ราชาซากศพ - บทที่ 52 เข้าร่วมกองทหารรับจ้างโลกันตร์
บทที่ 52 เข้าร่วมกองทหารรับจ้างโลกันตร์
“ผู้นำเถาจุน ท่านอยู่ที่นั่นหรือไม่? ข้ามีเรื่องรบกวนอยากจะพูดคุยกับท่าน” สองคนจ้องมองไปที่กระโจมของเถาจุนด้วยความลังเลเป็นเวลานาน จากนั้นกู่เทียนหมิงก็ตะโกนขึ้น
ไม่นานนัก เถาจุนก็เปิดกระโจมออกมา และเชิญสองพ่อลูกตระกูลกู่ให้เข้ามาข้างใน
หลังจากทั้งสองฝ่ายนั่งลง กู่เทียนหมิงและลูกชายของเขามองหน้ากัน จากนั้นก็พยักหน้าโดยปริยายและมองไปที่เถาจุนอย่างจริงจัง
“อืม! มีอะไรหรือ พูดมาเถอะ ท่านมองหน้าข้าแบบนี้ เกิดปัญหาอะไรขึ้น” เถาจุนจ้องตาของพวกเขากลับ
“หัวหน้าเถา เราอยากถามอะไรท่านสักหน่อย ข้าหวังว่าท่านจะสามารถช่วยเหลือเราได้” กู่เทียนหมิงกล่าว
“พูดมาสิ! ถ้าข้าช่วยได้ ข้ายินดีทำ” เมื่อได้ยินคำพูดของกู่เทียนหมิง เถาจุนก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่ทั้งสองคนก็ไม่กล้าพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ
“เราอยากจะขอให้ ท่านรับพวกเราเข้าไปในค่ายทหารรับจ้างโลกันตร์ ในตอนนี้พวกเราไม่สามารถกลับไปที่ตระกูลกู่
ได้แล้ว ทางเลือกที่ดีที่สุด คือการเข้าร่วมกับค่ายทหารรับจ้างโลกันตร์ ” ดวงตาของกู่เทียนหมิงจับจ้องไปที่เถาจุน
และใบหน้าของเขาก็เคร่งเครียดจริงจัง
เฮ้อ ทำให้ข้ากลัวแทบตาย คิดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นเสียอีก หลังจากฟังคำพูดของกู่เทียนหมิง เถาจุนก็หายใจอย่างโล่งอกทันที และแสดงรอยยิ้มที่ผ่อนคลายบนใบหน้าของเขา
“ตกลงแล้วหรือ?” เมื่อได้ยินคำพูดของเถาจุน กู่เทียนหมิงถามอย่างไม่แน่ใจ
“แน่นอน” เถาจุนพยักหน้า จากนั้นก็ยกถ้วยชาในมือขึ้น แล้วพูดกับกู่เทียนหมิงและกู่หยุ่นพ่อลูกว่า “ยินดีต้อนรับเข้าร่วมค่ายทหารรับจ้างโลกันตร์”
ทั้งสองพ่อลูกกู่เทียนหมิงรีบดื่มชาและกล่าวด้วยความขอบคุณ จากนั้นดื่มชาจนหมด
กู่เทียนหมิงและลูกชาย พร้อมด้วยนักรบที่รอดชีวิตสิบคน ได้เข้าร่วมทหารรับจ้างโลกันตร์ ซึ่งสิ่งนี้ไม่ได้ดึงดูดความสนใจของหลินเว่ย เพราะในขณะนี้เขากำลังดูดซับแก่นคริสตัล จึงไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
ในตอนแรกที่เมืองหมั่นฉี ก่อนจะเกิดสงครามสัตว์อสูร หลินเว่ยนั้นมีแก่นคริสตัลจำนวนมาก ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นแก่นคริสตัลระดับต่ำ แต่หากว่าสามารถรวบรวมได้มาก ก็จะสามารถเพิ่มคุณภาพได้เช่นกัน
ถูกตัองเขาดูดซับแก่นคริสตัลจากค่ายทหารรับจ้างโลกันตร์ และได้มาจากหลังการสังหารกองทัพสัตว์อสูร เขานั้นดูดซับมันมาก่อนหน้านี้ หลังจากนั้นเมื่อมาถึงที่เมืองเฮยสุ่ย เขานั้นได้หาซื้อมาเพิ่มจำนวนหนึ่ง และหลินเว่ยได้เลื่อนระดับ
ทักษะการคืนชีพนักรบโครงกระดูก และพื้นที่มิติเป็น ระดับ 4 ในเวลาเดียวกัน มันใช้จำนวนเงินมหาศาล! ปกติแล้วเขาจะมอบให้เถาจุนเป็นคนออกไปกว้านซื้อ แต่เมื่ออพยพออกจากเมืองหมั่นฉีแล้ว ทั้งหลินเว่ยและเถาจุนต่างกลายเป็นคนที่ยากจน
ไม่สามารถหาเงินได้แม้เพียงเหรียญทองแดง พวกเขายากจนเหมือนผ้าขี้ริ้ว และกระเป๋าของพวกเขานั้นสะอาดกว่าใบหน้าของพวกเขาเสียอีก ดังนั้นหลินเว่ยจึงขูดรีดมาจากหลินเอ้อ และหลาย ๆ คน อย่างไร้ยางอาย
โชคดีที่หลินเว่ยสามารถรวบรวมได้ครบถ้วนตามเป้าหมาย
เมื่อเทียบกับการเลื่อนขั้นก่อนหน้านี้ ขั้น 4 นั้นแตกต่างกันมาก ขั้น 0 เป็นเพียงจุดเริ่มต้น ในขณะที่ ขั้นที่ 1 ถึง ขั้นที่ 3 เป็นขั้นพื้นฐาน อย่างไรก็ตาม ขั้นที่ 4 คือ ความน่ากลัวของทักษะการคืนชีพของโครงกระดูกจริง ๆ
เดิมทีการเลื่อนระดับทักษะการฟื้นคืนชีพของโครงกระดูก ขึ้นอยู่กับระดับของทักษะ และความแข็งแกร่งทางจิตใจ อย่างไรก็ตาม เมื่อเลื่อนระดับมาถึง ขั้นที่ 4 กฎนี้ ได้ถูกทำลาย
ตราบใดที่พลังทางจิตของหลินเว่ยแข็งแกร่งเพียงพอ และต้องการเรียกโครงกระดูกให้ได้มากที่สุด เขาก็สามารถเรียกโครงกระดูกได้มากเท่าที่จะทำได้ อย่างไรก็ตาม ระดับขั้นของพลังของนักรบโครงกระดูกที่เขาจะสามารถอัญเชิญได้นั้น
ยังคงมีจำกัดของการคืนชีพโครงกระดูกอยู่
พูดง่าย ๆ คือ ศิลปะการคืนชีพของโครงกระดูกเป็นสื่อกลาง ในขณะที่พลังทางจิต เป็นเพียงพลังงานของการอัญเชิญ ถ้าหลินเว่ยบังคับให้เรียกโครงกระดูกที่มีขั้นสูงกว่า ระดับพลังของตนเอง ผลที่ตามมาคือเขาจะกลายเป็นคนเสียสติ ไร้สามัญสำนึก ถึงไม่ตายก็จะกลายเป็นคนพิการทางสมอง
สำหรับพื้นที่มิตินั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ยกเว้นว่าพื้นที่นั้นจะมีเสถียรภาพมากขึ้น และสามารถรองรับกองกำลังที่แข็งแกร่งได้ จะว่าไปแล้วการเปลี่ยนแปลงคือการสร้างพื้นที่ที่กว้างใหญ่มากขึ้น เช่นกระเป๋ามิติ ซึ่งจะสามารถใช้เก็บสินค้าได้มากขึ้น
ส่วนชายชราหมิง ดูคล้ายกับว่าเขาจะพักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อครั้งที่หลินเว่ยได้รับการเลื่อนขั้น ชายชรานั้นออกมาเพื่อตรวจดูตามจิตใต้สำนึก หลังจากนั้นไม่นานเขาก็เงียบลงไปอีกครั้ง ไม่ว่าหลินเว่ยจะเรียกอย่างไรก็ไม่มีการตอบสนองเลย
หลังจากการเลื่อนขั้น ทักษะการคืนชีพของนักรบโครงกระดูก และระดับของพื้นที่มิติ ได้รับการเลื่อนระดับ หลินเว่ยก็ออกไปเดินเล่น และพบว่าเถาจุนจัดการค่ายได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย หลังจากพูดคุยกับเถาจุนไม่กี่คำ
หลินเว่ยก็กลับเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง
ด้วยการปรับปรุงพื้นที่มิติ การฝึกฝนพลังปราณ ซึ่งมาถึงขั้นสาม ทำให้หลินเว่ยสามารถฝึกฝนมันเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง แม้ว่าความสามารถในการต่อสู้ของเขา ในด้านศิลปะการต่อสู้ จะดูเรื่องเป็นธรรมดา ๆ และเขายังไม่ได้ปรับปรุงความสามารถทางด้านศิลปะการต่อสู้อย่างแท้จริง เหมือนกับอัจฉริยะบางคน แต่ความแข็งแกร่งของนักรบโครงกระดูก ก็เป็นตัวช่วยที่หลินเว่ยนั้นขาดไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเพิ่มขึ้นของอายุขัยที่เพิ่มขึ้นในแต่ละระดับการเลื่อนขั้น นับว่าเป็นผลประโยชน์ที่ยอดเยี่ยม
อย่างไรก็ตาม ศิลปะการฟื้นคืนชีพของโครงกระดูก เป็นเพียงการปรับปรุงประสิทธิภาพการต่อสู้ แต่การฝึกฝนลมปราณนั้นจะติดอยู่กับตนเองอย่างถาวร หากวันหนึ่ง หลินเว่ยไม่สามารถใช้ทักษะศิลปะการฟื้นคืนชีพโครงกระดูกได้แล้วละก็ หลินเว่ยก็ยังคงมีการฝึกฝนลมปราณอย่างไม่ขาด
ในขณะที่ผู้คนค่อย ๆ สงบลง และกองกำลังหลักต่าง ๆ พยายามอย่างเต็มที่ ในฝึกฝนและรอให้กองทัพสัตว์อสูรซาลงไป ข่าวที่น่าตกใจก็ระเบิดไปทั่วเมืองเฮยสุ่ยทันที
เนื่องจากขนาดของกองทัพสัตว์อสูรนั้นมีขนาดใหญ่กว่าที่ผ่านมา ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันเริ่มแบ่งแยกดินแดนของตน ในดินแดนที่พวกมันยึดครองได้สำเร็จ และเผยความตั้งใจที่จะอาศัยอยู่อย่างถาวร
ตั้งแต่นั้นมาเมืองเฮยสุ่ยก็ถูกสัตว์อสูรล้อมรอบโดยสิ้นเชิง ตัดขาดการเชื่อมต่อระหว่างเมืองเฮยสุ่ย กับเมืองอื่น ๆ ทำให้เมืองเฮยสุ่ยกลายเป็นเมืองที่เงียบเหงา ไม่ว่าผู้คนจะเข้ามาจากข้างนอก หรือออกไปจากข้างใน ก็ต้องผ่านความยากลำบากมากมาย
ในบรรดาสัตว์อสูร มีจำนวนสัตว์อสูรขั้นสูงมากมาย
อย่างไรก็ตาม สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่หลินเว่ยสนใจ ฟ้าจะถล่มดินจะทลาย ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขา
ตราบใดที่คนเรายังต้องใช้ชีวิตเหมือนเดิม เมื่อมีชีวิตก็ต้องใช้เงิน ดังนั้นพวกเขายังคงต้องทำงาน
โดยปกติแล้ว มาตรฐานการครองชีพของเมืองเฮยสุ่ยนั้น เทียบไม่ได้กับเมืองหมั่นฉี ด้วยจำนวนคนที่เพิ่มขึ้น ความต้องการก็เพิ่มขึ้น ราคาสินค้าสูงขึ้น และเงินที่ได้รับก็เพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่นในเมืองหมั่นฉี แก่นคริสตัลขั้นศูนย์
สามารถซื้อได้ในราคาเหรียญเงินหนึ่งเหรียญ ที่นี่ต้องใช้เหรียญเงินอย่างน้อยห้าเหรียญ ซึ่งมากกว่าเมืองหมั่นฉีห้าเท่า วัสดุหายากอื่น ๆ ก็เพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า และ 100 เท่า สำหรับสินค้าที่ขาดตลาด
ด้วยวิธีนี้ ทำให้ค่ายทหารรับจ้างโลกันตร์ไม่สามารถอยู่ได้เฉยๆ ได้ เพราะเถาจุนนั้น ใช้เงินเปลี่ยนเป็นแก่นคริสตัลเพื่อให้ หลินเว่ยดูดซับ ส่วนวัสดุที่เหลืออยู่ สามารถใช้ได้เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นหลังจากฝึกฝนสองสามวัน
เถาจุนจึงจัดคนให้แบ่งกลุ่มเป็นกลุ่มเล็ก ๆ และเริ่มออกรับงานข้างนอก
นายทหารหลายคนออกไปสังหารกองทัพสัตว์อสูรจำนวนมาก พวกเขาไม่เพียงแต่สังหารสัตว์อสูร แต่ยังได้รับการว่าจ้างจำนวนมาก ทั้งในและนอกเมือง เมื่อไม่กี่วันก่อนที่พวกเขาจะออกไป
ในตอนค่ำ ณ ค่ายชั่วคราวของหลินเว่ย กระโจมของหลินเว่ยนั้น ตั้งอยู่ใจกลางค่าย จะมีเสียงดังเพียงเล็กน้อย และเงียบสงบมากกว่า
หลินเว่ยนั่งสมาธิงอยู่ในกระโจม พร้อมกับรอยยิ้มที่สงบบนใบหน้าของเขา ในตอนนี้เขากำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ หลังจากดูดซับหินหยวนไปจำนวนมาก เขาก็ก้าวหน้าขึ้น นี่ไม่ได้หมายความว่า พรสวรรค์ของเขาโดดเด่น
แต่ตรงกันข้ามพรสวรรค์ด้านศิลปะการต่อสู้ของเขา นั้นธรรมดามากถึงมากที่สุด