พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 133 ถอนหมั้น
ตอนที่ 133 ถอนหมั้น
อันหลิงเกอพยักหน้ารับ “ข้าหาทางออกได้แล้ว อย่างช้าสุดคือพรุ่งนี้จักได้รับการตอบกลับ”
มู่จวินฮานขมวดคิ้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง “มิว่าเยี่ยงไรข้าก็ต้องกักตุนยาสมุนไพรอยู่แล้ว จักช่วยเจ้าอีกแรงก็แล้วกัน เกรงจักมีคนสืบมาถึงตัวเจ้าและใช้เรื่องนี้กล่าวโทษเจ้าอีกรอบ”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แววตาของมู่จวินฮานก็ดูเย็นชาเล็กน้อย
แม้ในเวลานี้อันหลิงเกอยังเป็นคนของจวนโหว แต่ฮ่องเต้พระราชทานงานสมรสแล้ว นางก็ถือเป็นคนของจวนอ๋องมู่ครึ่งหนึ่ง ดังนั้นการที่จ้าวหลานหยู่คิดทำร้ายอันหลิงเกอก็เหมือนยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจวนอ๋องมู่
การที่จ้าวหลานหยู่ทำเยี่ยงนี้มิได้เป็นเพราะทราบว่าฮ่องเต้หวั่นเกรงในอำนาจจวนอ๋องมู่ ทว่าต้องการบอกความปรารถนาของตนให้ฮ่องเต้รับรู้ผ่านเรื่องนี้
ทว่าคนโง่เขลาและความสามารถต่ำต้อยเยี่ยงองค์ชายเจ็ดก็ได้แต่ใช้วิธีน่าขันเช่นนี้
อันหลิงเกอเห็นว่ามู่จวินฮานเชื่อคำกล่าวของตน ทั้งยังเห็นด้วยกับการกักตุนสมุนไพรก็ถือว่าเรื่องนี้อยู่เหนือความคาดหมายของนางอยู่มาก ตอนนี้เขายังเอ่ยปากช่วยกักตุนยาสมุนไพรอีกด้วย ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจจนเอ่ยถามออกไป
“เรื่องนี้ไร้ที่มาที่ไปอันใด เป็นเพียงการคาดเดาของข้าแล้ว มู่ซื่อจื่อมั่นใจว่าจักทำเช่นนี้จริงหรือเจ้าคะ ? ”
อันหลิงเกอค่อนข้างสงสัย เมื่อเขากล่าวออกมาเช่นนี้คงมิได้ล้อนางเล่นหรอก
“เจ้ากักตุนยาสมุนไพรมานานถึงเพียงนี้ คงมิมีทางเอาเรื่องเยี่ยงนี้มาล้อข้าเล่นหรอกกระมัง ข้าจักกักตุนยาสมุนไพรร่วมกับเจ้า เพียงแค่ช่วยเจ้านิดหน่อยก็มิถือว่าลำบากอันใด”
แววตาของอันหลิงเกอซับซ้อน นางกล่าวมิออกว่ารู้สึกเยี่ยงไร เพียงคำนับมู่จวินฮานอย่างสุดซึ้งเท่านั้น “อันหลิงเกอขอขอบคุณมู่ซื่อจื่อมากเจ้าค่ะ”
หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง และมู่จวินฮานพาซูม่อออกจากจวนโหว
เขาเพิ่งเดินออกมาจากหัวมุมกำแพงจวนโหวก็เห็นเงาของใครบางคนเดินผ่านไป
ท่าทางมิน่าไว้วางใจนั้นเหมือนคนที่ได้เห็นบนถนนฉางอานในตอนเดินมาที่จวนโหว
เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้ก็รู้ตัวว่ากำลังโดนผู้อื่นตาม ทว่าใบหน้าของมู่จวินฮานไร้การเปลี่ยนแปลง เพียงเผยแววตาครุ่นคิดและมิได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด
หลังจากนั้นมินานเขาก็ทำท่าทางโมโหพร้อมกล่าวออกมาด้วยโทนเสียงมิดังและมิเบา แค่พอทำให้คนที่ติดตามได้ยิน “คุณหนูใหญ่อันไร้เหตุผลเช่นนี้ ข้าจักเข้าวังรายงานให้ฮ่องเต้รับรู้ ให้พระองค์ถอนราชโองการ แม้ข้าต้องอยู่คนเดียวไปทั้งชีวิตก็มิมีทางแต่งกับคุณหนูใหญ่อันแน่นอน ! ”
ซูม่อได้ฟังกลับหลงคิดว่าซื่อจื่อและอันหลิงเกอทะเลาะกันจริงจึงเผยความรู้สึกดีใจสุด ๆ ออกมาและรีบพยักหน้าเห็นด้วย “ซื่อจื่อกล่าวถูกต้องแล้วขอรับ สตรีเยี่ยงคุณหนูใหญ่อันจักคู่ควรกับซื่อจื่อได้เยี่ยงไรขอรับ ? ”
ซูม่อกล่าวพร้อมนึกถึงเรื่องที่ผ่านมาว่าอันหลิงเกอคอยแต่สร้างปัญหาให้มู่จวินฮาน พอตอนนี้เห็นมู่จวินฮานได้ ‘สติ’ ขึ้นมาแล้ว ซูม่อก็สนับสนุนทันที
หากซื่อจื่อได้สมรสกับ*ซื่อจื่อเฟยที่อ่อนโยนและใจกว้างก็ดียิ่งกว่าสิ่งใด
ในขณะที่ซูม่อกำลังวาดฝันสวยหรูจึงมิได้สังเกตเห็นมุมปากยกยิ้มอย่างร้ายกาจของมู่จวินฮาน
หลังจากมู่จวินฮานกล่าวเยี่ยงนี้ออกมา หางตาของเขาก็เห็นเสื้อผ้าของคนผู้นั้นสะบัดผ่านไป
เขาเองก็มิได้รอช้า พอกลับถึงจวนอ๋องมู่ก็ออกคำสั่งให้ซูม่อเตรียมรถม้าและเดินทางเข้าวังทันที
…
ฮ่องเต้ประทับอยู่ในห้องทรงพระอักษร เบื้องหน้าพระพักตร์มีฎีกากองสูงเป็นตั้ง
ทว่าสายพระเนตรมิได้ตกไปที่ฎีกาพวกนั้น ทว่าหยุดอยู่ที่มู่จวินฮาน “เจ้าต้องการถอนหมั้นกับจวนอ๋องอันเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
มู่จวินฮานก้มหน้ายืนตรงและใบหน้ายังหลงเหลือโทสะเล็กน้อย “ทูลฝ่าบาท กระหม่อมกับคุณหนูใหญ่อันมิลงรอยกันและมิได้คิดเห็นตรงกันพ่ะย่ะค่ะ หากแต่งงานไปแล้วก็มีแต่บาดหมางกันเสียเปล่า ดังนั้นกระหม่อมจึงมาทูลขอให้ฝ่าบาททรงยกเลิกพระราชโองการพ่ะย่ะค่ะ”
มู่จวินฮานเล่าเรื่องราวออกมาอย่างสุภาพ ทว่าฮ่องเต้ได้ทราบเรื่องนานแล้ว ทรงทราบว่ามู่จวินฮานเพิ่งทะเลาะกับอันหลิงเกอ ดังนั้นจึงอยากถอนหมั้นกับนาง
ฮ่องเต้แสร้งตกตะลึงและตรัสเกลี้ยกล่อมมู่จวินฮานว่า “เพราะเจ้ายังมิรู้จักคุณหนูใหญ่อันดีพอ ดังนั้นจึงเข้าใจผิดในตัวนาง รอให้พวกเจ้าแต่งงานกันเสียก่อนก็จักรู้เองว่าพวกเจ้าเหมาะสมกันที่สุด”
ฮ่องเต้ตรัสเหตุผลออกมาทีละข้อ ราวกับพยายามคิดเพื่อมู่จวินฮาน “ถ้ากล่าวจากฐานะตำแหน่ง ทั่วแผ่นดินต้าโจวก็มีเพียงธิดาของผู้ได้รับบรรดาศักดิ์มิกี่คนเท่านั้นที่คู่ควรกับเจ้า กล่าวจากรูปร่างหน้าตาคุณหนูใหญ่อันก็มีใบหน้างดงาม เมื่อยืนเคียงคู่เจ้าก็มิด้อยไปกว่ากัน ส่วนเรื่องนิสัยยังต้องให้ข้ากล่าวอีกหรือ สตรีที่ดีถึงเพียงนี้ข้าทุ่มแรงไปมากกว่าจักหามาให้เจ้าได้ แต่เจ้าอยากให้ข้ายกเลิกราชโองการแล้วจักมิเหมือนทำลายน้ำใจข้าเกินไปหน่อยหรือ ? ”
มู่จวินฮานแสร้งทำซาบซึ้ง คิ้วและตาเต็มไปด้วยความหวั่นไหว “ฝ่าบาทใส่พระทัยกระหม่อมถึงเพียงนี้ กระหม่อมมิรู้ว่าควรตอบแทนพระองค์เยี่ยงไรดีพ่ะย่ะค่ะ”
“หากข้ามิใส่ใจเจ้า องค์ไทเฮาได้มาเล่นงานข้าทุกวันน่ะสิ”
ฮ่องเต้ตรัสหยอกมู่จวินฮานและแย้มพระสรวลออกมา
ไทเฮาองค์ปัจจุบันและชายาผู้เฒ่าผู้ล่วงลับของจวนอ๋องมู่เป็นพี่น้องกัน ดังนั้นมู่จวินฮานจึงถือเป็นพระญาติของไทเฮา นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่มู่จวินฮานสามารถเข้าออกวังหลวงได้อย่างอิสระ
มู่จวินฮานที่ยังก้มหน้าก็พลันแสดงสีหน้าเด็ดเดี่ยวขึ้นพอสมควร “กระหม่อมทำให้ไทเฮาเป็นห่วงแล้ว ทว่าแต่การแต่งงานครั้งนี้กระหม่อมรับมิได้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ ขอให้ฝ่าบาทยกเลิกพระราชโองการด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อครู่ฮ่องเต้ยังมีความสุขอยู่ บัดนี้สีพระพักตร์ดูเคร่งขรึมทันที พระองค์ทอดพระเนตรคนเบื้องล่างด้วยความน่าเกรงขาม “เจ้าคิดว่าราชโองการของข้าเป็นแค่เรื่องล้อเล่นของเด็กหรือ ? ถึงบอกจักยกเลิกก็ยกเลิกได้เยี่ยงนี้”
พระองค์ไร้ความเมตตาเหมือนก่อนหน้านี้ “หากข้ายกเลิกราชโองการแล้วพรุ่งนี้จักโดนเหล่าขุนนางตั้งคำถาม พวกเขาอาจคิดว่าต้าโจวแห่งนี้จักถูกทำลายด้วยน้ำมือของฮ่องเต้ที่มิเด็ดขาดเยี่ยงข้า”
“ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วไปเลยพ่ะย่ะค่ะ”
มู่จวินฮานรีบสะบัดชุดแล้วคุกเข่าพร้อมยืดหลังตั้งตรง “กระหม่อมทราบว่าการให้ฝ่าบาทยกเลิกพระราชโองการเป็นการสร้างความลำบากให้พระองค์ ดังนั้นกระหม่อมยินยอมรับโทษ ขอเพียงฝ่าบาทช่วยล้มเลิกงานแต่งนี้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“หากข้าให้เจ้าย้ายจากจวนอ๋องมู่มาอยู่ในวังหลวงเพื่อรับโทษ เจ้าจักว่าเยี่ยงไร?”
ทันใดนั้นท่าทางของฮ่องเต้ก็ผ่อนคลายขึ้น คล้ายกำลังทดสอบมู่จวินฮานอยู่
“กระหม่อมย่อมทำตามและมิโต้แย้งอันใดพ่ะย่ะค่ะ” มู่จวินฮานแสดงท่าทางจริงจัง ใบหน้ายังเปื้อนไปด้วยความเต็มใจ
ดูเหมือนว่ามู่จวินฮานมิพอใจคุณหนูใหญ่อันอย่างแท้จริง
ทันใดนั้นฮ่องเต้ก็เกิดดำริบางอย่างขึ้นมา ทำให้มุมพระโอษฐ์ยกขึ้นเล็กน้อยอย่างที่มิอาจสังเกตเห็นได้แล้วทรงรีบเก็บอาการอย่างรวดเร็ว
ตอนที่พระราชทานสมรมครั้งนี้ก็เพราะอยากทดสอบว่าจวนอ๋องมู่และจวนโหวมีความคิดคดโกงอันใดหรือไม่
ทว่าคนที่ส่งออกไปกลับสืบความผิดปกติมิได้สักอย่างจึงทำให้ฝ่าบาทพอพระทัย แต่ก็ยังแอบเป็นกังวล
สิ่งที่พอพระทัยคือจวนอ๋องมู่และจวนโหวสงบสุขดี มิได้มีใจคิดคดอันใด แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำให้กังวลว่าทั้งสองจวนจักลอบทำอันใดลับหลัง
การขอถอนหมั้นของมู่จวินฮานในครานี้จึงเป็นโอกาสที่ดีอย่างหนึ่ง
…
*ซื่อจื่อเฟย คือพระชายาของซื่อจื่อ