พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 143 เลือก
ตอนที่ 143 เลือก
เนื่องจากพระราชโองการสองฉบับนั้นทำให้จวนโหวมิสงบสุข ทางด้านจวนอ๋องมู่ก็มีสถานการณ์มิต่างกันสักเท่าไร
อ๋องมู่ส่งขันทีผู้ประกาศราชโองการกลับไปแล้ว ขณะหมุนตัวเดินเข้าจวน ระหว่างคิ้วทั้งสองก็ขมวดเป็นปม
“พระราชโองการของฮ่องเต้หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
เขาตะโกนถามบุตรชายเสียงเข้ม ดวงตาเบิกกว้าง ท่าทางน่ากลัวยิ่งนัก
มู่จวินฮานมิเก็บท่าทางดุร้ายของอ๋องมู่มาใส่ใจ เพียงยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ นัยน์ตาคมบ่งบอกความรู้สึกมากมายและแฝงไปด้วยความดื้อรั้นอยู่ในนั้น
“ฮ่องเต้ประสงค์ยึดอำนาจทหารในมือของท่าน ดังนั้นจึงหาเหตุผลส่งตัวลูกไปบัญชาทหารที่ชายแดนก็เท่านั้น”
ผู้ใดมิเข้าใจดำริของฮ่องเต้บ้างเล่า ?
ข้าสนใจอำนาจทหารเหล่านั้นเสียเมื่อไร ?
อ๋องมู่โต้แย้งคำกล่าวของมู่จวินฮานภายในใจ พร้อมดวงตาที่เบิกกว้างกว่าเดิม เขามองบุตรชายที่ชอบทำตัวดื้อรั้นมาโดยตลอด “ฮ่องเต้ปรารถนาอำนาจทหารก็มีวิธีตั้งมากมาย เหตุใดต้องให้เจ้าไปเป็นรองแม่ทัพที่ม่อเป่ยด้วย ? ”
ม่อเป่ยมีโจรกบฏก่อความวุ่นวายตลอดทั้งปี มิใช่สถานที่ดีอันใดเลย
เมื่ออ๋องมู่คิดได้เยี่ยงนั้น ระหว่างคิ้วก็ขมวดยิ่งกว่าเดิม
เขาและมู่หวางเฟยสมรสกันมานานถึงเพียงนี้กลับมีแค่บุตรชายคนเดียว มิว่ามู่จวินฮานดื้อรั้นเยี่ยงไรหรือชอบยั่วโมโหมากแค่ไหน ทว่าก็เป็นบุตรภริยาเอกเพียงคนเดียว และถ้าหากมีอันใดเกิดขึ้น จวนอ๋องมู่จักไร้ผู้สืบทอด !
มู่จวินฮานขมวดคิ้วเล็กน้อย ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความเฉยชา “ผู้ใดจักทราบได้ว่าฮ่องเต้ประสงค์ให้ลูกไปม่อเป่ยอยู่แล้ว ความคิดของฮ่องเต้ผู้ใดจักกล้าคาดเดาขอรับ ? ”
“เจ้าอย่าแสร้งโง่หน่อยเลย ! ” อ๋องมู่กล่าวพร้อมโทสะ ความโกรธเพิ่มในดวงตาที่จ้องมู่จวินฮานเขม็ง “เจ้าอยู่ในวังนานถึงเพียงนั้นมิได้ทำอันใดหรือ ? ”
แม้มิเคยคิดกบฏ แต่สถานการณ์ในตอนนี้ร้ายแรงเกินไป เพื่อความปลอดภัยของจวนอ๋องมู่ เขาจึงต้องส่งคนไปจับตาในวัง หากมีการเคลื่อนไหวอันใดก็จักทำให้ข่าวเร็วกว่าปกติ
พอมู่จวินฮานเข้าเฝ้าฝ่าบาท คนของเขาก็ส่งข่าวมาทันที
อ๋องมู่รู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เดิมทีเข้าใจผิดว่ามู่จวินฮานแค่ไปเยี่ยมไทเฮาเท่านั้น แต่หลังจากได้รับราชโองการของฮ่องเต้ก็รู้ทันทีว่าเจ้าเด็กนี่ต้องทูลบางสิ่งต่อหน้าพระพักตร์เป็นแน่ ฮ่องเต้ถึงได้ตัดสินพระทัยออกราชโองการเยี่ยงนี้
“ลูกควบคุมความคิดของฮ่องเต้มิได้หรอกขอรับ” มู่จวินฮานกล่าวเสียงเรียบ ท่าทีมิได้เปลี่ยนไป “ฮ่องเต้หวาดระแวงจวนอ๋องของพวกเรามานานแล้ว เพียงแต่หาโอกาสลงมือกับพวกเรามิได้ ดังนั้นก็มอบโอกาสให้ฮ่องเต้ทำให้พระองค์คิดว่าจักยึดอำนาจทหารกลับคืนได้ พระองค์จักได้รู้สึกสบายพระทัยขึ้น ฟู่หวางก็มิต้องกังวลตลอดเวลาว่าฮ่องเต้จักหาเหตุผลอันใดมาจัดการจวนอ๋องเราอีก”
“เจ้ากล่าวเหลวไหลอันใด ? ” อ๋องมู่ที่โดนบุตรชายอ่านใจ ความอายแปรเปลี่ยนเป็นโทสะ เขาถลึงตาใส่บุตรชายทันที “ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงมีเมตตา มิทำเรื่องให้ร้ายขุนนางพรรค์นั้นหรอก”
เรื่องที่ฮ่องเต้ทำจริงหรือไม่ อ๋องมู่รู้ดีแก่ใจ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้ามู่จวินฮานก็ต้องรักษาภาพลักษณ์ให้ฮ่องเต้เสียบ้าง
มู่จวินฮานพยักหน้า แต่มิเชื่อคำกล่าวของบิดาแม้แต่น้อย “ฟู่หวางกล่าวถูกต้อง ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันทรงมีเมตตา ดังนั้นพระองค์จึงมีพระราชโองการส่งลูกไปเป็นรองแม่ทัพที่ม่อเป่ยเพื่อประโยชน์อันยิ่งใหญ่ของต้าโจวขอรับ”
ผู้ที่สงสัยเจตนาของฮ่องเต้ก่อนคืออ๋องมู่ แต่ตอนนี้คนที่ช่วยกล่าวแทนฮ่องเต้ก็ยังเป็นอ๋องมู่วันยังค่ำ
อ๋องมู่ได้ฟังก็สำลักคำกล่าวของมู่จวินฮานที่แสนยอกย้อน เจ้าเด็กนี่เฉลียวฉลาดเสียจริง หากประมาทแม้แต่น้อยในการถกเถียงก็จักมิรอดโดยง่าย
“มิว่าเยี่ยงไร เจ้าก็ไปม่อเป่ยมิได้ ! ”
ในใจของอ๋องมู่คิดว่าสถานที่ทุรกันดารเยี่ยงม่อเป่ย มิมีทางที่เด็กอย่างมู่จวินฮานซึ่งเติบโตในเมืองหลวงสามารถรับมือได้
มู่จวินฮานเปิดเปลือกตาขึ้น แววตาจริงจังหาได้ยาก “เรื่องไปม่อเป่ย ลูกเป็นคนทูลต่อฮ่องเต้เอง แม้ฟู่หวางต่อต้านเยี่ยงไรก็ไร้ประโยชน์ขอรับ”
ในที่สุดก็ยอมรับ !
เมื่อได้ฟัง อ๋องมู่ก็หัวเราะด้วยความโมโห จากนั้นก็ชี้หน้าบุตรชาย “เจ้าทูลขอให้ฮ่องเต้ส่งไปคุมทหารที่ม่อเป่ย เจ้ามิเคยออกรบมาก่อน มิเคยมีประสบการณ์ทำศึกแล้วมีคุณสมบัติอันใดไปคุมทหารเหล่านั้น ? ”
อ๋องมู่กล่าวโดยมิถนอมน้ำใจมู่จวินฮานแม้แต่น้อย “ตอนที่ข้าเข้าสู่สนามรบครั้งแรก ข้าก็ไปกับปู่ของเจ้า ต้องเรียนรู้ถึง 3 เดือนเต็มถึงกล้านำทหารออกรบด้วยตนเอง แต่เจ้าถูกฮ่องเต้ขังไว้ในเมืองหลวงตั้งแต่เด็ก แม้ในตัวมีวรยุทธ์อยู่บ้าง แต่วรยุทธ์ของเจ้า จักต้านทานทหารนับหมื่นม้านับแสนและต้านอาวุธลับได้เยี่ยงไร ? ”
อ๋องมู่กล่าวอย่างรุนแรง แต่ทำไปเพราะห่วงความปลอดภัยของบุตรชาย
มู่จวินฮานแสดงสีหน้าเคร่งขรึม ในดวงตาเฉียบคมก็ยากหยั่งถึงจนมองมิออกว่ารู้สึกเยี่ยงไร “ฟู่หวางขอรับ ฮ่องเต้คิดเยี่ยงไรกับจวนของเรา ท่านก็ทราบตั้งนานแล้ว แม้จวนโหวต้องดองกับเราในอนาคต แต่องค์ชายเจ็ดก็เลือกลงมือกับพวกเขา โชคดีที่เขามิมีหลักฐานแม้แต่น้อย มันถึงจบลงเยี่ยงนี้ แต่ถ้าพวกเรามิปล่อยให้ฮ่องเต้ยึดอำนาจทหารคืนมา เขาจักต้องลงมือกับจวนอ๋องมู่แน่นอน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเรามิมีการป้องกันอันใดเลย มิเท่ากับว่าปล่อยให้ฮ่องเต้เชือดเราหรือขอรับ ? ”
“ถ้าเช่นนั้นข้าจักเข้าวังแล้วหาข้ออ้างมอบอำนาจทหารให้ฮ่องเต้ เยี่ยงนั้นพระองค์ก็วางพระทัยได้แล้ว” อ๋องมู่เข้าใจความคิดของฮ่องเต้นานแล้ว แต่อำนาจทหารเป็นสิ่งที่เขารับมาจากบิดา หากให้ส่งมอบไปแต่โดยดีก็เจ็บเสียยิ่งกว่าการเฉือนเนื้อตนเสียอีก
แต่เมื่อเทียบกับชีวิตบุตรชาย อำนาจทหารพวกนี้จักมีค่าอันใด
“หากท่านมอบอำนาจทหารคืนไป ฮ่องเต้จักลดความระแวงได้จริงหรือขอรับ ? ”
มู่จวินฮานถามกลับเสียงนิ่ง แต่ทำให้ความหวังในใจของอ๋องมู่โดนลบไปอย่างสมบูรณ์
ที่พวกเขาต้องมาเผชิญกับสถานการณ์ในวันนี้ก็เพราะความหวาดระแวงของฮ่องเต้
หากเขามอบอำนาจทหารออกไป ฮ่องเต้จักเชื่อว่าเขามิมีใจคิดคด เยี่ยงนั้นฮ่องเต้ยังหวาดระแวงอยู่หรือไม่ ?
อ๋องมู่ตกอยู่ในความเงียบ มู่จวินฮานก็กล่าวเสริม “ฮ่องเต้ชอบหวาดระแวง หากฟู่หวางมอบอำนาจทหารคืนไป พระองค์จักก็สงสัยว่าท่านแอบซ่องสุมกำลังไว้หรือไม่ ฮ่องเต้คิดว่าสามารถวางแผนเล่นงานเราได้ แต่มิคิดว่าลูกก็วางแผนเล่นงานพระองค์ได้เช่นกัน”
มู่จวินฮานกล่าวพร้อมดวงตาเปล่งประกาย มุมปากก็ยกยิ้มอย่างได้ใจ
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น ดวงตาของอ๋องมู่ก็ฉายแววแห่งความหวังเล็กน้อย “เจ้ามีวิธีหรือ ? ”
“แน่นอนขอรับ ขอแค่ลูกไปม่อเป่ย ฮ่องเต้ก็จักวางพระทัย”
เจ้าเด็กนี่เอ่ยวกมาเรื่องเดิมอีกแล้ว !
อ๋องมู่ลูบเคราและถลึงตาใส่มู่จวินฮานด้วยความโมโห “พูดไปพูดมา สุดท้ายเจ้าก็ยังอยากไปม่อเป่ย ! ”
“มิใช่ว่าลูกอยากไปม่อเป่ย แต่เป็นฮ่องเต้ต่างหากที่อยากให้ลูกไป” มู่จวินฮานเอามือไพล่หลัง ดวงตาคมมองไปยังทิศทางที่วังหลวงตั้งอยู่ “ฮ่องเต้อยากยึดอำนาจทหารที่อยู่ในมือของท่าน แต่กลัวทำให้ขุนนางคนอื่นมิพอใจ ดังนั้นจึงหาข้ออ้างให้ลูกไปรับตำแหน่งรองแม่ทัพที่ม่อเป่ย จากนั้นก็ส่งแม่ทัพมาควบคุมอีกที เมื่อเป็นเยี่ยงนี้พระองค์ก็สามารถยึดอำนาจทหารคืนได้อย่างราบรื่นและมิตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ของผู้อื่นด้วย”
“ฟู่หวางลองคิดว่าในแผนของฮ่องเต้คือส่งใครบางคนมาควบคุมลูก แต่ถ้าคนผู้นั้นมิภักดีต่อพระองค์เล่า ? ”
มู่จวินฮานกระตุกยิ้มมุมปาก นัยน์ตาสีน้ำหมึกเต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ