ราชาซากศพ - บทที่ 56 ราชาหนูศิลาขาว
บทที่ 56 ราชาหนูศิลาขาว
ตอนนี้โพรงถูกขุดออกมา ราชาหนูศิลามองไปที่หลินเว่ยอย่างดุร้าย พยายามจดจำรูปลักษณ์ของอีกฝ่าย และวางแผนที่จะแก้แค้นในภายหลัง
เมื่อมันหมุนตัวพร้อมที่จะเข้าไปในหลุม เงาดำก็แวบเข้ามา และจากนั้นมันก็รู้สึกวาบหวิว ร่างกายเบาหวิว ห้อยค้างเติ่งอยู่ในอากาศ
เมื่อมองดูปรากฏว่าเป็นโครงกระดูกแมวเงาดำ นี่เป็นเพียงโครงกระดูกแมวเงาดำ ความแข็งแกร่งของมันอยู่ในขั้นสี่ระดับหก มีโครงกระดูกแมวเงาดำขั้นสามระดับเก้าจำนวนสองตัว โครงกระดูกแมวเงาขั้นสี่นี้
รับคำสั่งให้จับตัวราชาหนูศิลา โดยโครงกระดูกแมวเงาดำพวกนี้ หลินเว่ยพบว่าหยางอี้ได้สังหารมันลงไปและ เขาก็ไม่ได้สนใจร่างของมัน ดังนั้นหลินเว่ยจึงเลือกมันให้กลายมาเป็นลูกน้องคนใหม่ของเขา
แมวเงาดำนั้นเป็นสัตว์อสูรเกิดมาเพื่อเป็นศัตรูตามธรรมชาติของหนูทุกชนิด แม้แต่ราชาหนูศิลาตนนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น แม้ว่าโครงกระดูกแมวเงาดำจะมีเพียงสัญชาตญาณในการต่อสู้ แต่ก็ไม่ลืมธรรมชาติของการสังหารหนู
ดังนั้นราชาหนูศิลาตัวนี้จึงถูกทำให้อ่อนแอลงไป โครงกระดูกแมวเงาดำกัดหางของมัน ห้อยหัวลงกลางอากาศพลิ้วไหวไปตามสายลม
หลินเว่ยคาดการณ์มานานแล้วว่าราชาหนูศิลาตัวนี้จะไม่ยอมหนีไปไหนจนจะถึงวินาทีสุดท้าย ดังนั้นเขาจึงส่งแมวเงาดำขั้นสี่และขั้นสามออกไปอีกสองตัว เพราะเขารู้ว่าราชาหนูศิลาขาวก็เป็นสัตว์อสูร อย่างน้อยขั้นห้า
มิฉะนั้นเขาจะไม่สามารถควบคุมหนูศิลาขั้นสี่ได้มากมายนับไม่ถ้วน
“จี๊ดๆ!” เป็นเรื่องธรรมดาที่ราชาหนูศิลาตนนี้จะยอมอยู่นิ่งเฉย และยังคงดิ้นรนเพื่อหลบหนี อย่างไรก็ตามสิ่งที่
หลินเว่ยคาดเอาไว้คือ ตั้งแต่ต้นจนจบราชาหนูศิลาตนนี้ ไม่ได้ใช้ทักษะความสามารถของตนเองเลยแม้แต่น้อย
ตามหลักการแล้ว หนูศิลาขั้นห้าจะมีทักษะความสามารถอย่างน้อยสองทักษะ หนึ่งคือทักษะหลัก อีกอย่าง คือทักษะระดับกลาง
หลังจากยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่า หลินเว่ยก็ได้เห็นผลลัพธ์ นั่นคือราชาหนูศิลาขาวตนนี้มีขั้นพลังอยู่ที่ขั้น 5 แต่มันนั้นไร้ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรขั้น 5 ไม่ต่างจากของหนูธรรมดาทั่วไป แม้แต่หนูศิลาขั้นศูนย์
ก็สามารถระเบิดพลังได้เป็นพัน ๆ ครั้ง
“โอ้! ข้ายังไม่เคยได้ลองกินเนื้อสัตว์อสูรขั้นห้าเลย! แม้ว่าประสิทธิภาพในการต่อสู้ของเจ้าจะอ่อนด้อย แต่ก็เหมาะกับรูปร่างของเจ้า เอาล่ะ ข้าไม่รังเกียจที่จะได้ลิ้มลองรสชาติ ‘ ข้าเบื่อเนื้อย่างเสียแล้ว กินเนื้อตุ๋นเถอะ! ”
หลินเว่ยหยิบราชาหนูศิลาสีขาวออกจากปากโครงกระดูกของแมวเงาดำ และจับหางของอีกฝ่ายด้วยสองนิ้ว ยกขึ้นไปที่ด้านหน้าของดวงตาของเขา และมองดูอย่างระมัดระวังหัวจรดเท้า เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป เขาจึงเอ่ยว่าจะนำอีกฝ่ายไปทำอาหารเย็น
“จี๊ดๆ?” เนื้อตุ๋น? เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ดวงตาของราชาหนูศิลาก็ตื่นตระหนก ขนของมันลุกชันด้วยความหวาดกลัว
“มาดูกันว่าเจ้ามีแก่นคริสตัลหรือไม่ สัตว์อสูรขั้นห้าถือว่าเป็นของดี” เมื่อเห็นท่าทางตกใจของราชาหนูศิลาขาว
หลินเว่ยก็ไม่สนใจ เขาแตะคางตนเองและพึมพำ
“เดี๋ยว … เดี๋ยว!”
“ หืม…ใครพูด?” ทันใดนั้นหลินเว่ยก็หันมามอง เสียงนั้นดังก้องอยู่ในหูของเขา เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้เขามาก แต่หลินเว่ยนั้นมองไม่เห็น ใบหน้าของเขาเริ่มมืดมน เขารีบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางโครงกระดูกและสัตว์ร้าย
และตะโกนร้องถามขึ้น
“ข้า….” เสียงพูดคุยดังขึ้นอีกครั้ง
“เจ้าเป็นใคร! ถ้าเจ้ามีความสามารถก็เปิดเผยตัวออกมา จะมัวซ่อนตัวอยู่ทำไม” หลินเว่ยใช้ประโยชน์จาก ช่องว่างของโครงกระดูก รีบมองไปรอบ ๆ และตะโกนขึ้น
“ข้าอยู่ในมือเจ้าแล้ว จะให้เปิดเผยตัวอะไรอีก จับข้าไว้แน่นแบบนี้”
คราวนี้ เสียงปริศนาก็บ่งบอกตำแหน่งของตนเอง จนหลินเว่ยเริ่มลังเลใจ
“อืม….มือข้างั้นหรือ?” เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ หลินเว่ยก็แสดงท่าทางแปลก ๆ และมองไปที่ราชาหนูศิลาขาวทันที
“เจ้ากำลังพูด?” หลินเว่ยกล่าวถาม มีร่องรอยความสงสัยในน้ำเสียงของเขา
“ข้าเอง.” ราชาหนูศิลาขาวกล่าวยิ้ม ๆ
“เฮือก! เป็นเจ้าจริง ๆ สัตว์อสูรขั้นห้าพูดได้ หลินเว่ยเบิกตากว้างและถามด้วยความประหลาดใจ
“ฮึ่ม! เจ้าปีศาจตัวน้อยผู้โง่เขลา ข้าไม่ใช่ราชาหนูศิลาสัตว์อสูรสีขาวขั้นห้าธรรมดา ๆ ใบหน้านิ่งกล่าวอย่างหยิ่งยโส
“โอ้! งั้นหรือ” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหยิ่งผยอง หลินเว่ยก็คว้าอุ้งเท้าของอีกฝ่าย ซึ่งกลายเป็นการเขย่าอย่างรุนแรง
“อุ๊ย! หยุด…หยุด! ข้าจะเวียนหัวจนตายอยู่แล้ว ราชาหนูศิลาขาวมีใบหน้าที่ทนทุกข์ทรมาน แทบอยากจะร้องไห้ออกมา
“เจ้าเล่ห์เหลือเกิน?” หลินเว่ยยกปากขึ้นและพูดอย่างสนุกสนาน
“ข้าคือผู้เฒ่าที่มีความจริงใจต่างหาก” ราชาหนูศิลาขาวกล่าว
“พูดสิ ! เจ้าอยากจะพูดอะไรเป็นครั้งสุดท้าย ก็พูดมาเถอะ! ข้ายินดีจะรับฟังอย่างเต็มใจ หลังจากที่เจ้าหมดโอกาส ข้าจะพยายามไม่ให้เจ้าเจ็บปวดมากเกินไปนัก หลินเว่ยหรี่ตาของเขาลงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับสัตว์อสูรขั้นห้าที่สามารถพูดได้มาก่อน แม้จะมีพลังความแข็งแกร่งเพียงน้อยนิด แต่ภายในหลินเว่ยก็ไม่อยากจะสังหารอีกฝ่าย
“อะไรนะ! เจ้าจะกินข้างั้นหรือ?” ราชาหนูศิลาขาวขนลุกชันอีกครั้ง และถามด้วยความตกใจ
“ทำไม….ข้าถึงจะไม่กินเจ้าล่ะ แค่พูดได้แค่นั้นก็ไร้ประโยชน์ กินเจ้าเข้าไปเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกายน่าจะดีกว่า เรียกว่าได้กำไร เจ้าไม่เข้าใจงั้นหรือ?” หลินเว่ยเลิกคิ้วและพูดอย่างจริงจัง
“เจ้ามันคนสารเลว!” ราชาหนูศิลาขาวดุด่าอย่างโกรธเกรี้ยว
“เจ้าลองดุด่าอีกครั้งสิ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตัดติ่งน้อย ๆ ที่ยื่นออกมาของเจ้าก่อนเป็นอย่างแรก จากนั้นก็ถลกหนังเจ้าทั้งเป็น” หัวใจและดวงตาของเขาเย็นชา จากนั้นเขาก็ยิ้มชั่วร้าย
“ข้า…!”
ขนของราชาหนูศิลาขาวนั้นลุกชันและสะดุ้งตัวโยน ขาหลังของเขาหุบเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของมันเปลี่ยนเป็นสีเขียว มันรู้สึกหวาดกลัว มองไปที่หลินเว่ยด้วยความขุ่นเคืองและท้าทาย
“ข้าจะจัดการเจ้า” ราชาหนูศิลาขาวกล่าวอย่างหยิ่งผยอง
“ดี!” ดวงตาของหลินเว่ยนั้นแสดงร่องรอยของไอสังหาร
“อืม! ถ้าอย่างนั้น ข้าต้องการจัดการกับเจ้าก่อนที่เจ้าจะทันได้สังหารข้า หลินเว่ยพูดคุยกับราชาหนูศิลาขาว ราวกับปรึกษาหารือ
ในเวลานี้ ราชาหนูศิลาขาวนั้นครุ่นคิดภายในใจ สิ่งสำคัญคือต้องปกป้องชีวิตของตนเอง ถ้าผลีผลามอาจจะไม่มีโอกาสครั้งที่สอง
“หลังจากได้ยินคำพูดของหลินเว่ย ราชาหนูศิลานิ่งเงียบและเอ่ยขึ้นว่า
“ข้ายินดีซื้อชีวิตของข้าด้วยราคางาม” ราชาหนูศิลาขาว จ้องมองหลินเว่ยด้วยดวงตาเล็ก ๆ ของเขา และกล่าวอย่างนอบน้อม
“อืม! ราคาดีมากเท่าใด?” คิ้วของหลินเว่ยกระตุกขึ้นและดวงตาของเขาก็กะพริบ
“ข้ารู้จักสถานที่ที่มีของเหลวรวมวิญญาณมีอยู่นับไม่ถ้วน” ดวงตาของราชาหนูศิลาขาวกะพริบตาเพื่อเอ่ยขึ้น
“ของเหลวรวมวิญญาณ?” เมื่อได้ยินสามคำนี้ ดวงตาของหลินเว่ยก็สว่างขึ้น และลมหายใจของเขาก็กระชับขึ้นเล็กน้อย มันเป็นสมบัติในการเพิ่มพลังจิตของเขา ซึ่งมีผลต่อพลังวิญญาณระดับสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น
เขานั้นอยู่ในจุดสูงสุดของระดับมนุษย์ และเขาสามารถก้าวเข้าสู่ระดับปฐพีได้ หากว่าได้ของเหลววิญญาณมา….
“ข้าไม่เชื่อ… ของเหลวรวมวิญญาณนั้น เป็นสิ่งล้ำค่าสำหรับทั้งมนุษย์และสัตว์อสูร เจ้านั้น…..จะใจดีเกินไป จนข้ารู้สึกประหลาดใจ ”