พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 139 วางอุบาย
ตอนที่ 139 วางอุบาย
“นี่คือความฉลาดของอันหลิงเกอ” ริมฝีปากของหลี่ซื่อโค้งขึ้น แววตาคลุมเครือ “ตอนที่ท่านย่ากลับมาที่จวน อันหลิงเกอก็เตรียมของขวัญไว้ก่อน ต่อมายังติดตามท่านย่าไปทุกที่ และยังทำเพื่อท่านย่าโดยการให้เว่ยอี๋เหนียงที่มีทักษะชงชาดีเป็นตัวช่วยเพิ่มขึ้นมาอีกคน ซึ่งท่านย่าก็มิใช่ก้อนหิน ผ่านไปนานวันเข้าก็ต้องลำเอียงรักอันหลิงเกอเป็นธรรมดา แต่หากอันหลิงเกอมิมีท่านย่าคอยให้ท้าย การจัดการนางก็ง่ายขึ้นมาก”
เมื่อได้ฟังหลี่ซื่ออธิบาย ในที่สุดอันหลิงอีก็เข้าใจความหมายที่มารดาต้องการสื่อ
“ท่านแม่จักบอกลูกว่าเราสามารถยืมมือของท่านย่ากำจัดอันหลิงเกอได้ ใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
หลี่ซื่อเห็นอันหลิงอีเข้าใจได้สักที ใบหน้าของนางก็เปื้อนไปด้วยความปีติยินดี
“ในเวลานี้อันหลิงเกอถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ หากพวกเราคิดกำจัดนางก็มิใช่เรื่องง่ายแล้ว” กล่าวจบหลี่ซื่อก็หยุดครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วรอยยิ้มชั่วร้ายก็ผุดขึ้นที่มุมปาก “แต่พวกเราทำไปทีละขั้นได้ ก่อนอื่นคือทำให้อันหลิงเกอถูกท่านย่ารังเกียจ ไร้ที่พักพิงในจวนและเมื่อถึงเวลานั้นก็จักเป็นโอกาสในการกำจัดนาง”
“แต่ท่านย่าลำเอียงรักนาง ท่านพ่อก็ทำเพื่อเกียรติของจวนโหว มิอาจยืนมองอันหลิงเกอโดนรังแกได้ ยังมีหวังซื่อที่มิกลัวฟ้ามิกลัวดินนั่นอีก เพื่อต่อสู้กับท่านแม่ นางถึงกับช่วยอันหลิงเกอทุกอย่าง กอปรกับเว่ยอี๋เหนียงที่เพิ่งออกจากเรือนเพียนนั่นอีก ถ้าพวกนางล้วนช่วยอันหลิงเกอ แล้วการที่เราจักกำจัดมันก็มิยากเกินไปหรือเจ้าคะ ? ”
อันหลิงอีหงุดหงิดยิ่งกว่าสิ่งใด นางเข้าใจผิดว่ามารดาคิดวิธีกำจัดอันหลิงเกอได้แล้ว แต่กลายเป็นเพียงคำกล่าวที่ไร้ประโยชน์
หลี่ซื่อกลับมิร้อนรนแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “เจ้าควรเปลี่ยนนิสัยหุนหันพลันแล่นได้แล้ว เพราะมิช้าก็เร็วเจ้าต้องตกที่นั่งลำบาก ส่วนเรื่องวิธีกำจัดอันหลิงเกอนั้น แม่คิดออกนานแล้ว”
เมื่อได้ฟังเช่นนั้นแววตาของอันหลิงอีก็เปล่งประกาย ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความสุข “วิธีใดหรือเจ้าคะ ท่านแม่รีบบอกมาเร็ว”
หลังจากนั้นหลี่ซื่อก็ลดเสียงต่ำและหันไปกระซิบข้างหูอันหลิงอี
อีกด้านหนึ่ง หวังซื่อที่นั่งอยู่ในเรือนก็บังเกิดลางสังหรณ์ทำให้นางตัวสั่นอย่างแรง
“นายหญิงรองหนาวหรือเจ้าคะ ? ” สาวใช้ที่อยู่ข้างกายรีบถามด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นท่าทีของนาง “ให้บ่าวนำเสื้อคลุมมาดีหรือไม่เจ้าคะ ? ”
“มิต้อง”
หวังซื่อโบกมือปฏิเสธแม้ในใจรู้สึกถึงลางร้ายแต่ก็คิดเพียงว่าเป็นเพราะอาการอ่อนไหวยามตั้งครรภ์จึงมิได้คิดมากกว่านั้น
สาวใช้เห็นหวังซื่อไร้ชีวิตชีวาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนี้ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการมาสองฉบับ ฮูหยินอยู่แต่ในเรือนคงยังมิทราบใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
ตอนที่ฮ่องเต้ส่งคนมาประกาศราชโองการ เจ้านายคนอื่นในจวนโหวล้วนออกไปรับราชโองการ มีเพียงหวังซื่อเท่านั้นที่บังเอิญมิอยู่ในจวนจึงยังมิทราบเรื่อง
เมื่อได้ฟัง นางก็ขมวดคิ้ว ใบหน้าเปื้อนด้วยความประหลาดใจพอสมควร เพราะการที่ฮ่องเต้มีราชโองการให้จวนโหวถึงสองฉบับติดกันถือเป็นเรื่องหาได้ยาก
“ฮ่องเต้มีราชโองการว่าเยี่ยงไร ? ”
หลังจากนั้นสาวใช้ก็เล่าเรื่องราวที่รู้มา ทว่าเพิ่งกล่าวถึงเนื้อหาในราชโองการฉบับแรกจบ หวังซื่อก็กรีดร้องออกมาแล้ว “ฮ่องเต้มีราชโองการยกเลิกการสมรสระหว่างจวนอ๋องมู่และจวนโหวเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
นี่มิใช่การกลับคำหรอกหรือ ฮ่องเต้ทำเยี่ยงนี้มิกลัวผู้อื่นกล่าวหาว่าพระองค์กลับกลอกหรือไร
“นายหญิงรองอย่าเพิ่งตื่นตระหนกเจ้าค่ะ” สาวใช้กลัวอารมณ์ของหวังซื่อเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไป จึงรีบเล่าเนื้อหาในราชโองการฉบับที่สองออกมา
เมื่อฟังจบหวังซื่อก็ยกชาขึ้นดื่มราวกับการดื่มชาสามารถทำให้จิตใจของนางกลับมาสงบได้
นางวางถ้วยชาลงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดปาก “แม้บอกว่าคุณหนูใหญ่โดนถอนหมั้นแต่ก็โดนแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่ สุดท้ายก็เป็นเรื่องมงคลและพวกเราควรไปแสดงความยินดีกับนางเสียหน่อย”
สาวรับใช้ค่อนข้างลังเลแล้วกล่าวโน้มน้าวว่า “นายหญิงรองเจ้าคะ ตอนนี้ท่านกำลังตั้งครรภ์อยู่ บ่าวคิดว่าควรระวังเรื่องการเดินทางไว้หน่อยดีกว่าเจ้าค่ะ”
“จักกลัวอันใด ข้าเคยมีบุตรมาก่อนแล้วนี่มิใช่ครรภ์แรก” หวังซื่อมิแยแสคำตักเตือนและมิได้เก็บคำกล่าวของสาวใช้มาใส่ใจ
แท้จริงแล้วตัวนางมิอยากไปแสดงความยินดีกับอันหลิงเกอจริงๆ หรอก แค่คิดว่าตอนนี้หลี่ซื่อต้องกำลังอารมณ์เสียอยู่ ซึ่งโอกาสเยี่ยงนี้มิใช่เรื่องง่าย ถ้านางมิได้เยาะเย้ยหลี่ซื่อก็คือการปล่อยโอกาสดี ๆ ไปแน่
สาวใช้เห็นคำกล่าวของตนไร้ประโยชน์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งแล้วเดินตามหวังซื่อ
ไปยังเรือนฉีอู๋
เดิมทีหวังซื่อคิดไปเย้ยหยันหลี่ซื่อที่เรือนหลังจากไปเรือนฉีอู๋แล้ว แต่คาดมิถึงว่าจักพบหลี่ซื่อที่เรือนของอันหลิงเกอเช่นนี้
“ไอหยา สะใภ้หวังมาด้วยหรือ”
หลี่ซื่อเห็นหวังซื่อเข้ามาในเรือนฉีอู๋ ใบหน้าของนางก็เปื้อนด้วยรอยยิ้มจอมปลอมทันที
ส่วนหวังซื่อเผยใบหน้าประหลาดใจ นางเข้าใจผิดว่าตอนนี้หลี่ซื่อกำลังโยนข้าวของลงพื้นอยู่แน่ ทว่าท่าทางของหลี่ซื่อในเวลานี้ดูเหมือนมิเคยมีอันใดเกิดขึ้นมาก่อน
เมื่อได้สติหวังซื่อก็เค้นเสียงตอบกลับ “หลี่ซื่อ เจ้ามาที่นี่ได้เยี่ยงไร ? ”
“แม้เกอเอ๋อเป็นจวิ้นจู่แล้ว แต่งานสมรสก็โดนยกเลิกอยู่ดี ตัวข้าเป็นแค่อี๋เหนียงแต่ก็มีส่วนรับผิดชอบในเรื่องงานแต่งของเกอเอ๋อต่อจากนี้ เพราะกลัวตนเองทำได้มิดีจึงมาถามเกอเอ๋อว่าชอบบุรุษเยี่ยงไร”
ในตอนแรกคำกล่าวของหลี่ซื่อคล้ายดูดี แต่สุดท้ายก็ยังแอบเย้ยเรื่องอันหลิงเกอโดนถอนหมั้นมิเลิก
หวังซื่อได้ฟังก็เค้นเสียง ฮึ ! ในใจ “เกอเอ๋อเป็นถึงจวิ้นจู่ที่ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้ง เรื่องงานสมรสของนางคงมิตกมาถึงมือของเจ้าหรอก ถ้าเจ้าว่างมิมีอันใดทำก็ไปสั่งสอนคุณหนูสามดีกว่า จากนั้นก็หาคู่ครองดี ๆ สักคนให้นางด้วย มิเช่นนั้นคุณหนูสามจักทำเรื่องมิเป็นเรื่องจนเคยตัว”
หวังซื่อกล่าวออกมาโดยมิเกรงใจแม้แต่น้อย เป็นเหตุให้ใบหน้าของหลี่ซื่อเปลี่ยนไปทันที “หลี่ซื่อ เจ้ากล่าวเยี่ยงนี้หมายความว่าอันใด ? ”
“ข้าหมายความว่าเยี่ยงไร เจ้าคงรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว” หวังซื่อตอบกลับ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
อันหลิงอีนิสัยหยิ่งยโสและชอบก่อเรื่องไปทั่ว แต่กลับเติบโตในจวนโหวอย่างสงบสุข
คราวก่อนเรื่องที่อันหลิงอีคิดสังหารอันหลิงเกอก็มีคนช่วยปกปิดไว้ให้ หากในมิช้าก็เร็วอันหลิงอีต้องออกเรือน ถ้าแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวคนร่ำรวยทั่วไปก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าแต่งเข้าตระกูลขุนนางชั้นสูงที่เคร่งเรื่องมารยาท ถึงเวลานั้นอันหลิงอีก็มิมีหลี่ซื่อคอยเก็บกวาดตามหลังให้อีกต่อไป ในมิช้าก็เร็วต้องโดนกินจนมิเหลือกระดูกแน่
ตอนนี้ใบหน้าของหลี่ซื่อโกรธจัด นางชี้นิ้วไปที่หวังซื่อแล้วกล่าวว่า “แม้อีเอ๋อของข้ามีนิสัยอวดดีไปบ้าง แต่ก็จิตใจดี สะใภ้หวังกล่าวเยี่ยงนี้ก็เกินไปหน่อยกระมัง”
ในเมื่อพวกนางสองคนกำลังทะเลาะกันในเรือนอันหลิงเกอ นางก็คงมิยอมนั่งดูเฉย ๆ จึงก้าวสองก้าวมายังด้านข้างของหวังซื่อพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อาสะใภ้รองกำลังตั้งครรภ์ อย่าได้โมโหไปเลยเจ้าค่ะ”
ในขณะเดียวกันก็หันไปมองหลี่ซื่อ “หลี่อี๋เหนียงดูแลจวนโหว หากละเลยการสั่งสอนน้องหญิงสามก็เป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษาจิงตูเพิ่งผ่านไป หลี่อี๋เหนียงมิคิดว่าเป็นสัญญาณเตือนอันใดบ้างหรือ ? ”
“เรื่องนี้เป็นฝีมือของสาวใช้ อีเอ๋อแค่ถูกลากไปเกี่ยวข้องด้วย” หลี่ซื่อกล่าวอย่างหน้าหนา ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าโยนความผิดให้สาวใช้แล้ว นางก็สามารถกล่าวว่าบุตรสาวบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ
หวังซื่อได้ฟังก็ยิ้มเยือกเย็นเพราะท่าทางไร้ยางอายของอีกฝ่าย แต่ยามที่จักกล่าวอันใดออกมาก็รู้สึกปวดในท้อง เมื่อก้มมองก็เห็นมีโลหิตซึมออกมาจากอาภรณ์ตรงบริเวณระหว่างขาของตน
……