภาพแรงงานทหารรับจ้าง หอการค้าหรูหยุนและชิวหลิงถังจะเป็นกลางและไม่เข้าร่วมในการต่อสู้ใด ๆ และกองกำลังอื่น ๆ ไม่มีใครกล้าทำให้พวกเขาขุ่นเคือง โดยไม่มีเหตุผล
ส่วนกองกำลังที่เหลือ ตระกูลไป๋ จวนท่านเจ้าเมือง เป็นที่น่านับถือ ภายในเมือง ส่วนอีก 3 ตระกูล ตระกูลซุย แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย ตระกูลหลิวเป็นอันดับสองและสุดท้ายเป็นตระกูลเย่
ตระกูลที่แข็งแกร่งในเมืองเฮยสุ่ยเพิ่งจะเฟื่องฟูไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา แต่ก็มีอิทธิพลที่ด้อยกว่าอิทธิพลหลายๆ ตระกูลหลักภายในเมืองเฮยสุ่ยและในตอนนี้ตระกูลเย่มีการแข่งขันกันภายในตระกูลเพื่อรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ ”
“พลังระดับสูงสุดของกองกำลังเหล่านี้ คือขั้นใด?” หลังจากฟังคำแนะนำของเถาจุน หลินเว่ยพยักหน้าเอื้อมมือถูจมูกและถามขึ้น
“ว่ากันว่าเจ้าเมืองนั้นอยู่ในระดับพลังที่สูงสุดของขั้นขุนศึก แต่ก็มีบางคน กล่าวว่า มีบรรพบุรุษเก่าแก่ในตระกูลไป๋ มีระดับขั้นพลังสูงกว่าขั้นขุนศึก อย่างไรก็ตามสามารถยืนยันได้ว่ากองกำลังอื่น ๆ นั้น ขั้นต่ำนั้น อยู่ในระดับของขุนศึก ”
แม้ว่าเถาจุนไม่รู้ว่า เหตุใดหลินเว่ยถึงได้อยากรู้ข้อมูลของเมืองเฮยสุ่ยและกองกำลังต่าง ๆอย่างละเอียด แต่เขาก็ไม่ได้ถามคำถามนี้เถาจุนยังคงตอบคำถามของหลินเว่ยอย่างระมัดระวัง
“ดี!” ในระหว่างการสนทนา เถาจุนพบว่าหลินเว่ยไม่ได้แสดงออกเกี่ยวกับเรื่องนี้
หลินเว่ยไม่ใช่คนอ่อนแอดูเหมือนรักความสนุกและอยากรู้อยากเห็น นอกจากนี้ตอนนี้พวกเขาเข้าใกล้ประตูเมืองมากยิ่งขึ้น ดังนั้นความปรารถนาของพวกเขาที่จะเข้ามาในเมืองจึงไม่แรงกล้าเหมือนก่อน
หลินเว่ยและเถาจุนแยกตัวออกจากกลุ่มคนอื่น ๆ เมื่อพวกเขาไปถึงประตูเมือง ก็เห็นว่ามีคนสองกลุ่มกำลังต่อสู้กันอยู่ที่นั่น กลุ่มหนึ่งปิดกั้นประตูเมืองและอีกกลุ่มนั้นไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในเมือง
บรรยากาศตึงเครียดมาก คนที่อยู่ด้านหลังของพวกหลินเว่ย พวกเขาดูมีชีวิตชีวาและอยากรู้อยากเห็น
“กู่ชิง เจ้าอย่ามาเล่นลิ้น” กลุ่มคนที่ถูกปิดกั้น คือ ชายชราที่มีท่าทางเป็นผู้นำ พูดขึ้นด้วยใบหน้าที่โกรธเกรี้ยว ชี้ไปที่ชายตรงหน้าและดุด่า
ชายชราคนนี้สำหรับหลินเว่ยแล้วไม่ใช่คนแปลกหน้า คือ กู่เทียนหมิงเจ้าของร้านกู่หยุนจ๋าย แน่นอนว่ากู่เฟยหยางหลานสาวผู้ภาคภูมิใจก็อยู่ที่นั่นด้วย อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้ กู่เฟยหยางถูกโอบกอดอยู่ในอ้อมแขนของหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูลุกลี้ลุกลน และถูกขัดขวางโดยชายวัยกลางคนคนหนึ่ง
กู่เทียนหมิงและชายวัยกลางคน เป็นผู้ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่ขั้นสูงที่สุดในกลุ่ม ส่วนคนที่เหลืออยู่ในขั้นหนึ่งและขั้นสอง และชายผู้มีระดับความแข็งแกร่งขั้นสามระดับเจ็ด ในเมืองหมั่นฉีนับว่าธรรมดา
แต่ความแข็งแกร่งของกลุ่มที่ขัดขวางการเข้าไปยังเมืองนั้นมีเพียงเจ็ดคน แต่มีระดับความแข็งแกร่งดีกว่ากลุ่มของ กู่เทียนหมิงมาก เนื่องจากมากกว่าครึ่ง มีนักรบขั้นสี่จำนวนสี่คน
“กู่เทียนหมิง เจ้าเองเป็นสายหนึ่งของตระกูลกู่ของข้า หลานสาวของเจ้าสามารถทำให้นายน้อยซุยฮ่าวชื่นชมได้ นับว่าเป็นโชคของเจ้า และเป็นโชคดีของสายตระกูลเจ้าอีกด้วย มีผู้หญิงมากมายที่อยากจะพลีกายให้นายน้อยซุยฮ่าว รู้หรือไม่ว่านายน้อยซุยฮ่าวเป็นนายน้อยรองของตระกูลซุย หากเฟยหยางสามารถติดตามนายน้อยซุยฮ่าวได้ ตระกูลของพวกเราก็ได้รับเกียรติด้วยเช่นกัน ” คำพูดของชายเบื้องหน้าของกู่เทียนหมิง เป็นชายหนุ่มในวัยยี่สิบต้น ๆ แม้ว่าเขาจะดูธรรมดาแต่เขาก็ไม่ได้อัปลักษณ์ แต่สิ่งที่เขาพูดนั้นทำให้นายทหารทุกคนขมวดคิ้ว และมองเขาในแง่ร้ายด้วยคำพูดเห็นแก่ตัว
“ฮึ่ม! ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าเข้ามายุ่ง แม้ว่าตระกูลซุยจะแข็งแกร่งแต่มันเกี่ยวอะไรกับข้า ด้วยยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะนายน้อยของตระกูลกู่ เจ้านั้นช่วยเหลือคนนอกและข่มเหงคนในตระกูลตนเอง หลังจากข้ากลับไป ข้าจะไปเรียกร้องความยุติธรรม
จากตระกูลหลัก “หลังจากฟังคำพูดของกู่ชิงจบ กู่เทียน หมิงก็แค่นเสียงอย่างเย็นชาและปฏิเสธโดยตรง
“ฮึ่ม! ตาเฒ่า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? วันนี้เจ้ายอมทิ้ง กู่เฟยหยางไว้ที่นี่ แล้วตระกูลเจ้าทุกคนจะรอด ไม่อย่างนั้นก็ตายลงที่นี่เถอะ ข้าจะให้คนของข้าหักแขนหักขาของเจ้า และรอให้สัตว์อสูรมากินพวกเจ้า ”
เมื่อกู่ชิงได้ยินว่ากู่เทียนหมิงไม่ยินยอมและจะเอาเรื่องนี้บอกตระกูลของตนเองเขาก็โกรธจัด เมื่อเขาเห็นคนรอบข้างกำลังชี้ไม้ชี้มือราวกับขำขันเรื่องของเขา กู่ชิงที่มีความหยิ่งผยองก็ขาดสติ เขาเอื้อมมือชี้ไปที่กู่เทียนหมิงและตะคอกกลับทันที