ราชาซากศพ - บทที่ 7 อดทน
บทที่ 7 อดทน
แน่นอนว่า เมื่อแมวป่าลายดำเห็นสิ่งผิดปกติและคิดที่จะหลบไปด้านข้าง ลูกไฟขนาดเท่ากำปั้นก็พุ่งออกมาในทิศทางที่มันหลบ ราวกับคำนวณเอาไว้ในใจ
“เฮ้เฮ้เฮ้…”! ดูเหมือนว่าแมวป่าลายดำตนนี้น่าจะเหมาะกับการทดสอบของข้าพอดี แค่นี้ก็พอแล้ว แม้ว่ากระต่ายหูยักษ์จะเป็นสัตว์อสูรแต่มันเป็นสัตว์อสูรที่กินพืชเป็นอาหาร ซึ่งหลินเว่ย ไม่อยากจะใช้มันในการทดสอบ จิตใจของเขานั้นต้องการแมวป่าลายดำเพื่อมาทดสอบ! กรอบแกรบ …หลินเว่ยนั้นยุกยิกอยู่ในพุ่มไม้ อย่างลังเลใจ
“เมื่อเห็นแมวป่าลายดำวิ่งเข้าหาลูกไฟของกระต่ายหูยักษ์ หัวใจของหลินเว่ยก็เต็มไปด้วยความสุขและยินดีปรีดาที่กระต่ายหูยักษ์จากไป เขากำลังจะออกไปเก็บศพของแมวป่าลายดำ
อย่างไรก็ตามเรื่องตรงหน้านี้ ก็ไม่ได้เป็นไปตามที่หลินเว่ยคิด
ปรากฏว่าเมื่อลูกไฟปะทะกับแมวป่าลายดำ กรงเล็บของแมวป่าลายดำก็กรีดลงบนพื้นและทั้งร่างก็กระโจนเข้าหาลูกไฟ หลินเว่ยนั้นคิดว่ามันจะหลบหนีแต่แมวป่าลายดำกลับไม่หลบและพุ่งเข้าหาลูกไฟ ใต้เท้าของมันยังคงโดนลูกไฟติด ด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนจากปากของมัน มันพ่นลมชนิดหนึ่งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว คล้ายใบมีดออกไปที่กระต่ายหูยักษ์
“นี่มันไม่ใช่ ใบมีดลมของแมวป่าลายดำหรอกหรือ? ความสามารถของมันคือการปล่อยลมออกมาเป็นใบมีดลม ” เมื่อหลินเว่ยเห็นใบมีดลม เขาก็จดจำได้ทันที
แม้ว่าแมวป่าลายดำจะโดนลูกไฟของกระต่ายหูยักษ์ แต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ขนที่ไหม้เกรียมถูกดับลงไป โดยการม้วนตัวซ้ำ ๆ กับพื้นดิน ตอนนี้มันนอนอยู่บนพื้นหายใจหอบอย่างมาก แต่กระต่ายหูยักษ์ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น ใบมีดลมพุ่งเข้าผ่าร่างของกระต่ายหูยักษ์จากหัวลงไปจรดเท้า
เมื่อเห็นการต่อสู้ครั้งนี้ ภายในใจของหลินเว่ยก็มีความทุกข์เข้ามาแทนที่ เพราะแมวป่าลายดำแค่บาดเจ็บแต่ไม่ตาย แม้ว่าเท้าของมันจะได้รับบาดเจ็บจากลูกไฟของกระต่ายหูยักษ์แต่ท่อนบนของมันยังคงใช้การได้ และถ้าเขาบุ่มบ่ามเข้าไปเกรงว่าอาจจะถูกผ่าแยกร่างเหมือนกับกระต่ายเคราะห์ร้ายตัวนั้น หลินเว่ยถอดใจ ท้ายที่สุดแล้วการพบศพของสัตว์อสูรไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริง ๆ
“ปัดโถ่ “! คนขี้ขลาดที่กำลังจะอดตาย ทำให้เขาเกิดจิตใจกล้าหาญ เพื่อจะไปตายเอาดาบหน้า หลินเว่ยขมวดคิ้ว และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งในพุ่มไม้ จากนั้นเขาก็ตัดสินใจที่จะไปเก็บศพของกระต่ายหูยักษ์กลับมาแทน
ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจแล้วแน่นอนแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการลงมือทำ เขาค่อยๆลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ร่างของกระต่ายหูยักษ์อย่างระมัดระวัง
ระยะห่างระหว่างกระต่ายหูยักษ์และแมวป่าลายดำนั้นมากกว่าสามเมตร ในขณะที่ระยะทางของการใช้ทักษะโดยทั่วไปของสัตว์อสูรจะ อยู่ระหว่าง 15 ถึง 20 เมตร ดังนั้นหลินเว่ยจึงหยุดฝีเท้าลง เมื่อเขาอยู่ห่างจากแมวป่าลายดำประมาณ 30 เมตร
หลินเว่ยนั้นเมื่อก้าวขาออกมาจากพุ่มไม้ เขาก็ถูกแมวป่าลายดำจับได้ เนื่องจากแมวป่าลายดำบาดเจ็บสาหัส มันจึงทำได้เพียงนอนนิ่งๆ ไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นมันจึงรวบรวมพลังงานและพร้อมที่จะรอให้ หลินเว่ยเข้ามาใกล้
แต่มันพบว่าหลินเว่ยหยุดเดินและไม่เข้าใกล้อีกต่อไป
“ฮ่า! แมวน้อย เจ้าเป็นอะไรไป? จะผ่าร่างข้าเหมือนกระต่ายตัวนั้นน่ะหรือ ฮิฮิ! หลินเว่ยหยุดเดิน เมื่อเขาพบว่า แมวป่าลายดำจ้องเขาตาขมึง เขาเห็นแสงสีฟ้าอ่อนในปากของอีกฝ่าย เขามีความสุขมากจากนั้นเขาก็หยิบก้อนหินที่พื้นโยนไปอีกด้านหนึ่ง และท้าทายอีกฝ่ายด้วยคำพูด
“แม้ว่าแมวป่าลายดำจะไม่เข้าใจคำพูดของหลินเว่ย แต่มันก็เห็นหลินเว่ยขว้างก้อนหินใส่มัน และส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธทันที ซึ่งเป็นการเตือนหลินเว่ย
“โอ้! ขนาดสภาพเจ้าเป็นขนาดนี้แล้ว….ยังกล้ามาขู่ข้าอีกหรือ?” หลินเว่ยเห็นว่าแมวป่าลายดำ แค่ส่งเสียงคำรามอย่างไม่เป็นมิตรแต่ก็ไม่ได้ทำอะไร เขายังคงยั่วเย้าอีกสองสามคำจากนั้นก็หยิบก้อนหินขนาดเท่ากำปั้นขึ้นมาแล้วขว้างใส่แมวป่าลายดำ
หลินเว่ยและแมวป่าลายคล้ายกับกำลังหยอกล้อกัน ทุก ๆ ครั้งหลินเว่ยขว้างก้อนหินสองก้อนใส่แมวป่าลายดำ มันจะคำรามสองครั้ง อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป หลินเว่ยพบว่าแมวป่าลายดำแทบจะไม่มีแรงเหลือและหมดลมไปอย่างเงียบ ๆ ซึ่งทำให้ความมุ่งมั่นของเขาแข็งแกร่งขึ้น
ที่จริงเขาไม่อยากใช้จะเสียเวลากับแมวป่าลายดำและมันก็เริ่มมืดลงแล้ว ตอนกลางคืนเกรงว่าจะอันตรายกว่าตอนกลางวัน อย่างไรก็ตามช่วยไม่ได้ที่มาอยู่ในสถานการณ์ที่ประจวบเหมาะและโอกาสที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้
แต่เดิมเขาจะเข้าใกล้และใช้ศพของกระต่าย เพื่อทำการทดสอบแต่ตอนนี้ เมื่อไม่สามารถเข้าใกล้ได้ เขาจึงตัดสินใจที่จะลองทำอยู่ตรงนี้ ไม่คาดคิดเมื่อเขาเริ่มทักษะหมอกพลังงานที่อยู่ในทะเลลมปราณ ก็ไหลออกจากอกของเขา หลินเว่ยรับรู้ว่าหมอกพลังปราณว่ายไปรอบ ๆ ตัวของกระต่ายและกลับสู่ทะเลลมปราณ
ของเขา จากนั้นเขาก็รอนานกว่าสิบนาทีมันไม่เกิดอะไรขึ้น เขาจึงเดาว่าศพกระต่ายถูกหั่นเป็นสองส่วนและไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงเบนเป้าหมายไปที่แมวป่าลายดำ
สัตว์อสูรก็ยังเป็นสัตว์อสูรอยู่วันยังค่ำ แม้ว่าจะเป็นเพียงขั้นต่ำสุดแต่ก็มีพลังที่แข็งแกร่ง หลินเว่ยทนต่อไปอีกไม่ไหว เขาสูดลมหายใจเฮือกสุดท้ายและพบว่าโชคดีมาก ๆ รอบตัวเขานั้น ไม่มีสัตว์ป่าตัวอื่น ๆ ที่จะเข้ามาขัดขวางการทดสอบของเขา
เมื่อเห็นว่าแมวป่าลายดำสิ้นใจลงไปแล้ว หลินเว่ยจึงถูมือของเขาและเริ่มระดมพลังในทะเลลมปราณและบังคับมันพุ่งออกจากอกและตกลงบนแมวป่าลายดำ เจาะเข้าไปในนั้นทันที
ในขณะที่เมฆหมอกพลังงาน เข้าสู่ร่างของแมวป่าลายดำก็ขยับทันที ก่อนอื่นมันสั่นเล็กน้อย จากนั้นเสียงเสียดสีของกระดูกก็ดังขึ้น เมื่อเห็นฉากนี้หลินเว่ยก็นึกแปลกใจ: “เอ๊ะ! เกิดอะไรขึ้น หรือว่าหากว่าต้องใช้ทักษะนี้ จะต้องใช้ร่างกายที่สมบูรณ์จริง ๆ”
ในไม่ช้าภายใต้การจ้องมองของหลินเว่ย ร่างของแมวป่าลายดำก็พองตัวด้วยความเร็ว ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จากนั้นเสียงผิวหนังของแมวป่าก็เริ่มขาดวิ่น หลินเว่ยเห็นอย่างชัดเจนว่า ร่างของแมวป่าลายดำแตกและกระจัดกระจายบนพื้น
ในที่สุดก็มีเพียงโครงกระดูกที่ยืนอยู่ตรงหน้าหลินเว่ย
สิ่งที่เห็นคือโครงกระดูกศีรษะสีฟ้าอ่อน ดวงตาที่ว่างเปล่าสองดวง เดิมทีตำแหน่งนี้คือดวงตา ดวงตานั้นถูกแทนที่ด้วยจุดสีแดงสองจุด และส่วนของร่างกายรูปร่างเหมือนของเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ขาทั้งสี่ยืนอยู่บนพื้น แต่ขนาดลำตัวเล็กกว่าร่างเดิมมากเพราะสูญเสียเลือดและเนื้อไป
ถ้าเขาไม่รู้ตั้งแต่แรกว่าสิ่งที่เห็นเป็นเพราะศิลปะการคืนชีพโครงกระดูก หลินเว่ยคงกลัวจนหมดสติ หลังจากสังเกตอย่างถี่ถ้วนแล้ว หลินเว่ยก็พูดกับโครงกระดูกนี้ว่า “กลิ้งไปสิ”
“หนึ่งวินาที สองวินาที สามวินาที … ” ด้วยความคาดหวังอย่างเต็มที่ของหลินเว่ย เวลาผ่านไปและโครงกระดูกก็เหมือนกับรูปสลัก ที่ไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ