ราชาซากศพ - บทที่ 53 ออกล่า
บทที่ 53 ออกล่า
อย่างไรก็ตาม ช่วงของการทะลวงด่านของการฝึกฝนพลังลมปราณ และความก้าวหน้าระดับของพื้นที่มิติจะมีความสัมพันธ์กัน
ระดับของพื้นที่มิติและความก้าวหน้าทางศิลปะการต่อสู้ จะเกิดขึ้นพร้อมพลังเต๋าตามธรรมชาติ เหตุผลหลักที่หลินเว่ยจ่ายเงินจำนวนมาก เพื่อเพิ่มพลังลมปราณในร่างของตนเอง เนื่องจากการสะสมพลังของเขานั้นไม่เพียงพอ และรากฐานของเขาไม่มั่นคง ท้ายที่สุดความสำเร็จของเขานั้นดีขึ้นด้วยยาเม็ด
ในตอนนี้หลินเว่ยได้รับการเลื่อนขั้นด้วยยาเม็ด และความช่วยเหลือของพลังหยวนที่เขาเพิ่มเข้าไป
เขาค่อย ๆ หายใจออกอย่างช้า ๆ และมีร่องรอยของแก่นพลัง ปรากฏอยู่ในดวงตาที่เปิดกว้างของหลินเว่ย หลังจากนั้นสักครู่มันก็ค่อย ๆ สลายไป
หลังจากนั้นเขาก็ควบคุมพลังลมปราณในร่างกายของเขา เพื่อการเลื่อนระดับ หลังจากทะลวงด่านสำเร็จ สภาพของหลินเว่ยก็เต็มไปด้วยสิ่งสกปรกที่สะสมในร่างกาย
จากนั้นเขาถอดเสื้อผ้าไว้ในอ่างน้ำที่เตรียมไว้ และทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่เกิดจากการล้างไขกระดูก และล้างเส้นเลือดของตนเอง
หลังจากนั้นเขาก็ใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ที่ดูสะอาดตา และเดินออกไปจากกระโจมอย่างช้า ๆ
“ท่านผู้นำ!” ที่ประตูค่าย ทหารยามสองคนเมื่อเห็นหลินเว่ยออกมา เขาตะโกนอย่างตื่นเต้นและรีบแสดงความเคารพ
“ดี!”
หลินเว่ยพยักหน้า และเดินออกจากค่าย หลังจากนั้นมีคนเข้ามาทำความสะอาดกระโจมให้เขา หลินเว่ยไม่ได้ตั้งใจที่จะไปหาเถาจุน เขาเคยชินกับการอยู่คนเดียว
และความลับที่เขาพกติดตัวไปด้วย ก็ไม่อาจเปิดเผยให้คนอื่นรู้ได้ จากนั้นเขาขอแผนที่และเดินทางออกจากเมือง
เป้าหมายของหลินเว่ย คือ ภูเขาม่อเทียนหลิง ซึ่งเป็นสถานที่รวมตัวของสัตว์อสูร ในตอนนี้มีกองกำลังใหม่เข้ารวมกลุ่มกับสัตว์อสูร ทำให้หลินเว่ยตั้งตารอ
ม่อเทียนหลิงอยู่ห่างจากเมืองเฮยสุ่ยเกือบสิบหกกิโลเมตร ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหมั่นฉี
เมื่อร่างของหลินเว่ยปรากฏตัวที่เชิงเขาม่อเทียนหลิง ตอนเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ระหว่างทางมีนักรบจำนวนไม่มากนัก
แม้ว่าเมืองเฮยสุ่ยจะส่งนักรบจำนวนมาก เพื่อไล่ล่าและสังหารสัตว์อสูร แต่ผลที่ได้ก็คือ ไม่ได้ทำให้จำนวนของสัตว์ลดลงไปเลย
อันดับแรกจำนวนสัตว์อสูรนั้นเกิดขึ้นอย่างน่าตกใจ ประการที่สองเป็นเพราะสัตว์อสูรไม่ใช่สัตว์ธรรมดา ประสิทธิภาพการต่อสู้ของพวกมันนั้นแข็งแกร่งกว่าของมนุษย์ทั้งหมด
ยกเว้นนักรบจำนวนเล็กน้อยที่ มีพลังฝึกฝนที่ค่อนข้างจะดีมาก แต่ส่วนมากจะมีน้อยมากที่สามารถสังหารสัตว์อสูรได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้ในม่อเทียนหลิงน้อยมากมาจนถึงทุกวันนี้ ในระยะที่ผ่านมาหลินเว่ยไม่ได้พบผู้ฝึกศิลปะการต่อสู้แม้แต่คนเดียว หลินเว่ยจึงต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
ตามกฎของการเลื่อนขั้น ของทักษะศิลปะการคืนชีพนักรบโครงกระดูกทั้งหมดถูกเรียกออกมาจำนวนสิบสองตัว หลินเว่ยนั้นถูกห้อมล้อมด้วยโครงกระดูกสัตว์อสูร ขั้นสาม ระดับเก้า จำนวนแปดตัว และโครงกระดูกขั้นสี่ จำนวนสี่ตัว ทั้งสองฝ่ายนั้นมีระดับขั้นพลังที่แตกต่างกัน
โครงกระดูกขั้นสี่เหล่านี้ หลินเว่ยได้รับมาในช่วงสงครามสัตว์อสูร แต่น่าเสียดายที่ไม่สามารถเรียกโครงกระดูกของสัตว์อสูรยักษ์ภูเขาได้ โชคดีที่หลินเว่ยได้รับแก่นคริสตัลขั้นสี่มาจากมันแทน
โครงกระดูกสัตว์อสูรทั้งสิบสองตัว ที่ถูกอัญเชิญออกมานั้นจะมีขั้นระดับพลังที่แตกต่างกัน เนื่องจากความแข็งแกร่งทางจิตใจของหลินเว่ยมาถึงจุดสูงสุดของระดับมนุษย์
เนื่องจากการฝึกฝนลมปราณได้รับการยกระดับจนถึงระดับกลาง มีแนวโน้มที่จะทะลุ ถึงระดับปฐพี อย่างไรก็ตาม หลินเว่ยยังไม่สามารถทะลวงระดับแรกได้ คิดว่าเมื่อเขาฝึกฝนลมปราณทะลวงระดับแรกได้สำเร็จ พลังจิตของเขาจะเลื่อนระดับ และสามารถทะลวงด่านได้ในระยะเวลาอันสั้น
หลินเว่ยขี่หลังกิ้งก่าเพลิง และทิ้งให้แมวเงาดำสัตว์ที่ว่องไวทั้งสองตัวไว้เบื้องหลัง ส่วนที่เหลือเป็นเพียงโครงกระดูกซึ่งเดินเรียงกันเป็นแถวโดยตรงและเดินฝ่าเข้าไปในม่อเทียนหลิง
ตามที่คาดไว้ มันเป็นดินแดนบริสุทธิ์ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา จำนวนสัตว์อสูรนั้นมีมากมายนับไม่ถ้วน เพียงไม่กี่สิบเมตรข้างหน้าก็สามารถพบกับสัตว์อสูรที่มีขั้นต่ำ อย่างเม่น ขั้นสาม
และพบกับสิงโตอสูรที่กำลังต่อสู้กับกระต่ายอสูร เป็นเรื่องธรรมดาที่หลินเว่ยสามารถพบเจอได้ในป่าแห่งนี้
เมื่อเห็นดังนั้น หลินเว่ยจึงส่งกองทัพโครงกระดูกของเขาออกไป ประกอบด้วยโครงกระดูกสัตว์อสูรขั้นสามและขั้นสี่จำนวนเก้าตัว จากนั้นพวกมันรีบห้อตะบึงวิ่งออกไปอย่างกล้าหาญพุ่งไปที่เม่นตนหนึ่ง
“ฮึบ!” เมื่อเห็นโครงกระดูกทั้งเก้าตัวที่แผ่ไอสังหารมาที่ตนเอง เม่นอสูรก็หวาดกลัวแทบจะปัสสาวะราด ดวงตาทั้งสองจ้องมองออกไป มันร้องลั่นและวิ่งหนี
มันวิ่งออกไปอย่างไม่คิดชีวิต
“แซ่ดๆ เสียงวิ่งแบบไม่รู้ทิศทางของเม่นอสูรดังขึ้น!” ไม่รู้ว่าพืชพันธุ์ต่าง ๆ ถูกทำลายไปมากเท่าใด ในที่สุดเม่นที่วิ่งห่างออกไปหลายร้อยเมตรก็ถูกจับได้ ความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างสัตว์อสูรและโครงกระดูกสัตว์อสูร
คือความแข็งแกร่งทางกายภาพและศักยภาพในการระเบิดพลัง หลังจากการวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว เม่นอสูรนั้นสูญเสียความเร็ว เนื่องจากการใช้พลังงานมากเกินไป
อย่างไรก็ตามสัตว์โครงกระดูกของหลินเว่ย ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีหน้าแดง หอบหายใจ และไร้ลมหายใจ
หลังจากนั้นหลินเว่ยก็เก็บชิ้นส่วนของสัตว์อสูรไว้
เมื่อเขาได้กินอิ่มเพียงพอ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องทำงานหาเงินต่อไป ตอนนี้เขาอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมาก มีอยู่หลายสิ่งที่รอให้เขากลับไปจัดการ
แม้ว่าการพัฒนาทักษะของเขา จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่เขาก็ต้องใช้เงินออกไปเพื่อซื้อมันมา เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง
หากสามารถเลื่อนระดับจาก 4 กลายมาขั้น 5 ของทักษะศิลปะการคืนชีพนักรบโครงกระดูกจะเกิดอะไรขึ้น เราสามารถอัญเชิญโครงกระดูกสัตว์อสูรจำนวนไม่ถ้วนขึ้นมาได้ แต่ต้องแลกด้วยการดูดซับผนึกวิญญาณ จำนวน 100 ชิ้น
ผลึกวิญญาณชิ้นหนึ่งเทียบเท่ากับแก่นคริสตัลขั้นห้า แม้ว่าแค่ต้องการที่จะดูดซับและเลื่อนระดับเพียงแค่หนึ่งขั้น แต่หลินเว่ยนั้นไม่ได้เลี้ยงสัตว์อสูรขั้นห้าไว้ที่บ้านของตนเอง ฉะนั้น เขาจะไปหาสัตว์อสูรขั้นห้า มาจากที่ไหนมากมาย?
ยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าสัตว์อสูรขั้นห้าจะมีแก่นคริสตัลเหมือนกันหมดทุกตัว
“จี๊ด ๆ!” ทันใดนั้น หลินเว่ยก็ได้ยินเสียงร้องแหลมดังมาจากระยะไกล ๆ ซึ่งทำให้ความคิดของหลินเว่ยนั้นถูกขัดจังหวะทันที เขาจับจ้องไปและเห็นหัวของสัตว์ร้ายยื่นออกมาจากพงหญ้าในระยะไกล ดวงตาของเขากลอกไปทั่วร่างของมัน
หลินเว่ยจำได้ทันทีว่ามันคือหัวของสัตว์อสูร แต่อีกฝ่ายเป็นสัตว์ชนิดใด ตนไม่สามารถบอกได้ เพราะไม่เห็นร่างของมัน
หนูศิลามองไปที่หลินเว่ยเป็นเวลานาน จากนั้นก็รีบหลบซ่อน หลินเว่ยนั้นต้องการจะเห็นว่ามันคือสัตว์อสูรชนิดใด แต่อีกฝ่ายกลัวในความแข็งแกร่งของเขา และไม่กล้าที่จะออกมา
หลินเว่ยเห็นว่า สัตว์อสูรนี้เป็นเพียงสัตว์ตัวเล็ก ๆ ซึ่งไม่มีพิษมีภัย และไม่ได้ประโยชน์ที่จะสังหาร หากนักล่าที่มีประสบการณ์ได้เห็นฉากนี้ รับประกันได้ว่า พวกเขาจะรีบหนีไป เพราะสัตว์อสูรนั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นทหารเวรยาม
และต้องมีกองกำลังใหญ่อยู่เบื้องหลัง
แน่นอนว่า ไม่นานหลังจากที่หนูศิลาถอยกลับไป ที่พื้นดินบริเวณกว้างก็พังทลายลงไป เกิดหลุมขนาดใหญ่หลายร้อยหลุม และหลุมจำนวนนับไม่ถ้วนก็ผุดออกมามีสัตว์อสูรหนูศิลาคลานออกมาจากหลุม
ทั่วพื้นกลายเป็นสีดำในชั่วพริบตา ราวกับห่าฝนของหนูศิลาพุ่งเข้าไปที่หลินเว่ย
“บ้าเอ๊ย! อยากจะบ้าตาย แค่ตัวเดียวหรือสองตัวก็เพียงพอแล้ว ขนกันมาทั้งกองทัพเลยหรือ?” เมื่อมองไปที่กระแสของหนูศิลา ที่ไหลมาจากทุกทิศทาง ใบหน้าของหลินเว่ยก็เปลี่ยนเป็นสีเขียว หนังศีรษะของเขาชาวาบ และปากของเขากระตุก เขาเอื้อมมือไปสัมผัสเหงื่อเย็นที่หน้าผากโดยไม่รู้ตัว ส่วนขาสั่นและไร้เรี่ยวแรง
กองทัพหนูศิลา ใช่แล้ว มันคือหนูศิลาที่มีจำนวนมากราวกับห่าฝนที่ได้รับคำสั่งให้โจมตีหลินเว่ย จนไม่สามารถนับจำนวนได้ เนื่องจากสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือ กองทัพหนูศิลาขนาดมหาศาล