ราชาซากศพ - บทที่ 51 ตระกูลซุย
บทที่ 51 ตระกูลซุย
“สารเลว ดูสิ่งที่เจ้าทำลงไปซะ ! ตระกูลซุย ขึ้นชื่อว่าไม่มีสุนัขไร้ประโยชน์ แต่สุนัขตัวนี้ เห็นทีจะต้องใส่ใจกับมันเสียหน่อย!
ชายที่นั่งอยู่บนแท่นสูงสุด คือผู้นำตระกูลซุยคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นบิดาของซุยฮ่าว เขาเป็นนักรบที่ทรงพลังมาก แต่มีนิสัยตั้งตนเป็นใหญ่ อารมณ์แปรปรวน และชอบทำตามอำเภอใจ
เมื่อได้ยินข่าวลือภายนอก เขาจึงรู้ว่านั่นคือ ซุยฮ่าวเจ้าลูกโง่เขลา ดังนั้นเขาจึงลุกพรวดพราดทันที และเริ่มเรียกระดมคน เพื่อคิดรับมือกับปัญหานี้ ว่าจะจัดการกับเถาจุนและซุยฮ่าวอย่างไรดี ดังนั้นทุกคนในตระกูลจึงมารวมตัวกันที่นี่ รวมถึงซุยฮ่าว ตัวเจ้าปัญหา
“ผู้อาวุโสทั้งหลาย มันเป็นความผิดของข้า ข้านั้นละเลยระเบียบวินัย หย่อนยานเกินไป จึงทำให้สุนัขตัวนี้ สร้างหายนะครั้งใหญ่ บอกหน่อยว่า เราว่าจะจัดการกับสุนัขตนนี้อย่างไรดี? หลังจากดุด่าซุยฮ่าวอย่างรุนแรง ซุยชวนจุนมองไปที่ผู้อาวุโสในที่แห่งนี้ และถามว่าจะจัดการกับซุยฮ่าวอย่างไรดี
“ข้า … ข้าผิดไปแล้ว! ข้าขอร้องให้ท่านพ่อยกโทษให้ลูกด้วย ครั้งหน้าข้าไม่กล้าแล้ว!” เมื่อได้ยินคำพูดของซุยชวนจุน ซุยฮ่าวก็ยิ่งลุกลี้ลุกลน เขาคิดว่าครั้งนี้ท่านพ่อโกรธมาก ผู้คนต่างพากันหวาดกลัว จนแทบล้มทั้งยืน และขอร้องให้ละเว้นซุยฮ่าว
“อ๊ะ..จัดการอย่างไร ท่านจะลงโทษลูกชายจริง ๆ หรือ ท่านพี่! ซุยฮ่าวคือหลานชายที่สำคัญที่สุดของเรา ”
นี่คือเสียงของผู้อาวุโสส่วนใหญ่ในปัจจุบัน แน่นอนว่าพวกเขาเพียงแค่พูดในใจเท่านั้น ไม่มีใครกล้าพูดต่อหน้าซุยชวนจุนแม้แต่คนเดียว เกรงว่าหากพูดไปแล้วผิดหูตนเองอาจจะได้ไปพูดหน้าหลุมศพ
หลังจากความเงียบงัน และเสียงของซุยชวนจุนเงียบลงไป ผู้อาวุโสทุกคนในห้องนี้ ไม่แม้แต่จะแสดงสีหน้า แต่ดวงตาของพวกเขานั้นอยู่ไม่นิ่ง แต่ไม่มีเสียงใด ๆ เปล่งออกมา เมื่อซุยชวนจุนเห็นฉากนี้ เขาพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
ตั้งแต่ซุยชวนจุนเข้ารับตำแหน่งผู้นำตระกูล เมื่อมีการประชุมในห้องโถง เขาเป็นผู้มีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว สิ่งที่เขาพูดต้องฟังและทำตาม เมื่อเปรียบเทียบกับตระกูลอื่น ๆ ที่มักจะมีการโต้เถียงกันไม่รู้จบระหว่างผู้อาวุโส ซุยชวนจุนนั้นไม่ชอบ เขาชอบความรู้สึกที่ทุกคนให้ความเคารพตนเอง
“ข้ารู้ว่า ทุกท่านกังวล ถ้าเราไม่มีความเห็นอื่น ก็ปล่อยให้เป็นข้าที่ตัดสินใจเถอะ! ซุยฮ่าวไปสำนึกผิดที่ซุยหยุนและตั้งสมาธิอยู่กับการฝึกฝน จนกว่าจะทะลุทะลวงขั้นนักรบได้ ทุกท่านคิดว่าอย่างไร?
เห็นด้วยหรือไม่? ซุยชวนจุนแสร้งทำเป็นครุ่นคิดสักพัก เขาก็เปิดปากพูดสิ่งที่ตนเองคิดในใจ เห็นได้ชัดว่าเป็นการขอความคิดเห็น แต่จริง ๆ แล้วเขาตัดสินใจแล้ว ห้ามใครขัดขวาง
“ข้าคิดเอาไว้อยู่แล้วเชียว คนไร้ยางอาย” ภายในใจของผู้อาวุโสคนหนึ่งครุ่นคิดอยู่ภายในใจ
“เจ้าเรียกสิ่งนี้ว่าการลงโทษ เพ่ย! ไร้ยางอายเกินไปแล้ว” ภายในใจของทุกคนในที่แห่งนี้ยกเว้นซุยชวนจุน ต่างก็ขบคิดไปในทางเดียวกัน ว่าเขานั้นไร้ยางอายจริง ๆ
หลังจากฟังคำพูดของซุยชวนจุน ทันใดนั้นจิตใจของผู้คนก็แตกกระเจิง และใบหน้าของพวกเขาก็แสดงออกด้วยความประหลาดใจ ผิดกับสิ่งที่คิดอยู่ภายใน
ทุกคนต่างก็รีบประจบประแจงซุยชวนจุน
“ข้อเสนอของท่านผู้นำตระกูล เป็นสิ่งที่ดีมากให้ ซุยฮ่าว เข้าสำนึกผิด เพื่อฝึกฝนทะลวงด่าน อืม ดีจริง ๆ”
อาวุโสคนแรกเอ่ยสนับสนุน
“ใช่…มันเป็นความคิดที่ดีมากจริง ๆ ท่านผู้นำ”
อาวุโสรองอ้าปากตาม จากนั้นทุกคนที่เหลือก็กระหึ่มประจบประแจงตาม
“ข้าเห็นด้วย!”
“ข้าก็เห็นด้วย!” ส่วนที่เหลือรีบเปิดปากเห็นชอบ เพราะกลัวว่าหากช้าเกินไป อาจจะทำให้ซุยชวนจุนไม่พอใจ
ซุยฮ่าวถูกผู้คุ้มกันสองคนพาตัวไป ในสายตาของคนอื่นนี่คือของขวัญ แต่ในความคิดของเขานั้นมันเป็นการลงโทษที่ร้ายแรงมาก เพราะนิสัยของเขาไม่ใช่คนที่สามารถสงบสติอารมณ์ได้นาน
มิฉะนั้นป่านนี้ความก้าวหน้าของเขาคงจะนำหน้าผู้อื่นไปแล้ว คงไม่อยู่ในระดับนักสู้ทั่วไป
หลังจากที่ซุยฮ่าวถูกนำตัวไป ซุยชวนจุนใช้มือข้างเดียวนวดหน้าผากของเขา ใบหน้าของเขาเหนื่อยล้าและกล่าวขึ้นว่า “ตอนนี้ตระกูลทั้งหลายต่างก็เข้าใจเรื่องนี้ผิดไปมาก ทั้งตระกูลเย่และตระกูลหลิวจะไม่พลาดโอกาสนี้อย่างแน่นอนพวกเขาจะราดน้ำมันลงในกองเพลิง และโจมตีเราอย่างรุนแรง บอกทีว่าตอนนี้เราจะแก้ไขสถานการณ์นี้ได้อย่างไร”
สำหรับคำพูดของซุยชวนจุนนั้นไร้ซึ่งคนตอบสนอง หลังจากนั้นไม่นานร่องรอยของความไม่ยินยอมก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของซุยชวนจุน และจากนั้นก็มีคนรีบเสนอว่า “เช่นนั้นเราสร้างความเข็มแข็งให้กองกำลังของเรามากยิ่งขึ้นดีหรือไม่
“ในน้ำเสียงมีร่องรอยของความลังเลเจืออยู่
“อืม! นี่คือข้อเสนอที่ดี ข้าจะให้รางวัลผู้ที่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็วในระยะนี้!” เมื่อได้ยินข้อเสนอของผู้อาวุโส ซุยชวนจุนพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เป็นไปได้!”
“ใช่!” เมื่อเห็นว่าซุยชวนจุนพอใจกับข้อเสนอนี้เป็นอย่างมาก ทุกคนก็ไม่กล้าคัดค้าน ไม่ว่าในกรณีใด ๆ พวกเขาก็ต่างมุ่งหวังในการผลิตนักรบที่แข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
ภายในเมืองเฮยสุ่ยกองกำลังทั้งหมดใช้โอกาสนี้พยายามอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างนักรบและเพิ่มความแข็งแกร่ง ปกติแล้ว หลาย ๆ กองกำลังมีความสุขมากกับเรื่องตลกที่ถูกสร้างโดยตระกูลซุยและตระกูลกู่ นอกจากนี้ยังเหยียดหยามพวกเขาอย่างรุนแรง
เป็นผลให้ทั้งสองตระกูลได้รับความอับอายในเหตุการณ์ครั้งนี้
เมื่อเทียบกับตระกูลซุยแล้ว ตระกูลกู่นั้นแย่กว่ามาก พวกเขานั้นไม่มีกองกำลังที่แข็งแกร่งเทียบกับตระกูลซุยไม่ได้ แต่ยังรวมถึงทหารที่เข้าร่วมกับตระกูลที่เหลืออยู่ ก็ไม่อาจกล้าหาญได้เท่ากับตระกูลซุยและรวมทั้งความก้าวหน้าในศิลปะการต่อสู้
ส่วนกู่ชิงนั้นถูกตีจนขาหัก ถูกห้ามไม่ให้ออกไปจากห้อง เนื่องจากต้องรักษาตัว เมื่อเขารักษาจนหายดีแล้ว ถ้าไม่ใช่ลูกชายของหัวหน้าตระกูลกู่ คาดว่าผู้เฒ่าคงอยากจะฉีกเป็นชิ้น ๆ
หลังจากรู้สถานการณ์ที่น่าเศร้าของตระกูลซุยและตระกูลกู่ หลินเว่ยและคนอื่น ๆ ก็วางใจทันที เมื่อรู้ว่าในช่วงเวลานี้ทั้งสองตระกูลไม่สามารถมายุ่งวุ่นวายกับพวกเขาได้
………..
ภายในค่ายผู้ลี้ภัยในเมืองเฮยสุ่ย เป็นสถานที่ห่างไกลความเจริญ สถานที่ที่ไม่มีใครต้องการอยู่และไม่ต้องการที่จะมาที่นี่ โดยที่เจ้าเมืองเฮยสุ่ย แบ่งสถานที่นี้ออก เป็นพิเศษ เพื่อรองรับผู้ลี้ภัยและให้พวกเขาตั้งกระโจมชั่วคราวอยู่ที่นี่
มีผู้ลี้ภัยจำนวนมาก แต่เมืองเฮยสุ่ยนั้นมีขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถรองรับผู้คนได้หลายล้านคนในพื้นที่นี้ โดยปกติแล้วดินแดนส่วนใหญ่ถูกแบ่งออกโดยกองกำลังต่าง ๆ และไม่มีใครต้องการที่จะแบ่งปันสิ่งนี้ให้กับผู้อื่น นอกเสียจากว่า จะเข้าร่วมกับพวกเขา
อีกวิธีหนึ่งคือการซื้อขายดินแดน
ค่ายทหารรับจ้างโลกันตร์ไม่ใช่ค่ายที่ใหญ่ที่สุดในค่ายผู้ลี้ภัย แต่ก็ไม่เล็กที่สุด นายทหารจำนวนหลายพันคนสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย ทันทีที่พวกเขาอพยพเข้ามา ก็อยากจะรับสมัครเหล่าทหารเพื่อให้เข้ามาอยู่ในค่ายของตน
เนื่องจากมีนักรบขั้นสามหลายร้อยคน ส่วนที่เหลือเป็นนักรบที่แข็งแกร่ง เมื่อใคร ๆ มองดูก็น้ำลายไหล อยากได้มาอยู่ในการครอบครอง
สำหรับคนที่มาทาบทามเหล่านี้ เถาจุนปฏิเสธอย่างสุภาพ และกล่าวล้อเล่นว่า ที่นี่คือเมืองหลวงแห่งโชคลาภของหลินเว่ย ถ้าเขากล้าหลบหนีออกไปเข้าร่วมกับกองกำลังอื่น หลินเว่ยจะสั่งสอนให้รู้ถึงความเป็นลูกผู้ชายแน่นอน
ในเช้าวันนี้กู่เทียนหมิงและกู่หยุนมาถึงนอกค่ายทหารของเถาจุน ใบหน้าของพวกเขาเหนื่อยล้า และดวงตาของพวกเขาแดงก่ำ คิดว่าพวกเขาคงไม่ได้พักผ่อนทั้งคืน และใบหน้าของกู่หยุนก็ซีดเซียวมาก