พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 142 เหตุบังเอิญ
ตอนที่ 142 เหตุบังเอิญ
แม้หวังซื่อรู้ว่าหลี่ซื่อมีเจตนามิดี แต่พอได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่าย ภายในใจก็อดมีความคิดเยี่ยงนั้นปรากฎขึ้นมามิได้
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับบุตรในครรภ์ หวังซื่อจึงต้องระวังไว้ก่อน
นางหันไปมองอันหลิงเกอ แม้บนใบหน้ามิแฝงไปด้วยคำถาม แต่คำกล่าวคืออยากให้อันหลิงเกออธิบาย “เมื่อครู่เกอเอ๋อสั่งให้สาวใช้ไปต้มยาอย่างคล่องแคล่ว ท่าทางชำนาญยิ่งกว่าท่านหมอ ถ้าเช่นไรข้าขอให้เกอเอ๋อช่วยเล่าได้หรือไม่ว่าเจ้าไปเรียนวิชาแพทย์ที่เก่งกาจตั้งแต่เมื่อไร ? ”
ใบหน้าของปี้จูเต็มไปด้วยความโกรธ ทั้งที่คุณหนูอุตส่าห์ช่วยนางและลูกเอาไว้ นางกลับหันมาถามคุณหนูราวกับเชื่อหลี่ซื่อ เยี่ยงนี้เป็นการเนรคุณเกินไป !
แม้แต่คนที่หนักแน่นเยี่ยงหมิงซินก็เผยแววตามิพอใจออกมา
แต่อันหลิงเกอเหมือนคิดไว้แล้วว่าหวังซื่อจักเผยท่าทีเช่นนี้ ใบหน้าของนางเยือกเย็นขึ้นพอสมควรและมิประหลาดใจหรือโมโหแม้แต่น้อย
“อาสะใภ้รองอาจมิรู้ว่าเมื่อหลายวันก่อนข้ากว้านซื้อสมุนไพรมา ส่วนมากก็กักตุนเอาไว้เพื่อเรียนปรุงยา ทว่าองค์ชายเจ็ดพาคนบุกมาที่จวนแล้วใส่ความว่าข้าเป็นกบฏ”
พอกล่าวมาถึงตรงนี้ สายตาของนางก็ไปหยุดอยู่ที่ตัวหลี่ซื่อ มุมปากยกยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ตรัสวาจาเลื่อนลอยเชื่อถือมิได้คล้ายการกระทำของหลี่อี๋เหนียงในตอนนี้เสียจริง”
“ที่แท้เกอเอ๋อได้ร่ำเรียนวิชาแพทย์เยี่ยงนี้เอง” ความสงสัยในตัวอันหลิงเกอของหวังซื่อจางหายไปและแทนที่ด้วยความละอายใจ
แม้นางมีนิสัยหุนหันพลันแล่นและตรงไปตรงมา แต่พอมีชีวิตมาหลายสิบปีก็มิเคยทำเรื่องเนรคุณเยี่ยงนี้มาก่อน
หลี่ซื่อหาช่องโหว่ในคำกล่าวของอันหลิงเกอได้จึงเอ่ยว่า “วิชาแพทย์ของเกอเอ๋ออาจเรียนจากตำราได้ หรือกักตุนยาแล้วรู้วิธีปรุงยาก็ฟังแล้วมีเหตุผล ทว่าฝีมือฝังเข็มของเจ้าเรียนมาจากที่ใด ? ”
หากบอกว่าอันหลิงเกอมีวิชาแพทย์ดีถึงเพียงนี้เพราะมีพรสวรรค์และฉลาดหลักแหลม เพียงแค่อ่านตำราก็มีความรู้กว่าครึ่ง กอปรกับการซื้อสมุนไพรมาศึกษาการปรุงยา
อีกจำนวนมากจึงมีความชำนาญ แต่การฝังเข็มให้หวังซื่อเมื่อครู่มิสามารถเรียนจากตำราได้โดยไร้การฝึกฝนปฏิบัติจริง
หลี่ซื่อแอบคิด แม้อันหลิงเกอรู้วิชาแพทย์ ทว่ามิมีทางหนีรอดจากความสงสัยของหวังซื่อได้
ทันใดนั้นความสงสัยที่เคยจางหายไปของหวังซื่อก็กลับมาอีก แต่ครั้งนี้นางมิได้เอ่ยถามอันหลิงเกอตามตรง นางหันไปต่อว่าหลี่ซื่อแทน “เกอเอ๋อเป็นคนฉลาดและมีความสามารถหลากหลายมาโดยตลอด เมื่อนางเรียนรู้วิชาแพทย์ได้ก็สามารถเรียนรู้การฝังเข็มได้เช่นกัน”
อันหลิงเกอหันไปมองหวังซื่อด้วยรอยยิ้ม “อาสะใภ้รองมิต้องฟังคำกล่าวของหลี่อี๋เหนียงแล้วมาสงสัยในตัวข้าหรอก ทักษะฝังเข็มของข้าเป็นเพราะเจอยอดฝีมือเมื่อมินานมานี้ ข้าได้เขาช่วยชี้แนะจนมีฝีมือยอดเยี่ยมในเวลานี้”
“เกอเอ๋อ เจ้าจักผลักเรื่องทั้งหมดไปที่ยอดฝีมือที่ว่าโดยมิมีหลักฐานอันใดมาพิสูจน์หรือ ? ”
หลี่ซื่อตอบโต้อย่างคล่องแคล่วและมิแสร้งหัวเราะออกมาอีก นางถามอันหลิงเกอทีละคำถามเพื่อต้องการทำให้อันหลิงเกอเถียงกลับมิได้ หวังซื่อจักยิ่งสงสัยและรังเกียจในตัวอันหลิงเกอ รวมทั้งทำให้อันหลิงเกอต้องแบกรับชื่อเสียงที่วางแผนทำร้ายผู้อาวุโสไว้บนบ่า !
ในเวลานี้ดวงตาของหวังซื่อแฝงไปด้วยความสงสัย คำกล่าวแต่ละประโยคของหลี่ซื่อแทงไปถึงหัวใจของนาง “เมื่อครู่เกอเอ๋อบอกว่าข้าปรักปรำโดยไร้เหตุผล ตอนนี้วิชาแพทย์ของเจ้าเกิดขึ้นมาอย่างเลื่อนลอย อีกทั้งยังหาความสมเหตุสมผลมิได้สักข้อ ข้าว่าเจ้าคงวางแผนใช้เรื่องในวันนี้ซื้อใจสะใภ้หวัง แต่พอโดนจับได้ก็บอกว่าข้าใส่ร้ายและยังใช้ตำแหน่งจวิ้นจู่มาลงโทษข้า ! ”
“คิดมิถึงจริง ๆ ว่าหลี่อี๋เหนียงกล่าววาจาเหลวไหลเก่งถึงเพียงนี้” อันหลิงเกอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา นางส่งสายตาให้ปี้จู ทันใดนั้นปี้จูก็รีบเดินออกไปแล้วหยิบบางอย่างเข้ามา
ของสิ่งนั้นสูงเท่าตัวคนและถูกคลุมไว้อย่างแน่นหนา
“ให้หลี่อี๋เหนียงได้ดูของสิ่งนี้เสียหน่อย”
ปี้จูดึงผ้าคลุมผืนนั้นออก เผยให้เห็นของที่อยู่ด้านใน
“นี่คือสิ่งใด ? ”
หวังซื่อร้องด้วยความตกใจ แววตาของนางเปลี่ยนเป็นสับสนทันที
เมื่อเห็นหลี่ซื่อนิ่งค้างไป หมิงซินก็ยกยิ้มมุมปากแต่แววตามิดูเคารพสักเท่าไร “เรียนนายหญิงรอง นี่คือหุ่นจำลองที่คุณหนูสั่งทำขึ้นมา หากคุณหนูว่างก็เรียนฝังเข็มกับหุ่นจำลองตัวนี้เจ้าค่ะ ด้วยเหตุนี้จึงคุ้นเคยกับการฝังเข็มบนร่างกายมนุษย์เจ้าค่ะ”
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วเรื่องที่อันหลิงเกอสามารถฝังเข็มห้ามเลือดได้ก็ถือว่าสมเหตุสมผล
“เป็นไปมิได้ หุ่นจำลองตัวหนึ่งจักทำให้เจ้าฝึกฝังเข็มได้เยี่ยงไร ? ” หลี่ซื่อกรีดร้อง ใบหน้าตกใจมิน้อย
อันหลิงเกอมิมีอารมณ์มากล่าวไร้สาระกับนางอีก หมิงซินจึงเข้าไปยืนเบื้องหน้าของหลี่ซื่อ “ฮูหยินรอง ในเมื่อคุณหนูของบ่าวกล่าวแล้วว่าได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือและฝึกฝนอย่างหนักจนเรียนศาสตร์ฝังเข็มสำเร็จ หากท่านมิเชื่อก็เชิญฮูหยินผู้เฒ่ามาที่นี่ แล้วให้ฮูหยินผู้เฒ่าตัดสินว่าผู้ใดเป็นคนผิดเจ้าค่ะ ! ”
หากเรียกฮูหยินผู้เฒ่ามาที่นี่ เรื่องนี้จักใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน
เดิมทีหลี่ซื่ออยากให้เรื่องที่หวังซื่อแท้งเป็นเรื่องใหญ่เท่าไรได้ยิ่งดี ต้องเป็นเยี่ยงนี้ถึงทำให้ใครหลายคนรู้จิตใจชั่วร้ายของอันหลิงเกอ
ตอนนี้หวังซื่อมิได้แท้ง อีกทั้งอันหลิงเกอยังหลุดจากข้อสงสัย หากทำเรื่องให้ใหญ่ในเวลานี้จักมิส่งผลดีต่อตัวนาง
ใบหน้าของหลี่ซื่อแข็งทื่อ หลังจากนั้นก็เผยท่าทีมิแยแสออกมา “ช่างเถิด ในเมื่อเกอเอ๋อมีหลักฐานมาพิสูจน์ความบริสุทธ์แล้ว ข้าจักสั่งคนไปสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างอีกที ท่านแม่รักความสงบ มิต้องไปรบกวนท่านหรอก”
หมิงซินหันมามองทางคุณหนูใหญ่ นางใช้สายตาถามอันหลิงเกอว่าควรทำเยี่ยงไรต่อไป
อันหลิงเกอเลิกคิ้ว หลี่ซื่อสาดโคลนใส่ตัวนางมิสำเร็จก็คิดปกปิดเรื่องนี้ ฮึ ! บนแผ่นดินนี้มิมีเรื่องง่ายเพียงนั้นหรอก
“ท่านย่ารักความสงบจริง ถ้าหลี่อี๋เหนียงบอกว่าอย่ารบกวนท่าน เราก็อย่าไปรบกวนเลย” อันหลิงเกอหยุดกล่าวครู่หนึ่ง ขณะเดียวกันก็เห็นท่าทางถอนหายใจด้วยความโล่งอกของหลี่ซื่ออยู่ในสายตา “ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาสะใภ้รองจึงมิใช่เรื่องที่หลี่อี๋เหนียงจักกล่าวแบบขอไปทีแล้วจบได้ ข้าจักส่งคนไปแจ้งเรื่องนี้ต่อท่านพ่อและท่านอารองให้พวกเขาส่งคนออกสืบจนกระจ่าง ข้ามิมีทางปล่อยให้อาสะใภ้รองรับกรรมโดยสูญเปล่าเป็นแน่”
ปี้จูมองอันหลิงเกอจัดการปิดหนทางรอดของหลี่ซื่อด้วยสายตาสะใจ
“คุณหนูใหญ่วางใจได้เจ้าค่ะ เกิดเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้นในเรือนของท่าน บ่าวต้องนำเรื่องนี้ไปรายงานให้ท่านโหวและนายท่านรองรับทราบอย่างแน่นอน และพวกท่านต้องสืบจนกระจ่างเจ้าค่ะ”
ปี้จูรีบสนับสนุนอันหลิงเกอ ทันใดนั้นก็เห็นใบหน้าของหลี่ซื่อเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน
ใบหน้าของหลี่ซื่อสั่นอยู่พักหนึ่ง เดิมทีอยากส่งเสียงห้ามอันหลิงเกอ แต่ปลายหางตาเห็นแววตาสงสัยของหวังซื่อที่จับจ้องมาทางตน
หลี่ซื่อรู้สึกตกใจแต่ก็แสร้งยิ้มออกมา “ถูกต้อง ข้าเลอะเลือนไปเอง สะใภ้หวังเกือบเสียบุตรในครรภ์ ดังนั้นเราต้องสืบเรื่องนี้ให้กระจ่าง”
มิว่าเยี่ยงไรนางก็ทำเรื่องนี้อย่างลับ ๆ พวกเขามิมีทางสืบเจออันใดแน่นอน
หากนางเอ่ยห้ามอันหลิงเกอในเวลานี้ หวังซื่อต้องสงสัยอย่างแน่นอน
เดิมทีนางกับหวังซื่อก็มิถูกกันอยู่แล้ว หากหวังซื่อยังตามกัดนางมิปล่อยแล้วต่อไปทำตัวเป็นศัตรูกับนางทุกที่ มันก็จักเข้าทางอันหลิงเกอเสียหมด